ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1276 ทวิตเตอร์บ้าเอ๊ย

บทที่ 1276 ทวิตเตอร์บ้าเอ๊ย

“เชอร์ลี่ย์มานี่หน่อย ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอก!” ฉินสือโอว เรียกด้วยใบหน้าบึ้งตึงในตอนเช้า

เชอร์ลี่ย์มองเขาโดยถือไวโอลินอยู่ด้านหลัง พร้อมกับผมหางม้าสีทองด้านหลังศีรษะก็สะบัดไปมา “ทำไมคุณถึงโมโหหนูล่ะ? เมื่อคืนหนูก็ไม่ได้โกหกนะ มีเด็กอยู่สองคนไม่ใช่เหรอ? หนูก็ไม่ได้บอกว่าพวกเขาหายใจและพูดได้สักหน่อย”

ฉินสือโอวจึงพูดด้วยความโกรธ “ยังจะมาเล่นลิ้นอีกหรือไง? แกล้งให้คนหวาดกลัวคือพฤติกรรมที่ไม่ดีมากๆ เข้าใจไหม?”

เชอร์ลี่ย์จ้องมองด้วยดวงตาที่มีน้ำตาเอ่อคลอ พลางตอบไปด้วยความตกใจ “ไม่ใช่ว่าพวกคุณกล้าหาญกันหรอกเหรอ? ยังเอาเรื่องผีมาเล่ากันอยู่เลย แล้วกับแค่หนูบอกว่า บนตู้เย็นมีสติกเกอร์เด็กสองคนนั้น มันถึงกับทำให้คุณตกใจได้เลยเหรอคะ?”

ส่วนวินนี่ที่กำลังจะเปลี่ยนผ้าอ้อมให้เสี่ยวเถียนกวาก็ถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “พวกคุณกำลังพูดเรื่องอะไรกัน? เกิดอะไรขึ้นเหรอคะ?”

ฉินสือโอวสบตากับเชอร์ลี่ย์เป็นเชิงบอกว่าไม่ให้พูด เขาเดินเข้าไปวนๆ อยู่ในครัว หลังจากนั้นก็ออกมาแล้วถามว่า “นี่ไง ที่รัก ก็ในห้องครัวของพวกเราทำไมถึงมีเด็กผู้ชายสองคนล่ะ? เมื่อคืนมีคนมาเอาก้อนน้ำแข็งแล้วลืมไว้เหรอ?”

วินนี่หัวเราะ “ไม่ เป็นไปไม่ได้ ห้องครัวจะมีเด็กผู้ชายได้อย่างไร? ถ้าหากว่ามีเด็กที่ไม่คุ้นหน้าเข้ามา หู่จือกับเป้าจือพวกมันก็ต้องร้องสิ ใช่เด็กพวกนั้นรึเปล่าน่ะ?”

หู่จือกับเป้าจือนั่งยองๆ กระดิกหางอยู่ข้างๆ เธอ พลางจ้องมองไปที่ผ้าอ้อมของเสี่ยวเถียนกวาอย่างอยากรู้อยากเห็น และแลบลิ้นเลียริมฝีปากไม่หยุด

ฉินสือโอวคว้าผ้าอ้อมในมือของวินนี่ และพูดว่า “จริงๆ นะที่รัก มีเด็กน้อยสองคนอยู่ข้างในด้วยล่ะ! ผมไม่ได้โกหกคุณ ผมสาบาน ถ้าผมโกหกคุณ…”

วินนี่มองเขาด้วยสายตาที่บริสุทธิ์ใสแจ๋ว มุมปากยิ้มยกขึ้นเล็กน้อย เป็นการแสดงออกที่สวยงามเพียงแค่เธอยิ้ม

แท้จริงแล้วฉินสือโอวอยากจะสาบานว่าถ้าหากว่าโกหกเธอจริงๆ ปีนี้เธอไม่ต้องแต่งงานกับเขาก็ได้ แต่ว่าเมื่อจ้องตาใสๆ ของวินนี่แล้วเขาไม่สามารถทำให้เป็นเรื่องตลกได้ นี่คือผู้หญิงที่เป็นรักแรกของเขา เขารองานแต่งครั้งนี้มานานแสนนานแล้ว

“ถ้าคุณโกหกฉันจะเป็นอะไรเหรอคะ?” วินนี่ยิ้มถาม

ฉินสือโอวจับใบหน้าที่สวยงามของวินนี่ และพึมพำว่า “ก็ไม่เป็นอะไรครับ ที่รัก ผมไม่ได้โกหกคุณ จริงๆ นะ”

หลังจากได้ยินคำพูดของเขาวินนี่ยิ้มหวานและพูดว่า “ฉันเชื่อคุณค่ะ ฉิน ไม่ว่าคุณจะพูดอะไรฉันก็เชื่อที่คุณพูดค่ะ ฉันเชื่อว่าในห้องครัวมีเด็กสองคนค่ะ แต่เป็นตุ๊กตาเด็กของไฮเออร์ ไม่ใช่เหรอคะ?”

ทันใดนั้นดวงตาของฉินสือโอวก็เบิกกว้าง “นี่คุณอ่านความคิดของผมได้?”

วินนี่ยิ้มอย่างอบอุ่น พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ออกมาและเปิดทวิตเตอร์เพื่อแสดงสิ่งที่เชอร์ลี่ย์โพสต์เมื่อคืนนี้ ในภาพคือฉินสือโอวหมอบอยู่ที่หน้าประตูห้องครัวและยื่นหัวเข้าไปและมองไปรอบๆ ซึ่งในภาพก็ได้เขียนบรรยายเรื่องราวทั้งหมดตั้งแต่ต้นจนจบ

ซึ่งก็ได้มีผู้คนจำนวนมากทิ้งข้อความไว้ใต้โพสต์ และข้อความแรกก็คือวินนี่นั่นเอง สามีของฉันอยู่ที่ประตูห้องครัวกับผู้หญิงคนหนึ่งในตอนกลางคืน ใครสามารถบอกฉันได้บ้างว่าเกิดอะไรขึ้น?

บูลตอบกลับ ฮ่าๆ ดูเหมือนว่ากัปตันจะกลัวจนฉี่เล็ดแล้วล่ะ เขาเป็นคนขี้กลัว ไม่ผิดแน่ เพราะฉันรู้ดี

เมื่อเขาอ่านจบ วินนี่หยิบเอาโทรศัพท์มมือถือคืน ตอนที่เธอกำลังจะแกล้งอะไรบางอย่าง แต่พอเธอเห็นข้อความพลันก็ขมวดคิ้วขึ้นและพูดว่า “มีเรื่องด่วนในเมือง เดี๋ยวมื้อเช้าฉันกินอาหารเดลิเวอรี่เอาแล้วกัน ไม่ต้องรอฉันนะคะ”

พูดจบ เธอก็เก็บโทรศัพท์มือถือและใส่เสื้อโค้ตแล้วเดินออกไปที่ประตู พอเธอไปถึงประตูเธอก็หันกลับมาและพูดว่า “ถ้าเมื่อกี้คุณใช้การแต่งงานของเรามาเป็นเรื่องสาบาน ตอนนี้ฉันคงจะเสียใจมาก แต่ฉันก็ยังจะแต่งงานกับคุณอยู่ดี อย่างนั้นแหละที่รักแล้วก็อย่าลืมเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาวคุณด้วยล่ะ”

ฉินสือโอวไม่รู้ว่าจะอธิบายอย่างไร รู้สึกอีกแล้วว่าวินนี่มีเครื่องอ่านใจเขาได้

เสี่ยวเถียนกวานอนอยู่บนโซฟาดันขาเล็กๆ ขึ้นอย่างหงุดหงิด หู่จือกับเป้าจือกระดิกหางและเข้าไปใกล้ๆ ก้นของเธอเพื่อดมกลิ่น ฉินสือโอวรีบเข้าไปและตบหัวพวกมันพลางพูดอย่างโกรธๆ ว่า “เป็นหมานี่มันเปลี่ยนแปลงไม่กินขี้ไม่ได้เลยจริงๆ ใช่ไหม?”

หู่จือกับเป้าจือแลบลิ้นออกมาเพื่อเลียฝ่ามือของเขาและยังคงกระดิกหางอย่างเซ่อซ่าไม่หยุด

เป็นครั้งแรกที่ฉินสือโอวเปลี่ยนผ้าอ้อมให้ลูกสาว งานนี้เป็นของวินนี่ หรือเวลาแม่เขามาก็จะให้แม่ของเขาเป็นคนเปลี่ยนให้ เขายังไม่เคยทำเองเลย และครั้งนี้ถ้าไม่ใช่เพราะว่าวินนี่มีธุระด่วน ก็คงจะไม่ใช่เขาที่ได้ทำ

เขานั่งยองๆ ที่หน้าโซฟามองดูลูกสาว ฉินสือโอวเช็ดฝ่ามือของเขาและพูดว่า “โอเค ลูกรักโอเค ไม่ต้องห่วง พ่อจะเปลี่ยนกางเกงให้ลูก ลูกจะได้สบายตัวไง ดีไหม?”

เชอร์ลี่ย์เอนตัวไปข้างๆ เพื่อดูและถามอย่างสงสัย “ฉิน คุณเปลี่ยนเป็นเหรอคะ? หนูเห็นตอนที่พี่วินนี่ทำ มันดูยุ่งยากมากเลยนะ”

ฉินสือโอวตอบกลับด้วยรอยยิ้มที่เย็นชา “ฉันสามารถขับเฮลิคอปเตอร์ได้เลยนะ มีหรือจะเปลี่ยนผ้าอ้อมไม่ได้น่ะ? ล้อกันเล่นหรือไง?”

พูดแล้วเขาก็เปิดโทรศัพท์มือถือและค้นหาคำแนะนำขั้นตอนการเปลี่ยนผ้าอ้อมเด็กในเบราว์เซอร์ และทำตามทีละขั้นตอนตามที่ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ

“ก่อนอื่นต้องแกะผ้าอ้อมผืนใหม่ โอ๊ย จะพูดสิ่งที่รู้อยู่แล้วทำไมเนี่ย?” ฉินสือโอวบ่นและหยิบผ้าอ้อมผืนใหม่ที่วินนี่ได้เตรียมไว้ให้ก่อนแล้ว

ตามคำแนะนำ เขาเอาผ้าอ้อมที่มีเทปพันเอวด้านข้างวางไว้ใต้ผ้าอ้อมที่สกปรกของเสี่ยวเถียนกวา จากนั้นก็แกะเทปของผ้าอ้อมที่สกปรกออก และกลิ่นเหม็นๆ ก็ลอยมาปะทะหน้าเขา แสดงว่าเสี่ยวเถียนกวาได้อุจจาระแล้ว!

“แม่งเอ๊ย!” ฉินสือโอวยังไม่ได้เตรียมตัวให้ดี ทันใดนั้นกลิ่นนี้ก็ตีขึ้นพร้อมทั้งมีโบนัสพิเศษจากผ้าอ้อมที่สกปรก กลิ่นที่รุนแรงหนักมากจนเกือบทำให้เขาเป็นลม

แต่นี่คือลูกสาวของตัวเอง ท่านชายฉินจำต้องสูดกลิ่นเหม็นและเข้าใกล้อีกครั้ง เขาเสียใจมากที่ไม่ได้เตรียมหน้ากากไว้ ตอนนี้ฉันทำได้แค่อดทนกับอาการคลื่นไส้

และที่ก้นของเสี่ยวเถียนกวาก็มีแต่อุจจาระเต็มไปหมด ฉินสือโอวจึงยกข้อเท้าสองข้างขึ้นด้วยมือเดียว เพื่อเขาจะได้เช็ดมัน

สุดท้ายเขายังไม่ทันจะได้นับ ด้วยแรงที่ใช้จับเท้าของลูกสาวนั้นแรงไปหน่อย ทำให้เสี่ยวเถียนกวาเจ็บ จึงร้องไห้และดิ้นอย่างหนัก

และการดิ้นนี้ก็ทำให้อุจจาระสีเหลืองอุ่นๆ ลอยกระเด็นขึ้นมา ฉินสือโอวไม่กล้าปล่อยมือเพราะกลัวว่าลูกสาวของเขาจะเจ็บ ด้วยเหตุนี้เขาจึงทำได้เพียงแค่มองดูโคลนสีเหลืองที่ลอยอยู่บนร่างของเขาด้วยความตกใจ

พอเห็นฉากนี้ เชอร์ลี่ย์ซึ่งอยู่ข้างๆ ที่กำลังหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอก็ถึงกับกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ จึงลากถังขยะมาอ้วก แต่เธอก็ถือว่าทำได้ดีที่สุดแล้ว และกล้องโทรศัพท์มือถือก็ยังคงหันหน้าไปทางฉินสือโอว

จากนั้นเสี่ยวเถียนกวาที่ดิ้นอยู่พักหนึ่งก็รู้สึกว่ามันสนุก จากนั้นเธอก็ดิ้นหนักขึ้นไปอีก ทันใดนั้น ฉินสือโอวก็รู้สึกว่ามีอะไรแข็งๆ บางอย่างในลำคอกำลังพลุ่งพล่าน และท้องของเขาเหมือนกับภูเขาไฟที่จะระเบิดซ้ำแล้วซ้ำอีก!

“โอ้ สวรรค์! โอ้ พระเจ้า! โอ้ วินนี่! ช่วยผมด้วย!” ฉินสือโอวคร่ำครวญขณะจับเท้าเล็กๆ ของลูกสาว

และเชอร์ลี่ย์ก็ตะโกนขึ้น “ฉิน รีบปิดปาก ระวังจะโดนอุจจาระของเสี่ยวเถียนกวากระเด็นเข้าปากนะคะ!”

“ชิท!” ฉินสือโอวรับศึกหนักมาก ด้านหนึ่งเขาต้องพยายามปราบปรามกบฏในลำคอ ส่วนอีกด้านก็ต้องใช้ทิชชูเปียกเช็ดก้นให้ลูกสาวอย่างละเมียดละไม

ในที่สุดก็เช็ดทำความสะอาดเสร็จเรียบร้อย เขารีบวางเด็กหญิงตัวเล็กๆ ลงบนผ้าอ้อมที่สะอาด จากนั้นเขาถึงตะเกียกตะกายและคว้าถังขยะตรงหน้าเชอร์ลี่ย์แล้วก็ขย้อนออกมา

หู่จือกับเป้าจือโน้มตัวไปหาเสี่ยวเถียนกวาพลางจ้องมองไปที่ผ้าอ้อมสกปรก พอเชอร์ลี่ย์เห็นจึงกรีดร้องและตะโกนว่า “ฉิน หู่จือกับเป้าจือกำลังจะกินอึ!”

แล้วฉินสือโอวก็หันไปและคำรามใส่ “หยุดนะ! หู่จือ เป้าจือ ออกไปเดี๋ยวนี้! ฉันเนี่ยจูบปากพวกนายทุกวัน! ถ้าพวกนายกล้ากิน ฉันก็จะใช้น้ำยาฆ่าเชื้อสี่สิบแปดชนิดล้างปากพวกนาย!”

เมื่อได้ยินเสียงของทั้งสองคน แม่ฉินก็รีบเดินออกมาและถามว่า “เกิดอะไรขึ้นกันล่ะเนี่ย?”

ฉินสือโอวมองไปที่แม่ของเขาพลางมองไปยังลูกสาวที่รัก เขากัดฟันแล้วรีบเช็ดคราบน้ำที่ก้นของลูกสาวออกด้วยทิชชู จากนั้นก็คลี่ผ้าอ้อมออกและติดไว้แบบเบี้ยวไปเบี้ยวมา บวกกับต้องทนกับอาการคลื่นไส้จึงตอบไปว่า “ไม่มีอะไรครับแม่! ลูกสาวผม ผมเก็บเอง!”

………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท