ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1274 ผีในคืนมืด

บทที่ 1274 ผีในคืนมืด

ฉินสือโอวขับรถไปที่ร้านสะดวกซื้อของฮิวจ์ก่อน ฮิวจ์กำลังอ่านอะไรบางอย่างใต้โคมไฟที่เคาน์เตอร์ พอเขาเข้าไปก็ถามทันที “ที่นี่มีเทียนไหม?”

“ใครใช้?” ฮิวจ์ถาม

ฉินสือโอวแปลกใจ ถึงตอนนี้ฟ้าจะมืดมากแล้ว แต่ก็ไม่น่าถึงขนาดมองไม่ออกว่าตัวเขาเป็นใครมั้ง? เขาได้แต่บอกว่า “ฉันใช้เอง ฉัน ฉินสือโอว”

ฮิวจ์หัวเราะแบบมีเลศนัย จากนั้นก็พลิกหาอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยื่นเทียนยาวประมาณสิบเซนติเมตรให้เขา

ฉินสือโอวพึมพำ “สั้นไปไหมเนี่ย?”

ฮิวจ์พูดด้วยน้ำเสียงอย่างคนมีประสบการณ์มาก่อน “พ่อหนุ่ม นายต้องยับยั้งชั่งใจหน่อย เทียนเล่มนี้ทางที่ดีต้องแบ่งใช้สี่ครั้ง! ไม่อย่างนั้นฉันไม่แน่ใจว่าสุดท้ายนายจะนอน**อยู่บนเตียงหรือนอนอยู่ในห้องฉุกเฉินของโอดอม**”

ฉินสือโอวงง ไม่เข้าใจว่าหมอนี่พูดเรื่องอะไร เขาหยิบเทียนขึ้นมาแล้วพูดแซวไปตามประสา “นายเล่นยามาหรือไง? เอ๊ะ ทำไมมันเป็นหลอดแก้ว? ฉันต้องการเทียนนะ”

ฮิวจ์ตอบ “ก็ต้องเป็นหลอดแก้วสิ วัสดุเทียนอุณหภูมิต่ำเป็นขี้ผึ้งธรรมชาติไม่ใช่ขี้ผึ้งพาราฟิน มันนิ่มและเสียรูปง่ายมาก ถ้าไม่เอาไว้ในหลอดแก้ว พอนายจุดมันก็ละลายหมดแล้ว”

ฉินสือโอวยิ่งงุนงงสับสนหนักกว่าเดิม เขาพูดอึ้งๆ “เทียนอุณหภูมิต่ำ? หมายความว่าไง? ตอนนี้ที่แคนาดานิยมใช้เทียนชนิดนี้กันเหรอ? มันสว่างไหม?”

คราวนี้ถึงตาฮิวจ์อึ้งบ้าง เขาจ้องตรงมาที่ฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “เพื่อน นายไม่ได้ล้อเล่นใช่ไหม? นายจะซื้อเทียนไปทำไม?”

ฉินสือโอวเริ่มจะเข้าใจความหมายของเขาแล้ว เขาชี้ไปที่เทียนบนโต๊ะแล้วพูดยิ้มๆ “เฮ้ย นี่ไม่ใช่เทียนแบบนั้นใช่ไหม? เทียนเร้าอารมณ์? ฉันจะซื้อเทียนธรรมดา ไฟมันดับ ฉันจะจุดให้แสงสว่าง!”

ฮิวจ์เขินขึ้นมาทันใด เขาพูดว่า “ฉันถามว่าใครใช้ นายก็บอกว่านายใช้เอง? ฉันนึกว่านายจะเล่นอะไรกับวินนี่เสียอีก”

เขายื่นมือจะเก็บเทียนอุณหภูมิต่ำนั้นกลับมา ฉินสือโอวเอามือกดไว้ แล้วพูดยิ้มๆ “อันนี้ฉันก็เอา แล้วก็เอาเทียนธรรมดาด้วย”

“อันนั้นไม่มี” ฮิวจ์ยักไหล่สบายๆ จากนั้นเขาก็ชี้ไปที่โคมไฟแบบชาร์จไฟได้บนโต๊ะ “ฉันเข้าใจความหมายของนายแล้ว แต่ว่าฉิน นี่มันศตวรรษที่ 21 แล้วนะ ยังมีใครใช้เทียนอีกล่ะจริงไหม? ฉันไม่เคยสำรองเทียนไว้เลย”

ฉินสือโอวถอนหายใจแล้วพูดว่า “งั้นคืนนี้ตอนกินข้าวคงต้องลำบากหน่อย”

ฮิวจ์มองดูเทียนอุณหภูมิต่ำในมือเขาแล้วเขยิบเข้ามาบอก “ไอ้สิ่งนี้ก็ให้แสงสว่างได้ แน่นอนว่าแสงมีไม่มาก”

ฉินสือโอวถามราคาจนรู้เรื่องและจ่ายเงิน หิ้วเทียนแบบใหม่แล้วกลับบ้านอย่างตื่นเต้น ส่วนซูเปอร์มาร์เก็ตในเมือง? เขาไม่ไปหรอก อย่างไรเสียคืนนี้ก็มีโปรแกรมแล้ว เขาซื้อเทียนมาก็เพราะกลัวกลางคืนไม่มีอะไรทำแล้วจะเบื่อ อย่างน้อยก็จะได้จุดเทียนเล่นไพ่อะไรแบบนี้

ฉินสือโอวกลับวิลล่าไปอย่างตื่นเต้น พอเข้าบ้านไปก็พบว่าในห้องอาหารสว่างมาก เขาเข้าไปดูก็พบว่าเป็นแบตเตอรี่สำรองที่เชื่อมกับหลอดไฟ

วินนี่ถามเขาว่าไปทำอะไรมา ฉินสือโอวก็ตอบพร้อมรอยยิ้มขมขื่น “ซื้อเทียน ผมกลัวว่าตอนกินข้าวจะไม่มีอะไรให้ความสว่าง ดูท่าผมจะคิดมากไปเอง”

เชอร์ลี่ย์เข้ามาหาแล้วพูดขึ้น “ฉิน ให้เทียนหนูหน่อยสิคะ หนูกลัวความมืด”

ฉินสือโอวรีบเก็บเทียนไปทันที ของแบบนี้ให้ใครมั่วๆ ได้เสียที่ไหน? เชอร์ลี่ย์เบ้ปากแล้วบ่นว่าขี้เหนียวก่อนจะเดินจากไปแบบไม่สบอารมณ์

วินนี่เรียกทุกคนให้กินข้าว ทุกคนต่างก็นั่งลง มีแค่ไวส์ที่ยังคงยุ่งกับบางอย่างอยู่

“รีบมากินข้าวสิไวส์” วินนี่ตะโกนเรียก

ไวส์ตอบ “อาจารย์หญิงกินก่อนเลยครับ ผมฝึกวิชาเนตรอัคคีของวันอาทิตย์นี้เสร็จแล้วค่อยไป ผมฝึกนวดจุดฟ้าสนอง กดจุดจิงหมิง กดนวดจุดซื่อไป๋สามกระบวนท่านี้เสร็จแล้ว ที่เหลือก็คือกดจุดไท่หยางแล้วก็นวดวนเบ้าตา”

พ่อฉินมองดูอย่างสนใจแล้วพูดว่า “เจ้าเด็กนี่วินัยดีจริงๆ ไฟดับก็ยังนวดบำรุงตา”

ฉินสือโอวแอบยิ้ม วินนี้ดึงเขาอย่างจนใจทีหนึ่งและว่าเขาว่าหลอกไวส์ได้อย่างไร

ตอนกินข้าวฉินสือโอวกำลังวางแผนอย่างอารมณ์ดีว่าอีกสักพักจะเล่นอะไรกับวินนี่ดี ปรากฏว่าก็มีคนมาหา ชาร์คนั่นเอง ซีมอนสเตอร์กับคนอื่นๆ และภรรยา มาหาวินนี่เพื่อขอน้ำแข็ง

“น้ำแข็งอะไร?” ฉินสือโอวถามอย่างแปลกใจ

วินนี่วางส้อมลงแล้วเช็ดปากจากนั้นก็เอ่ยขึ้น “ในเมืองไฟดับหมดไม่ใช่เหรอ? ตู้เย็นของทุกคนมีของไม่น้อย อาจจะเสียได้ ฟาร์มปลาเรามีห้องแช่ ฉันทำน้ำแข็งไว้เยอะให้ทุกคนเอาไปใส่ในตูเย็น ช่วยในการแช่แข็งได้ในระดับหนึ่ง”

พ่อฉินชื่นชม “วินนี่คิดดี ทำหน้าที่นายกเทศมนตรีได้ไม่เลวเลย ต้องทำสิ่งที่เป็นประโยชน์สำหรับประชาชนแบบนี้แหละ”

ฉินสือโอวกลืนน้ำลายแล้วเอ่ยถาม “ทั้งเมือง?”

วินนี่พยักหน้าแล้วพูดว่า “มันใช้ไฟไม่เยอะ อย่างไรห้องแช่ก็อุณหภูมิต่ำพอ ทำไมไม่เอามาใช้ประโยชน์ล่ะคะ ใช่ไหม?”

ฉินสือโอวทำหน้าเศร้าสร้อยพลางตอบว่าถูกต้องแล้ว พ่อฉินส่งสายตาพิฆาตมาให้ ความหมายประมาณว่าวินนี่ทำเรื่องดีให้เมือง แกที่เป็นสามีจะไม่สนับสนุนได้อย่างไร?

ฉินสือโอวอยากร้องไห้ ใครสนับสนุนเขาล่ะ? ไม่ต้องสงสัยเลยว่าคืนนี้จะต้องมีคนมาเอาน้ำแข็งเรื่อยๆ ไม่ขาดสายแน่ งั้นเขาจะไปจู๋จี๋กับวินนี่ได้อย่างไร?

เขาเดาถูกแล้ว เริ่มตั้งแต่ที่พวกเขากินข้าวเสร็จก็มีคนมาเอาน้ำแข็งอยู่เรื่อยๆ

ชาร์คและคนอื่นๆ ไม่มีไฟที่บ้าน ก็เลยพากันมาหาฉินสือโอวบอกเรามาหาอะไรทำกันเถอะ อย่างจุดเทียนเล่นไพ่กันอะไรแบบนี้

ฉินสือโอวหน้าบูด เล่นไพ่อะไรกันเล่า วันดีจะตาย ทำไมไม่ไสหัวไปนอนกันให้หมด?

ตอนที่ชาวเมืองมารับน้ำแข็งก็ถือโอกาสเล่าถึงวิธีที่พวกเขาใช้ฆ่าเวลาในค่ำคืนอันยาวนาน แบ่งปันพูดคุยกัน ฉินสือโอวก็ถือโอกาสฟังไปด้วย

เมืองไม่ได้ไฟดับครั้งแรก ทุกคนต่างก็เคยมีประสบการณ์ บางคนจุดเทียนเล่นเกมกระดาน บางคนจุดเตาผิงแล้วย่างพิซซ่าในไฟ บางคนตั้งเตาปิ้งบาร์บีคิว บางคนใช้เตาก๊าซซิไฟเออร์ต้มกาแฟ…

ฟังมาถึงตรงนี้ ชาร์คก็ดันฉินสือโอวแล้วพูดอย่างตื่นเต้น “บอส คุณมีเตาเผาไม้ไม่ใช่เหรอ? เอามาต้มกาแฟเถอะ? ผมนึกอะไรดีๆ ออกแล้ว คุณต้องไม่เคยเล่นมาก่อนแน่ พวกเราดื่มกาแฟไปเล่นไปกันดีกว่า”

“กิจกรรมอะไรที่ฉันไม่เคยทำ?” ฉินสือโอวถามแบบไม่เชื่อ

ชาร์คกระแอมไอปรับอารมณ์แล้วพูดด้วยเสียงทุ้มต่ำ “ค่ำคืนไร้แสงสว่าง วิญญาณภูตผีจะออกมา!”

ฉินสือโอวกลืนน้ำลายแล้วถามอย่างระมัดระวัง “พวกนายจะเล่นเกมอัญเชิญผีเหรอ?”

อันนี้เขาก็ไม่เคยเล่นจริงๆ เพราะที่จริงเขาขี้กลัวมาก กลัวผีกลัววิญญาณอะไรพวกนี้ ตอนมัธยมต้นมีคนเล่นเกมพวกกระดานวีจี เวียนเปลี่ยนสี่มุมห้อง เขาก็ไม่เคยเล่นด้วย

ชาร์คหัวเราะออกมาอย่างร่าเริงแล้วพูดว่า “เชิญผีอะไร? ไม่ใช่ พวกเราจะเล่าเรื่องผี มาเล่าด้วยกัน”

คนอื่นก็เริ่มตื่นเต้นขึ้นมา บูลพูดขึ้นว่า “ไอเดียดี มา เรายังไม่เคยเล่าตำนานผีของเกาะแฟร์เวลให้บอสฟังเลย พอดีเลย วันนี้บอสจะได้เปิดหูเปิดตา”

ฉินสือโอวกลอกตา เปิดหูเปิดตาบ้านแกสิ วัตนธรรมผีสางกับระยะเวลาที่เผ่าพันธุ์หนึ่งดำรงอยู่นั้นมันสัมพันธ์กัน ด้านนี้อเมริกาเหนือเทียบไม่ได้แม้ปลายก้อยของจีน สรุปใครเปิดหูเปิดตาใครกันแน่?

วินนี่ได้ยินแบบนั้นก็ตื่นเต้นขึ้นมาบ้าง เธอพูดว่า “ดีเลย ฉันเอาด้วย ฉันเล่าก่อนเป็นไง? เล่าเรื่องให้ฟัง เรื่องจริงที่เจอมากับตัว…”

ชาร์คพูด “ให้บอสเล่าก่อนดีกว่า นี่เป็นธรรมเนียม”

ชาวประมงเป็นแถวต่างหาที่นั่งลงทันใด แม้แต่พวกหู่เป้าฉงหลัว พี่น้องเฟอเรท แม้แต่แมวป่าซิมบ้าก็มานั่งเรียงกัน

ฉินสือโอวคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “โอเค งั้นฉันเล่าก่อน เรื่องที่ฉันจะเล่าชื่อว่าผีเป่าไฟ!”

……………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท