ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1286 คาวบอยสุดหล่อ

บทที่ 1286 คาวบอยสุดหล่อ

ลูกชายคนโตของพอลลี่อายุราวๆ สิบสี่สิบห้าปี ยืนอยู่ด้านข้างเขาและคอยเป็นผู้ช่วยฉินสือโอวย่างเนื้อสเต๊ก

มองดูใบหน้าเศร้าสร้อยของคนเป็นพ่อ เขาก็กัดฟันกรอดแล้วพูด “แม่งเอ๊ย! ขอสาปแช่งให้ไอ้พวกระยำไออาร์เอสโดนพระเจ้าลงโทษ!”

ถึงอย่างไรเจ้าของฟาร์มก็ถือว่าเป็นชนชั้นนายทุน มีเงินมีการศึกษา ในด้านการสอนลูกชายจึงค่อนข้างเข้มงวด พอได้ยินที่ลูกชายของตนพูด พอลลี่ก็พูดปลอบประโลมให้ลูกชายใจเย็นลงด้วยสีหน้าหนักแน่น “เวนเดลล์ ใครสอนให้ลูกพูดคำสบถหยาบคายแบบนั้น? ลูกไม่ควรพูดคำหยาบนะเข้าใจมั้ย?”

ชายหนุ่มพูดอย่างไม่ยอมแพ้ “ไม่มีใครสอนผมทั้งนั้นแหละ ก็มาจาก SHIT นั่นแหละ ก็พ่อไม่ใช่เหรอที่เป็นคนบอกว่าตอนใช้คำนี้ผมต้องอิงจากกฎ SHIT นะ”

ซึ่งถ้านำ SHIT มาแยกเป็นคำเดี่ยวๆ จะใช้ในการด่าทอผู้คน มีความหมายว่า ‘ขี้หมา’ ‘อุจจาระ’ ‘ขยะ’ ซึ่งคำพวกนี้มักจะได้ยินในทีวี รายการโชว์อเมริกาและภาพยนตร์ฮอลลีวูดอยู่บ่อยๆ

ที่ลูกชายของพอลลี่กำลังพูดถึงอยู่นี้คือการย่อคำ ซึ่งมีที่มาจากอเมริกาเหนือ ที่มาจากคำว่า ‘Society-to-Highlight-Ingrate-Terms’ และนำมาย่อเป็น SHIT

เป้าหมายของการสมาคมนี้คือการวิเคราะห์ความหมายของศัพท์ ศึกษาการใช้คำสบถ ดังนั้นที่อเมริกาและแคนาดาพ่อแม่ต่างรู้ว่าลูกๆ ของตนจะใช้คำสบถที่หยาบคายอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จึงสอนการใช้และความหมายของคำว่า SHIT เพื่อให้สามารถนำไปใช้ได้อย่างถูกต้อง

ฉินสือโอวเข้าใจความหมายของสิ่งที่ลูกชายพอลลี่พูดเมื่อครู่ และรู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ค่อนข้างน่าสนใจ หากอธิบายความต่างของการใช้คำว่า shit และ fuck อย่างเช่นมีคนสอบตก หรือมองดูทีมที่เขาสนับสนุนกำลังพ่ายแพ้ก็สามารถใช้คำว่า shit ในการสบถเพื่อแสดงความโกรธ ไม่พอใจของตนได้

แต่ถ้าประสบกับโชคร้ายหรือเรื่องไม่ดี ในตอนนั้นก็สามารถใช้คำว่า “fuck” ได้

แต่อย่างไรก็ตามยังมีข้อยกเว้นประการหนึ่งนั่นก็คือเมื่อเผชิญหน้ากับไออาร์เอส สามารถอธิบายกลุ่มคำ SHIT ได้ว่า “ในตอนที่เจอกับพวกกรมสรรพากรแคนาดา ใช้ได้ทั้ง ‘shit’ และ ‘fuck’ ซึ่งคำด่าไหนที่ใช้แล้วทำให้รู้สึกว่าแสดงอารมณ์โกรธออกมาได้มากกว่า ก็เลือกใช้ไปได้เลย”

ฟังจากนี้ก็พอจะรู้แล้วว่ากรมสรรพากรที่แคนาดาไม่เป็นที่พึงพอใจขนาดไหน และแน่นอนว่า ไม่ว่าประเทศไหนก็คงไม่ต่างกัน

สเต๊ก ไส้กรอก เบคอน ขนมปังที่ย่างจนกรอบ และอาหารหลากหลายจานของเหมาเหว่ยหลงวางอยู่บนโต๊ะเรียบร้อย เขายังทำสลัดผลไม้และผักจานยักษ์ด้วย และทุกคนก็พากันมาล้อมวงกินข้าวอยู่บนพื้นหญ้า

พอลลี่หยิบขวดเบียร์หนึ่งลังลงมาจากรถ แล้วพูดแบบยิ้มๆ “นี่คือเบียร์ที่ผมที่ได้ตอนมาจากฟาร์มนาของโลฮ่าที่เพิ่งจะหมักเสร็จวันนี้ รสชาติมันต้องดีมากแน่”

เหมาเหว่ยหลงชูกำปั้นแล้วส่งเสียงร้องดีใจ จากนั้นจึงหันมาแนะนำให้ฉินสือโอวฟัง “โลฮ่าก็คือเจ้าของฟาร์มคนหนึ่ง เขามีฟาร์มเล็กๆ แห่งหนึ่งที่เน้นการผลิตเบียร์ และนี่ก็เป็นเบียร์ที่เขาทำขึ้นมาเอง เขาเป็นนักผลิตเบียร์ที่เก่งมากคนหนึ่งเลยล่ะ”

“แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะสามารถได้รับเบียร์จากโลฮ่ามาไว้ในครอบครองนะ” ลูกชายคนโตของพอลลี่พูดอย่างภาคภูมิใจ “เขาชอบกินเนื้อแกะย่างของพ่อผมมาก ดังนั้นทุกครั้งที่พวกเราไปหาเขา ไม่เคยมีครั้งไหนที่จะได้กลับบ้านมือเปล่าเลย”

พอลลี่ยื่นแก้วใบโตให้ฉินสือโอว ฉินสือโอวมองสีและฟองของมันก่อนพูดชมเชยว่า “ว้าว เป็นเบียร์ขาวที่สุดยอดมากเลยนะเนี่ย”

เบียร์ขาวเป็นเครื่องดื่มที่เป็นที่นิยมในทวีปยุโรป มันทำมาจากข้าวมอลต์และวัถุดิบจากข้าวมอลต์ ในบางครั้งก็มีเพิ่มข้าวโอ๊ตไปด้วย และสุดท้ายนำไปหมักด้วยยีสต์และกรดแลคติก

เบียร์ที่ฉินสือโอวเคยดื่มตอนอยู่เกาะแฟร์เวลก็มีหลากหลายชนิดมาก แต่จุดเด่นของเบียร์ประเภทนี้จะผสมแอลกอฮอล์เข้าไปเพียงเล็กน้อย แต่เนื้อเบียร์มีความเข้ม ชุ่มคอ และมีสารอาหารมากมาย และยังสามารถดื่มได้ทุกฤดูกาล

“กินกับสเต๊กของผม คุณจะรู้สึกว่ามันสุดยอดกว่าเดิมอีกล่ะ” พอลลี่หัวเราะและพูด “แน่นอน คุณจะว่าผมพูดขี้โม้ก็ได้นะ แต่แนะนำให้คุณลองชิมดู”

ฉินสือโอเลือกสเต๊กชิ้นหนาที่สุกระดับกลางให้วินนี่ และเลือกชิ้นที่บางกว่าให้ตนเอง หลังจากตัดเป็นชิ้นและเอาเข้าปาก น้ำในเนื้อช่างชุ่มฉ่ำ เนื้อสัมผัสนุ่ม ส่งกลิ่นหอมกระจายไปทั่วโพรงปาก

ในตอนที่ผสมกับความหวานของเบียร์ขาวเข้าไป ฉินสือโอวไม่สามารถสรรหาคำพูดมาบรรยายได้ เขารู้สึกว่ามันสุดยอดมาก!

ทานข้าวพร้อมพูดคุยเล่นกันไปเรื่อยเปื่อย เหมาเหว่ยหลงพูดเตือนเรื่องที่ฉินสือโอวจะขี่ม้าขึ้นมากลางโต๊ะอาหาร ฉินสือโอวฟังด้วยความเบื่อหน่าย และบอกว่ามันก็คงไม่ต่างจากการขับรถหรอก ที่ต้องพึ่งการปฏิบัติ แกจะมาพูดให้ได้อะไรตอนนี้?

พอพอลลี่ได้ยินก็ถามขึ้น “พวกคุณจะไปขี่ม้าเล่นกันพรุ่งนี้เหรอ?”

ฉินสือโอวตอบ “ใช่แล้ว ที่พวกเรามาครั้งนี้ก็เพื่อจะมาขี่ม้า คุณรู้มั้ย ที่เซนต์จอห์นเป็นเมืองติดทะเล ที่นั่นมีแต่เรือหาปลา ไม่มีม้าเลยสักตัว”

พอลลี่จึงพูดว่า “ถ้าอย่างงั้นพรุ่งนี้เช้าผมจะเอาม้าไปด้วยสองตัว ที่โรงม้าของผมมีม้าอยู่เยอะมาก ที่ฟาร์มของเหมามีม้าโตอยู่แค่สองตัวเองใช่ไหม? แต่พวกคุณมีกันสามคน คงไม่พอแน่ๆ”

ตั๋วตั่วจึงดึงมือฉินสือโอวและชี้ไปที่โรงม้าของม้าตัวเล็ก ซึ่งหมายความว่าเธออนุญาตให้ฉินสือโอวยืมม้าตัวเล็กของเธอได้

ฉินสือโอวดึงเธอมากอดและหัวเราะยกใหญ่ ลูกม้าสองตัวเล็กนั้น เดาว่าถ้าเขาขึ้นขี่หลังมันคงต้องหักก่อนเป็นแน่

เหมาเหว่ยหลงและพอลลี่เกรงใจกันอยู่สักพักก็ตกลงกันเรียบร้อย เพราะคราวแรกเขาก็กังวลเรื่องพรุ่งนี้ที่มีม้าแค่สองตัวแต่พวกเขามีกันถึงสามคน ซึ่งจำนวนไม่พอ

หลังจากทานข้าวและเก็บของเสร็จ ฉินสือโอวก็พูดคุยกับคนอื่นๆ ครู่หนึ่ง หลังจากนั้นครอบครัวพอลลี่ก็กลับไป วินนี่ก็อุ้มลูกสาวเข้าไปพักผ่อนในห้องพัก

ฉินสือโอวกำลังจะขอตัวแต่เหมาเหว่ยหลงก็เรียกเขาไว้ เขานั่งลงบนพื้นหญ้าแหงนมองดาวบนท้องฟ้า และพูดว่า “แกดูสิ ที่ของฉันพอมองดูดาวบนฟ้าตอนกลางคืนสวยมากเลยใช่มั้ย”

แฮมิลตันดูแลสภาพแวดล้อมได้ดีเลยทีเดียว แต่ก็เทียบกับเกาะแฟร์เวลไม่ได้ ฉินสือโอวนอนลงกับพื้นหญ้าและอิงแขนแทนหมอน ก่อนมองดวงดาวที่สว่างไสวบนฟ้าแล้วเอ่ยขึ้น “ถ้าเทียบกับในเมืองแล้ว มันช่างสวยงามจริงๆ แต่ก็เทียบไม่ได้กับที่ที่ฉันอยู่”

ครั้งสุดท้ายที่ทั้งคู่นั่งชมดาวด้วยกันก็ราวสองปีก่อนได้ ในตอนนั้นฉินสือโอวยังตามจีบวินนี่อยู่ พวกเขาทั้งคู่นั่งนับดาวอยู่บนเขาเคอร์บัลด้วยกัน

ในตอนนี้พวกเขาทั้งคู่ต่างแต่งงานและเป็นพ่อคนแล้ว ฉินสือโอวอุทานออกมาในขณะที่ยังมองดูดาว “แม่ง อย่าได้พูดเลยนะว่าเวลาผ่านไปเร็วขนาดไหนแล้วน่ะ? ดาวบนท้องฟ้าก็ยังเป็นดาวบนท้องฟ้า แต่ตอนนี้พวกเราไม่ใช่คนเดินกันอีกต่อไปแล้ว”

ดาวที่ส่องประกายท่ามกลางความมืดบนท้องฟ้าช่างน่าค้นหา ในฤดูร้อนท้องฟ้าจะโล่ง และรู้สึกได้ว่าดวงดาวใกล้กับเราเพียงแค่เอื้อม

พวกเขาทั้งคู่ไม่ได้เจอกันมาระยะหนึ่ง จึงนอนพูดคุยกันบนพื้นหญ้าพักใหญ่จนกระทั่งน้ำค้างเริ่มเกาะตัว แล้วค่อยแยกย้ายกันเข้าไปพักผ่อน

วันที่สองตอนรุ่งเช้า ในตอนที่ฉินสือโอววิ่งออกกำลังกายอยู่ พอลลี่ก็มาถึงโดยขี่ม้าตัวหนึ่งมา และพาม้าอีกสองตัวมาด้วย เขาแต่งตัวเหมือนคาวบอย คาดปืนลูกโม่ไว้ที่สะโพก ซึ่งทำให้เขาดูเหมือนคาวบอยที่กล้าหาญมากขึ้นไปอีก

เมื่อพอลลี่มาถึงแล้ว ฉินสือโอวจึงหยุดออกกำลังกายและกลับเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้า

เขาสวมหมวกคาวบอยและสวมรองเท้าบู๊ต และติดตะปูไว้ที่ด้านหลังบู๊ต เลือกใส่หัวเข็มขัดลายหัวเสือ และพันผ้าพันคอแบบคาวบอยไว้ที่หน้าอก ฉินสือโอวก็รู้สึกว่ามันไม่เลวเลย วินนี่เข้ามาช่วยเขาจัดชุดให้เรียบร้อย และทั้งยิ้มทั้งพูดว่า “อืม เป็นคาวบอยที่หล่อมากเลย สาวๆ ในเท็กซัสเห็นแล้วคงต้องหลงเสน่ห์คุณแน่”

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท