ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1296 การมาถึงของเม่นน้อย

บทที่ 1296 การมาถึงของเม่นน้อย

ฉินสือโอวสวมแว่นกันแดดขับรถตัดหญ้า ทุกที่ที่รถตัดหญ้าไปถึงก็จะมีเศษหญ้าสีเขียวขจีลอยขึ้นมาจากด้านหลัง ราวกับกำลังโต้คลื่นอย่างไรอย่างนั้น

หู่จือกับเป้าจือมองดูแล้วรู้สึกว่าน่าสนใจ จึงวิ่งตามอยู่ข้างหลัง โดนเศษหญ้าปลิวติดไปทั่วตัว ดีใจจนหาที่เปรียบไม่ได้

จากนั้นก็มีรถกระบะคันหนึ่งขับเข้ามา บนรถเต็มไปด้วยทรายเป็นถุงๆ ในทรายพวกนี้เติมส่วนผสมทางเคมีเข้าไป ฉินสือโอวก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเติมอะไรเข้าไปบ้าง แต่ว่าการจัดสวนของหมู่บ้านในแคนาดาต่างก็ใช้ทรายชนิดนี้ เพราะสามารถป้องกันการเติบโตของวัชพืช และไม่เป็นอันตรายต่อคนด้วย

เครื่องวิทยุสื่อสารที่ฉินสือโอวห้อยไว้ตรงอกดังขึ้นมาว่า “บอส มีเรือลำหนึ่งใกล้เข้ามา ดูเหมือนว่าจะเป็นเรือบรรทุกของคุณบิลครับ”

“โอเค ฉันรู้แล้ว” ฉินสือโอวตอบกลับไป

เขายืนอยู่บนสนามหญ้าของฟาร์มปลาแล้วมองออกไป เห็นเงาของเรือบรรทุกลำเล็กลำหนึ่งรางๆ ไม่ต้องรีบ ด้วยความเร็วของเรือบรรทุกแล้ว รอจนมันเทียบท่าก็คงจะเกือบเที่ยงได้

ไวส์บอกทางให้รถกระบะขับไปตามทางเดินหิน ผ่านไปประมาณยี่สิบเมตรก็ต้องลงถุงทรายแล้ว มีทรายต้องลงทั้งหมดหนึ่งร้อยกว่าถุง หลังจากขนถุงทรายลงมาหมดแล้วเขาเองก็ร้อนจนเหงื่อท่วมตัวเลย

ฟาร์มปลามีถนนเส้นหนึ่งที่สามารถผ่านตรงไปยังประตูใหญ่ของบ้านพักได้ ถนนปูด้วยหินทางเดิน เออร์บักบอกว่านี่คือผลงานชิ้นเอกชิ้นสุดท้ายที่คุณปู่รองของฉินสือโอวทำให้ฟาร์มปลา เวลายังไม่ถือว่านานมาก ยังสามารถใช้ต่อไปได้อีกหลายปี

พาวลิสถือปืนฉีดน้ำค่อยๆ เดินไปตามทางเดินหิน ปืนฉีดน้ำฉีดน้ำแรงดันสูงออกมา ทำความสะอาดแผ่นหินที่สกปรกจนสะอาดหมดจด

ช่วงกลางคืนในฤดูหนาวของเซนต์จอห์นอากาศหนาวเย็นมาก ตอนนั้นแผ่นหินจะกรอบมาก ไม่กี่ปีมานี้มีแผ่นหินที่กรอบจนแตกไปแล้วบ้างเหมือนกัน

ในโรงเก็บของมีแผ่นหินวางเก็บไว้อยู่ นี่เป็นของที่เตรียมไว้ตอนที่มีการทำถนนคราวก่อน ตอนที่ฉินสือโอวเพิ่งมาถึงคิดอยากจะเก็บกวาดโรงเก็บของ และเกือบจะทิ้งแผ่นหินพวกนี้ไปด้วย ดีที่ชาร์คมาเก็บไว้ให้เขา ไม่อย่างนั้นตอนนี้การที่เขาต้องเสียเงินเพิ่มนั้นยังถือเป็นเรื่องเล็ก แต่การจะหาแผ่นหินรุ่นเดียวกันได้นี้คงยากแล้ว

หลังจากรถกระบะขนถุงทรายลงหมดแล้ว ฉินสือโอวคิดเงินให้เขา จากนั้นก็ให้ไวส์ไปขับรถตัดหญ้า ตัวเขาจะจัดการกับทางเดินหินพวกนี้ จากนั้นจะเติมทรายวิทยาศาสตร์เข้าไปในช่องว่างพวกนี้ด้วย

เขาใช้ค้อนแกะแผ่นหินที่แตกแล้วออกมา ตอนนี้นี่เองที่จุดไม่ไกลนักมีเสียงร้องดีใจดังขึ้นมา เขาเงยหน้าขึ้นมองอย่างแปลกใจ แล้วก็เห็นปอหลัวที่กำลังทำหน้ากวางหน้าบูดเดินตามหลังกอร์ดอนอยู่

ส่วนด้านหลังของปอหลัวก็คือรถลากเลื่อนหิมะ สนามหญ้ายังถือว่าเรียบอยู่ รถลากเลื่อนหิมะจึงยังพอเคลื่อนที่ไปได้ แต่เหนื่อยกว่าลากอยู่บนหิมะมากอย่างไม่ต้องสงสัย สีหน้าปอหลัวจึงเต็มไปด้วยความไม่เต็มใจ

เมื่อได้เห็นภาพนี้ ฉินสือโอวก็ไม่รู้ว่าจะร้องไห้หรือหัวเราะดี เจ้าเด็กกอร์ดอนนี่ช่างสรรหาวิธีอู้เสียจริง ไม่ต้องพูดก็รู้ รถลากเลื่อนหิมะในตอนนี้ได้กลายไปเป็นรถขยะแล้ว

เขายืนขึ้นมาโบกมือแล้วตะโกนว่า “กอร์ตอน นี่นายกำลังทำอะไรน่ะ? รีบเก็บรถลากไปเลย การเอามาลากอยู่บนสนามหญ้ามันจะเสียเอาได้นะ!”

กอร์ดอนก็โบกมือด้วยเช่นกัน แล้วพูดด้วยเสียงดีใจว่า “ไม่เป็นไรหรอกครับ ฉิน ไม่ต้องกลัวมันจะเสีย เดี๋ยวรอจนถึงฤดูหนาวแล้วค่อยให้คุณลุงทำอันใหม่ให้ก็ได้ครับ ของเก่าไม่ไปของใหม่ไม่มานะครับ!”

ฉินสือโอวส่ายหัว จำใจต้องให้พวกเด็กๆ เล่นกันต่อ งานบ้านแบบนี้จำเป็นต้องพึ่งความสนุกในการดึงดูดพวกเขา ไม่อย่างนั้นทำได้ไม่นานพวกเขาคงต้องเบื่อแน่

เขาเปลี่ยนแผ่นหินเก่าเป็นแผ่นใหม่ทั้งหมด แผ่นหินพวกนี้เป็นทรงสี่เหลี่ยมจัตุรัส ยาวครึ่งเมตร กว้างครึ่งเมตร จึงเป็นเรื่องยากที่จะไม่มีช่องว่างระหว่างแผ่นเลย ทรายวิทยาศาสตร์ที่เขาซื้อมาก็เพื่อเติมเต็มช่องว่างเหล่านี้

ถนนเล็กในฟาร์มปลามีความกว้างขนาดหนึ่งเมตร เมื่อก่อนตอนที่มีแค่คุณปู่รองของฉินสือโอวกับเออร์บัก ถนนนี้ยังถือว่าพอใช้ แต่ตอนนี้คนในฟาร์มปลาเยอะขึ้น จึงรู้สึกว่าค่อนข้างแคบไป

หลังจากฉินสือโอวปูแผ่นทางเดินหินเสร็จ แล้วยืนมองย้อนกลับไปตรงสุดทางเดิน ก็ตัดสินใจว่าตอนที่ตกแต่งสวนใหม่จะซื้อแผ่นหินมาเพิ่มอีก เพื่อขยายถนนเส้นนี้ให้กว้างขึ้น

เปลี่ยนแผ่นหินเสร็จแล้ว ต่อไปก็คือการเติมทรายเข้าไป นี่เป็นงานที่ต้องอาศัยความละเอียดมาก ฉินสือโอวทำไปได้เพียงครู่เดียวเสื้อผ้าก็ชุ่มไปด้วยเหงื่อแล้ว เชอร์ลี่ย์จึงรีบนำน้ำบลูเบอร์รีเย็นมาให้เขาดื่ม

ฉินสือโอวยกน้ำผลไม้แก้วใหญ่ขึ้นมาดื่มพรวดเดียวจนหมด ไม่นานก็รู้สึกว่าร่างกายกระปรี้ประเปร่าขึ้นมาทันที เริ่มตั้งแต่กระเพาะอาหารจากภายในสู่ภายนอก เขารู้สึกได้ถึงความเย็นที่แผ่ไปทั่วตัวเขาเลย

ตอนนี้พาวลิสใช้ปืนฉีดน้ำแรงดันทำความสะอาดทางเดินหินเสร็จแล้ว ก็เก็บปืนฉีดน้ำแล้วรีบมาช่วยเติมทราย เขาไม่พูดไม่จา ทำงานคล่องแคล่ว แม้ว่าบนผิวที่ดำเข้มนั้นจะเต็มไปด้วยเหงื่อ แต่เขากลับไม่บ่นอะไรออกมาสักคำ

เด็กๆ ที่เขาได้รู้จักมา คนที่ฉินสือโอวรู้สึกดีด้วยที่สุดก็คือพาวลิส เขาเชื่อว่าเด็กชายผิวดำคนนี้มีอนาคตที่สว่างไสวรออยู่ ทั้งมุมานะ มีวินัย พัฒนาตัวเอง ทนความลำบากได้ ทำตัวเป็นแบบอย่างที่ดี เขามีคุณสมบัติทั้งหมดของคนที่จะเป็นผู้นำ

ฉินสือโอวบอกให้พาวลิสไปพักก่อนครู่หนึ่ง แต่อีกฝ่ายกลับฉีกริมฝีปากคู่หนานั้นยิ้มแล้วพูดว่า “ผมไม่เหนื่อยครับ ต้องจัดการทางเดินหินนี้ให้เสร็จก่อน เท่านี้งานของตอนบ่ายจะได้ง่ายขึ้นครับ”

เชอร์ลี่ย์รินน้ำมะนาวเย็นมาให้พาวลิสแก้วใหญ่ ตัวเธอเองก็ดื่มด้วยเหมือนกัน ฉินสือโอวรู้สึกว่าเด็กผู้หญิงดื่มของเย็นๆ เยอะไปไม่ค่อยดี แต่ผู้หญิงผิวขาวนั้นค่อนข้างแข็งแกร่ง ผู้หญิงในเซนต์จอห์นมากมายที่แม้จะเป็นฤดูหนาวแต่ก็ยังดื่มน้ำเย็น กินไอศกรีมกันอยู่

ทำงานกันถึงสิบโมงครึ่ง ดวงอาทิตย์อยู่กลางฟ้าพอดี ฉินสือโอวจึงหยิบกระเป๋าเงินออกมาแล้วเรียกให้พวกเด็กๆ ออกมารับเงินกันโดยคิดเป็นรายชั่วโมง หนึ่งชั่วโมง 10 เหรียญตามที่ได้ตกลงกันไว้ ไม่มีให้เกิน และไม่มีให้ขาด

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวแปลกใจก็คือ กอร์ดอนกับเชอร์ลี่ย์ยังคงไม่เข้าใจแผนการเจ้าเล่ห์ที่ฉินสือโอวเล่นไปตอนเช้า

แต่นี่ก็ถือว่าปกติ เชอร์ลี่ย์เป็นคนฉลาด แต่มีอยู่สองสิ่งที่เธอทำไม่ได้เลย หนึ่งก็คือไวโอลิน ส่วนอีกอย่างก็คือคณิตศาสตร์ คะแนนสอบคณิตศาสตร์ของการสอบปลายภาคของปีนี้ยังไม่ประกาศออกมา ฉินสือโอวไม่รู้ แต่ว่าเชอร์ลี่ย์ไม่เคยได้เกรดสูงกว่าบีเลยสักครั้ง

ส่วนพาวลิสเหรอ? เกรดวิชาคณิตศาสตร์ของเขาไม่เคยต่ำกว่าเอเลย! ความจริงแล้ววิชาอื่นๆ เขาก็ไม่เคยได้เกรดต่ำกว่าเอ ตอนสอบกลางภาค สอบไปทั้งหมดหกวิชาเขาก็ได้เอบวกมาถึงห้าวิชาเลย!

การทำงานเหนื่อยมาก การโดนแดดเผาก็ลำบากมาก แต่ว่าพวกเด็กๆ ล้วนมีนิสัยสนใจเรื่องกินไม่สนใจเรื่องเหนื่อย เมื่อได้เห็นเงินแคนาดาสีแดงสดแล้วก็ดีใจกันสุดขีด ต่างพากันคิดวางแผนว่าจะซื้ออะไรกันดี

ตอนนี้เรือบรรทุกของบิลเข้าใกล้ท่าเรือแล้ว ฉินสือโอวออกไปรับเขา บิลที่พอลงเรือแล้วก็มองไปที่เครื่องมือต่างๆ ที่ถูกวางไว้หน้าบ้านพัก แล้วก็มองไปที่ฉินสือโอว คิดวิเคราะห์สักพักเขาก็เข้าใจแล้วพูดว่า “คุณกำลังจัดสวนใหม่เหรอครับ? ”

ฉินสือโอวพยักหน้าแล้วพูดว่า “ใช่แล้ว ความจริงหลักๆ คือการหางานให้พวกเด็กๆ ทำมากกว่า พวกเขาปิดเทอมแล้วน่ะ”

บิลหัวเราะแล้วพูดว่า “ถึงว่าสิ คุณน่ะเป็นเศรษฐีคนแรกเลยนะครับที่ผมเห็นมาจัดสวนเองน่ะ”

ฉินสือโอวพูดว่า “ไม่ขนาดนั้นมั้ง? อย่างในโทรทัศน์ พวกเศรษฐีอเมริกาก็ชอบทำงานบ้านกันเองนี่ครับ”

เมื่อได้ฟังคำนี้แล้วบิลก็หัวเราะอย่างไม่สบอารมณ์ออกมาแล้วพูดว่า “ที่คุณพูดน่ะมันในละครทีวีหรือหนังหรือเปล่า? เศรษฐีชาวอเมริกาน่ะเป็นหมูขี้เกียจกันทั้งนั้น แม้แต่เสื้อของพวกเขาเองยังไม่ซักเลย ยังจะคาดหวังว่าพวกเขาจะมาทำความสะอาดสวนอีกเหรอ? นั่นน่ะเป็นเรื่องหลอกลวงทั้งนั้น คนระดับชนชั้นกลางขึ้นไป ก็ไม่มีใครมาทำงานแบบนี้กันแล้วครับ”

ฉินสือโอวยักไหล่ เขากลับรู้สึกว่าการได้ลงมือทำงานบ้านเองไม่ได้มีอะไรไม่ดีเลย แน่นอนว่าต้องเป็นการที่เขาชวนพวกเด็กๆ มาทำด้วยกันนะ ให้เขาทำเองเหรอ? ไม่มีทาง มันน่าเบื่อไร้สีสันเกินไป!

บิลนำหอยเม่นเอ็กไคโนคอคคัสมาด้วย มีทั้งหมดหนึ่งแสนตัว อย่างไรเสียก็เป็นถึงบริษัทค้าผลิตภัณฑ์ทางทะเล ที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับด้านนี้โดยเฉพาะ ไม่เหมือนกับพวกเจ้าของฟาร์มปลา ทุกครั้งที่มีการให้ลูกปลามาก็ให้แบบกะปริบกะปรอยทีละหมื่นสองหมื่นตัว

ฉินสือโอวส่งข่าวให้บัตเลอร์รีบกลับมาจากทะเล กลับมาดูหอยเม่นพวกนี้ บัตเลอร์บอกว่าเขามีความรู้เกี่ยวกับเจ้าพวกนี้อยู่บ้าง

……………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท