ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1291 พี่เลี้ยงบีน

บทที่ 1291 พี่เลี้ยงบีน

เรือบรรทุกสินค้าขนาดหนึ่งพันตันขับเข้ามาในเมือง ฉินสือโอวยืนอยู่บนท่าเรือของเมือง บัตเลอร์ยืนอยู่บนหัวเรือ ทั้งสองคนมองหน้ากันแต่ไกล จากนั้นก็โบกมือเพื่อทักทายกัน

เมื่อเห็นแบบนี้ บูลที่อยู่ข้างๆ ก็พูดพึมพำออกมาว่า “มองไปแล้วอย่างกับการพบกันของสตาลินและโรสเวลต์เลย พวกคุณสังเกตเห็นไหมว่ากัปตันยิ่งอยู่ยิ่งมีราศีขึ้นทุกวัน?”

ชาร์คแจกถุงมือให้กับพวกชาวประมง พูดว่า “โอเคทุกคน เตรียมทำงานกันเถอะ คำพูดพวกนี้เก็บไว้พูดกับบอสตอนกินข้าวด้วยกันแล้วกัน เขาชอบฟังคำพูดแนวนี้ที่สุดแล้ว”

พวกชาวประมงจงใจพูดเสียงดังให้ฉินสือโอวได้ยิน ฉินสือโอวรู้ว่าพวกเขาจงใจพูดหยอก เขาไม่ได้ใส่ใจ เพียงยื่นมือไปข้างหลังชูนิ้วกลางให้พวกชาวประมงโดยไม่หันหน้ามอง

เรือบรรทุกสินค้าเทียบท่า ฉินสือโอวปีนขึ้นเรือไปถามว่า “เพื่อน นายเดินทางลำบากเลย พวกโลมาปลอดภัยดีใช่ไหม?”

บัตเลอร์พูดด้วยน้ำเสียงทอดถอนใจว่า “การเดินทางลำบากจริงๆ นายรู้ไหม การขนโลมาเป็นสิ่งที่ผิดกฎหมายในหลายๆ ประเทศ ฉันพาพวกมันมาจากมหาสมุทรแปซิฟิกจนถึงแอตแลนติกเหนือยากพอๆ กับกองทหารของแมกอาเธอร์ถอนกำลังออกจากฟิลิปปินส์กลับไปฮาวายเลย ”

นีลเซ็นที่ตามขึ้นมาทีหลังถามขึ้นมาด้วยความสงสัยว่า “กองทหารของแมกอาเธอร์ถอยทัพกลับฮาวายในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเหรอครับ? ไม่ใช่ว่าถอยทัพไปที่บาตานกับเกาะกอร์เรฮีดอร์เหรอครับ?”

บัตเลอร์กลอกตาแล้วพูดว่า “เฮ้ เพื่อน จริงจังทำไมกัน? ใครจะไปสนใจว่าเขาถอยทัพกลับไปที่ไหน? จะมีใครรู้จักเกาะอะไรของนายนั่นล่ะ? แต่ฮาวายกลับเป็นที่ที่ทุกคนรู้จัก”

ในคลังเรือเรียงรายไปด้วยกล่องเหล็กขนาดยาวสี่เมตร กว้างสี่เมตร สูงสองเมตร ในนั้นบรรจุน้ำทะเลไว้ มีเครื่องผลิตออกซิเจนต่อไว้กับกล่อง ปลาโลมาหางขาดอาศัยอยู่ในนี้นั่นเอง

ฉินสือโอวเดินดูทีละกล่อง ปลาโลมาพวกนี้ถือว่ามีเรี่ยวแรงไม่เบาเลย นี่เป็นเพราะพลังโพไซดอน เขาถ่ายพลังให้ปลาโลมาพวกนี้หลายครั้ง ทำให้พลังชีวิตแข็งแกร่งมากพอ

บัตเลอร์ตบอกแล้วพูดอย่างมั่นใจว่า “ฉันทำงานเองนายวางใจได้เลย เพื่อน วางใจได้! ปลาโลมาสี่สิบสองตัว ตอนขึ้นเรือมีสี่สิบสองตัว ตอนนี้ก็ยังมีสี่สิบสองตัว ระหว่างทางฉันดูแลพวกมันอย่างดี พวกมันอยู่สบายมากกว่าฉันเสียอีก!”

ฉินสือโอวพอใจจนหัวเราะออกมา เขาตบไปที่บ่าของบัตเลอร์ แล้วพูดว่า “ทำได้ดี พี่ชาย ครั้งนี้ฉันต้องพูดจริงๆ ฉันต้องรับความดีของนายไว้ ถือว่าฉันติดหนี้นายครั้งหนึ่งนะ”

บัตเลอร์ปัดมือออกด้วยท่าทีโอเวอร์แล้วพูดว่า “โอ้ นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายเลยนะเนี่ย!”

ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ การที่บัตเลอร์พาโลมาพวกนี้ข้ามด่านศุลกากรของญี่ปุ่นกับแคนาดามาที่เกาะแฟร์เวล นี้เป็นเรื่องที่ยากมาก อย่างน้อยๆ ก็เป็นเรื่องที่ฉินสือโอวทำไม่ได้ เพราะไม่ได้มีเส้นสายมากถึงขนาดนี้

บัตเลอร์ให้คนงานบนเรือเปิดดาดฟ้าเรือออก ฉินสือโอวสั่งการให้พวกชาวประมงใช้เครื่องยกยกกล่องเหล็กพวกนี้ขึ้นมาทีละใบ

ตอนนี้นี่เองที่รถของวินนี่และฮานี่ย์มาถึง หลังวินนี่ขึ้นเรือแล้วก็เข้าไปกอดบัตเลอร์ ยิ้มแล้วพูดว่า “ขอบคุณคุณจริงๆ บัตเลอร์ คุณเป็นคนที่จิตใจเต็มไปด้วยความรักคนหนึ่ง เกาะแฟร์เวลยินดีต้อนรับคุณตลอดไปค่ะ”

บัตเลอร์มองตาค้อนไปที่ฉินสือโอวทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “ดูสิ อย่างไรเสียคำพูดของภรรยานายก็ทำให้คนรู้สึกดีกว่า ไม่เหมือนนายที่เห็นฉันแล้วกลับเป็นห่วงแต่โลมาพวกนี้ นายต้องรู้ไว้นะ ว่าฉันเป็นเพื่อนร่วมรบคนสนิทของนาย เป็นหุ้นส่วนที่ไม่เห็นแก่ตัว ทำไมนายถึงลืมถามไถ่ฉันได้ล่ะ?”

ฉินสือโอวพูดอย่างเลือกไม่ได้ว่า “ไม่นะ เพื่อน ฉันถามไถ่นายแล้วนี่ ฉันพูดว่าเดินทางลำบากเลย!”

“อื้ม ใช่ เดินทางลำบาก ก็แต่นี่มันไม่ต่างอะไรกับไม่ได้พูดเลยไม่ใช่เหรอ?” บัตเลอร์จงใจพูดหาเรื่อง ราวกับกำลังร้องเพลงแร็ปอยู่อย่างไรอย่างนั้น

เมื่อเห็นแบบนี้แล้วฉินสือโอวก็อดไม่ได้ที่จะนึกถึงคนผิวดำเจ้าของร้านขายอุปกรณ์ม้าในเมืองที่เหมาเหว่ยหลงอยู่ขึ้นมา หรือว่าคนดำทุกคนจะมีความสามารถในการร้องเพลงแร็ปตั้งแต่กำเนิดเหรอ? บัตเลอร์กับเจ้าของร้านผิวดำคนนั้นถือว่าเป็นระดับเทพในด้านนี้จริงๆ

หลังยกกล่องใส่โลมาขึ้นมาแล้วก็เทลงไปในทะเล แบบนี้โลมาแต่ละตัวจึงส่ายหางไปมาอย่างดีใจแล้วกลับไปสู่ทะเล หลายวันมานี้พวกมันอยู่ในกล่องเล็กๆ พวกนี้คงจะอุดอู้น่าดู

มีชาวเมืองและนักท่องเที่ยวที่มาตกปลารอบๆ ท่าเรือสังเกตเห็นโลมาพวกนี้ลงไปในน้ำ พวกเขาเดินเข้ามาดูที่ท่าเรืออย่างแปลกใจ มีคนถึงกับถามฉินสือโอวออกมาด้วยว่า “เฮ้ ฉิน ปลาโลมาพวกนี้คือยังไงกัน?”

ฉินสือโอวถอนหายใจแล้วพูดว่า “ผมให้เพื่อนพามาจากญี่ปุ่นน่ะ มือเพชฌฆาตที่สมควรตายพวกนั้น เพียงเพราะพวกเขาอยากจะฉลองงานล่าปลาโลมาอะไรนั่น เลยล่าโลมาแล้วตัดหางพวกมันออกไปครึ่งหนึ่ง!”

วินนี่ที่ไม่พูดอะไรมาตลอด ตอนนี้เริ่มทนไม่ได้แล้วพูดว่า “พวกเขาโหดร้ายขนาดนี้ได้อย่างไรกัน?! โลมาพวกนี้ไม่ได้ทำผิดอะไรเลย ทำไมต้องทารุณพวกมันแบบนี้ด้วย?”

ฉินสือโอวพูดว่า “สำหรับคนบ้าแล้ว ไม่ว่าเรื่องอะไรก็ไม่มีเหตุผลทั้งนั้น ”

หลังจากคนบนท่าเรือเห็นโลมาพิการพวกนี้แล้วก็พากันก่นด่าขึ้นมา สำหรับประเทศที่สามารถโยงเรื่องรถม้าลากกับการทารุณสัตว์เข้ามาด้วยกันได้นั้น แน่นอนว่าการตัดหางโลมาต้องเป็นเรื่องที่ไม่สามารถให้อภัยได้อยู่แล้ว

แม้ว่าจะได้กลับสู่ทะเลแล้วโลมาพวกนี้จะรู้สึกดีใจ แต่ว่าพวกมันกลับไม่สามารถว่ายน้ำได้อย่างอิสระเหมือนเมื่อก่อน ไม่ว่าจะสะบัดหางแรงแค่ไหน ก็สามารถว่ายออกไปได้เพียงช้าๆ เท่านั้น มีโลมาบางตัวที่ถึงขั้นไม่สามารถควบคุมสมดุลร่างกายได้

บีนที่กำลังว่ายหาพวกหอยอยู่บริเวณน่านน้ำตื้น ก็สังเกตเห็นพวกเดียวกันอย่างรวดเร็ว จึงรีบว่ายเข้ามาหาอย่างดีใจ โดยการโหม่งหัวเข้าไปในน้ำราวกับระเบิดน้ำอย่างไรอย่างนั้น

ฟาร์มปลาไม่มีโลมามาตั้งถิ่นฐาน แม้ว่าเมื่อก่อนจะมีบ้าง แต่ตอนที่บีนเกยตื้นอยู่นั้นพวกมันไม่ได้มาช่วยเหลือ ทำให้บีนจอมใจแคบจำฝังใจ จึงไม่ได้ตามพวกมันไป

ปกติแล้ว ที่ฟาร์มปลาบีนจะเล่นกับไอซ์สเกตและบอลหิมะได้เท่านั้น และเมื่อถึงฤดูอย่างว่าแล้วมันก็ถึงขั้นต้องขี่ไอซ์สเกตเพื่อปลดปล่อยความใคร่อีกด้วย ตอนนี้เมื่อได้พบกับเพื่อนแปลกหน้าที่สายพันธุ์เดียวกันแถมยังเป็นมิตรอีกถึงสี่สิบกว่าตัว จะไม่ดีใจได้อย่างไร?

ฉินสือโอวได้ใช้พลังโพไซดอนเสริมสร้างร่างกายของบีนมาตลอด มันจึงมีชีวิตชีวาตลอดเวลา และตอนนี้เมื่อได้เห็นเพื่อนสายพันธุ์เดียวกันทำให้มันเกิดนึกสนุก ใช้ปากและหัวชนไปที่โลมาพวกนี้เพื่อหยอกเล่น

ตอนนี้แหละที่พวกโลมาพิการพากันปวดสมองขึ้นมา พวกมันเองก็อยากหยอกเล่นเหมือนกัน แต่ว่าพวกมันไม่สามารถทำแบบนั้นได้ จึงทำได้แต่ยอมให้บีนชนไปมาราวกับกำลังเดาะบอลอยู่

ในที่สุดบีนก็รับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลนี้ ตาดวงโตที่ส่องประกายแวววาวของมันจ้องไปที่พวกเดียวกัน แล้วว่ายวนรอบตัวพวกมันอย่างรวดเร็วหลายๆ รอบ จึงพบว่าพวกมันไม่สามารถว่ายน้ำได้อย่างอิสระเหมือนกับตัวเอง

บีนโผล่หัวออกมาจากน้ำทะเลมองไปที่ฉินสือโอวอย่างร้อนรน จากนั้นก็อ้าปากในน้ำและว่ายวนเป็นวงกลม

นี่คือมันกำลังส่งเสียงร้องอยู่ แต่ว่าเสียงของโลมานั้นเป็นคลื่นความถี่ต่ำ หูของคนไม่ได้ยิน ฉินสือโอวจึงจำเป็นต้องลงจากท่าเรือไปลูบหัวเพื่อปลอบใจมัน ให้มันรู้ว่าเขาเข้าใจความรู้สึกของมันดี

บีนโผล่หัวออกมาจากน้ำแล้วว่ายวนอยู่หลายรอบ จากนั้นก็ดำลงไปในน้ำแล้วหายไปเลย

ไม่นานนัก ร่างกายที่เรียวยาวแข็งแรงของมันก็ปรากฏมาให้เห็นอีกครั้ง ปากยาวของมันคาบปลาหิมะเงินไว้ตัวหนึ่ง พุ่งตัวเข้าไปทิ้งไว้ด้านหน้าโลมาพิการตัวหนึ่ง แล้วก็ใช้ปากดันปลาไปตรงหน้าโลมาตัวนั้น

โลมาตัวนั้นกินปลาตายมาหลายวันแล้ว ในที่สุดตอนนี้ก็ได้เจอกับอาหารสดสักที จึงรีบอ้าปากแล้วกลืนลงไป

เมื่อเห็นมันกินลงไป บีนก็ยิ้มอย่างดีใจ เผยให้เห็นใบหน้ายิ้มแย้มอันใหญ่โต จากนั้นก็ดำหายไปอีก

พอปรากฏตัวอีกครั้ง ปากของมันก็คาบปลากะพงญี่ปุ่นไว้อีกหนึ่งตัว จากนั้นก็ไปหาโลมาพิการอีกตัวแล้วส่งปลาให้

ฉากความรักนี้ทำเอาชาวเมืองและนักท่องเที่ยวบนท่าเรือมองดูอย่างไม่เชื่อสายตา จึงพากันหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมาถ่ายวิดีโอไว้

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท