ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1295 การเก็บกวาดฟาร์มปลาครั้งใหญ่

บทที่ 1295 การเก็บกวาดฟาร์มปลาครั้งใหญ่

ฉินสือโอวส่ายแล้ว แล้วก็ออกไปจากน่านน้ำแถบนี้ ก่อนจะไปเขาเห็นพี่น้องฉลามขาวของเฮยป้าหวังที่ต่างพากันมุงดูอยู่รอบๆ แมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือและพร้อมจะออกตัวแล้ว ดูท่าไม่นานพวกมันเองก็คงจะไปเข้าร่วมกลุ่มเล่นสนุกกับกลุ่มนั้นด้วยแล้วล่ะ

เขาตรวจตรารอบๆ ฟาร์มปลารอบหนึ่ง พบว่าที่อื่นๆ ไม่ได้มีปัญหาอะไร น้ำทะเลใสสะอาด บรรยากาศก็เงียบสงบ

เช้าวันที่สองหลังตื่นนอน บัตเลอร์ไปตรวจดูไลน์การผลิตปลาโอแถบแห้ง ในห้องแช่แข็งมีปลาโอแถบที่จับได้ก่อนหน้านี้อยู่ ปลาโอแถบลังแล้วลังเล่าถูกส่งเข้าไป สิ่งที่ออกมาก็คือปลาโอแถบแห้งที่แห้งกรอบกันทุกตัว

ปลาโอแถบที่ผ่านการอบแล้วล้วนมีสีเหลืองทองอ่อน เพราะว่าได้ทำการผ่าครึ่งออกไปอบ ทำให้สามารถมองเห็นคุณภาพของเนื้อได้ คุณภาพของเนื้อปลาโอแถบที่ฟาร์มปลาผลิตออกมานั้นคุณภาพดีมาก สามารถดูออกได้จากปลาโอแถบแห้งได้ ก็คือเนื้อปลาจะมีลายหินอ่อนเป็นวงๆ อยู่บนนั้น

บัตเลอร์หยิบขึ้นมาตัวหนึ่งแล้วดมดู ปิดตาแล้วทำท่าดื่มด่ำ พร้อมพูดด้วยเสียงที่โอเวอร์ว่า “โอ้พระเจ้า ไม่แปลกที่จะมีคนเป็นโรคเสพติดสิ่งของ เมื่อก่อนฉันไม่มีทางเข้าใจเลย แต่ตอนนี้เหรอ ดูปลาโอแถบแห้งพวกนี้สิ จะให้ฉันไม่ติดใจพวกมันได้อย่างไร?”

“นายเอาไปกอดนอนไป” ฉินสือโอวพูดพร้อมหัวเราะ

พวกของเชอร์ลี่ย์พากันวิ่งเข้ามาหาอย่างด้วยความดีใจ ไวส์ กอร์ดอนและชาร์คน้อยกำลังเล่นหยอกล้อกันอยู่ ตอนแรกชาร์คน้อยเป็นฝ่ายถูกไล่ตาม แต่จากนั้นเขาก็เก็บกิ่งไม้ขึ้นมาอันหนึ่ง แล้วหันหลังไปไล่ตีไวส์กับกอร์ดอน ทำเอาสองคนนั้นกรีดร้องออกมาเสียงหลง

กอร์ดอนตะโกนร้องว่า “ไวส์ ลมปราณนายอยู่ไหน? รีบแทงเขาสิ!”

ไวส์วิ่งไปพลางร้องออกไปว่า “พวกเราจะต้องมีคุณธรรม! นี่น่ะเป็นการแข่งขันของสายกระบี่ ไม่สามารถใช้พลังวิชาลมปราณได้! อ้อ ชิท มีใครหาดาบให้ฉันได้บ้าง?”

ตอนนี้ปลาโอแถบแห้งลังหนึ่งถูกผลักออกมา ไวส์เห็นแล้วก็ตาลุกวาว รีบวิ่งเข้าไปหยิบมาสองกำมือ มือข้างหนึ่งถือหางของปลาโอแถบแห้งไว้ แล้วทันใดนั้นความมั่นใจก็เพิ่มขึ้นมาอย่างมากทันที

ชาร์คน้อยหัวเราะร่าแล้วพูดว่า “นายถึงกับใช้ปลาแห้งเลยเหรอ? หาที่ตายจริงๆ!”

“นี่คือปลาโอแถบแห้งต่างหาก นายมันหน้าโง่!” คราเคนน้อยลูกของชาร์คตกใจจนวิญญาณแทบจะออกจากร่าง

ปลาแห้งสองตัวของไวส์ฟันลงไป ตัดจนกิ่งไม้ที่อยู่ในมือของชาร์คน้อยหักไปในทันที จากนั้นก็ถึงตาที่เขาต้องกรีดร้องบ้างแล้ว

กอร์ดอนเองก็หยิบปลาโอแถบแห้งไปสองตัวด้วยเหมือนกัน พร้อมเลียนแบบการจู่โจมแบบล้อมเข้าหาศัตรูของหู่จือและเป้าจือ โดยการแอบเข้าไปทำร้ายชาร์คน้อยจากด้านข้าง ฟาร์มปลาเริ่มวุ่นวายขึ้นมาทันที

หลังจากพวกเด็กๆ หยอกเล่นกันเสร็จแล้ว ไวส์กับกอร์ดอนเดินกลับมาวางปลาโอแถบแห้งลง พร้อมกับพูดชมไม่ขาดปากว่า “นี่เป็นดาบวิเศษจริงๆ แข็งแรงไม่สะทกสะท้านเลย!”

บัตเลอร์พูดว่า “พวกเธอคิดว่ามันราคาถูกกว่าดาบวิเศษเหรอ? ดาบเล่มหนึ่งก็มีราคาแค่ไม่กี่สิบดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น แต่ปลาโอแถบแห้งหนึ่งตัวสามารถขายได้ถึงหลักร้อยดอลลาร์สหรัฐเลยนะ!”

ฉินสือโอวเห็นว่าพวกเด็กๆ ดูจะร่าเริงเป็นพิเศษ จึงเรียกเชอร์ลี่ย์มาถามว่าเกิดอะไรขึ้น

เชอร์ลี่ย์ยิ้มแล้วตอบอย่างมีความสุขว่า “พวกหนูปิดเทอมแล้วค่ะ! เริ่มตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไป พวกเราก็จะสามารถดื่มด่ำกับชีวิตที่สวยงามได้แล้ว!”

ฉินสือโอวเข้าใจในทันที ที่แท้ก็เป็นอย่างนี้นี่เอง เขาเองก็ลืมไปแล้วว่าวันนี้เป็นวันปิดเทอมของโรงเรียนประถมแกรนท์

ตอนทานอาหารค่ำกัน ฉินสือโอวถามวินนี่ว่าในเมืองมีงานเร่งด่วนอะไรไหม วินนี่ยิ้มแล้วพูดว่า “คุณคิดว่าในเมืองเล็กๆ นี้จะมีเรื่องมากมายแค่ไหนกันคะ? ตอนนี้ทุกอย่างกำลังไปได้ดี เหลือก็แค่รอให้เรือยอช์ตลำเล็กกับลูกม้าที่สั่งไว้มาถึง แค่นี้โครงการท่องเที่ยวของเมืองก็สามารถพัฒนาไปได้ไกลกว่านี้แล้ว”

ฉินสือโอวทำทีเป็นว่าเสียดายแล้วพูดว่า “งั้นก็ไม่มีโอกาสให้ผมได้แสดงฝีมือแล้วสิ”

วินนี่เอียงคอมองไปที่นอกประตูทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “หากว่าคุณว่าง งั้นก็จัดการฟาร์มปลาสิคะ ตัดสนามหญ้า จัดถนนเสียใหม่ คุณดูสิ ฟาร์มปลาค่อนข้างยุ่งเหยิงแล้วนะคะ ”

ฟาร์มปลาเลี้ยงไก่เป็ดห่านตั้งเยอะ ไหนจะมีหมูป่ากับกวางป่าอีก ไม่ยุ่งเหยิงสิแปลก

พอดีกับที่เชอร์ลี่ย์และพวกเด็กๆ ปิดเทอมกันหมดแล้ว ฉินสือโอวจึงจับพวกเขามาเป็นแรงงานเด็ก บอกว่าพรุ่งนี้พวกเราจะมาจัดระเบียบฟาร์มปลาพร้อมกัน

กอร์ดอนถามด้วยความคาดหวังว่า “มีค่าจ้างไหมครับ?”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “แน่นอน ค่าจ้างรายชั่วโมงสูงมาก หนึ่งชั่วโมงยี่สิบเหรียญเป็นอย่างไร?”

“หนึ่งวันทำงานกี่ชั่วโมงครับ?” มิเชลถาม

ฉินสือโอวยักไหล่ แล้วพูดว่า “ช่วงเช้าสี่ชั่วโมง ช่วงบ่ายสี่ชั่วโมง”

พาวลิสกับมิเชลปรบมือ กอร์ดอนจ้องไปที่ทั้งสองคนทีหนึ่ง แล้วเริ่มต่อรองราคาอย่างกระตือรือร้นว่า “ไม่ครับ ฉิน นี่เป็นราคาที่ไม่ยุติธรรมเลย คุณดูนะครับ ตอนบ่ายอากาศร้อนขนาดไหน ยี่สิบเหรียญน้อยเกินไปนะครับ”

ฉินสือโอวบอกว่า “งั้นอย่างนี้แล้วกัน ช่วงเช้ายี่สิบเหรียญ ช่วงบ่ายสามสิบเหรียญดีไหม?”

กอร์ดอนพยักหน้าอย่างพอใจ แล้วจับมือกับฉินสือโอวอย่างมีพิธีรีตองพร้อมพูดว่า “ตกลงครับ”

พอหันหลังกลับ เขาก็เริ่มต่อหน้าพาวลิสกับมิเชลว่า “เรื่องทำธุรกิจนี่พวกนายไม่ได้เรื่องเลย ดูสิ ฉันพูดแค่คำเดียว พวกเราก็สามารถหาเงินได้มากขึ้นตั้งเยอะ”

พาวลิสกับกอร์ดอนทำหน้าอึ้ง มองไปที่กอร์ดอนราวกับคนโง่

เชอร์ลี่ย์ตบบ่ากอร์ดอนสองที แล้วพูดพร้อมรอยยิ้มราวดอกไม้บานว่า “ถือว่านายยังพอมีประโยชน์อยู่บ้างนะ กอร์ดอน ฉันต้องยอมรับแล้วล่ะว่าก่อนหน้านี้ฉันดูถูกนายเกินไปหน่อย”

“ใช่ไหมล่ะ? ฮ่าๆๆ!” กอร์ดอน

พาวลิส มิเชล ไวส์ “…”

ตอนเช้าหลังจากที่วินนี่ไปทำงาน ชาวประมงออกทะเลแล้ว ฉินสือโอวก็พาพวกเด็กๆ ไปเก็บกวาดฟาร์มปลา

ฟาร์มปลามีพื้นที่เยอะมาก ไม่สามารถเก็บกวาดได้หมด ขอแค่เก็บกวาดพื้นที่ส่วนบ้านพักก็พอแล้ว ที่อื่นๆ ทำความสะอาดลำบาก ก่อนหน้านี้ที่ฉินสือโอวอยู่ไม่สุข อยากปลูกหญ้าสำหรับให้อาหารสัตว์ ตอนนี้พอหญ้าโตแล้ว ปกติก็ไม่ได้รับการดูแลที่ดี ทำให้หญ้าขึ้นรกเต็มไปหมด

ฉินสือโอวสวมแว่นกันแดดเสร็จแล้วก็แจกจ่ายงานให้พวกเด็กๆ “พาวลิส นายโตสุด งั้นงานที่หนักที่สุดก็มอบให้นายแล้วกัน ไปหยิบปืนฉีดน้ำมา นายไปฉีดทำความสะอาดถนนเส้นนี้”

ชาร์คเอาปืนฉีดน้ำมาจากบ้านด้วยอันหนึ่ง หลังจากเชื่อมกับถังน้ำแล้วก็สามารถใช้น้ำแรงดันสูงฉีดทำความสะอาดถนนได้แล้ว

“กอร์ดอน ไปใส่หมวก นายไปจัดการกับขยะ ฟาร์มปลามีขยะเยอะขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? อ่ะ ถุงขยะให้นาย นายกับชาร์คน้อยไปจัดการกัน”

“คราเคนน้อย นายไปถอนหญ้า ฉันคิดว่าพ่อนายคงสอนนายแยกแยะแล้วว่าอันไหนคือวัชพืชใช่ไหม? ไปถอนวัชพืชออกให้หมด รีบไปเลย”

“ไวส์ อืม ตอนนี้นายยังไม่ต้องทำงาน อีกสักพักจะมีคนมาส่งทรายวิทยาศาสตร์ ถึงตอนนั้นนายพาคนงานยกของไปเก็บไว้ก็พอ”

“แล้วผมล่ะครับ?” มิเชลถาม

ฉินสือโอวยิ้มอย่างเป็นมิตร ลูบไปที่หัวของมิเชลแล้วพูดว่า “นายไปซ้อมบาสเกตบอลเถอะ วันนี้ต้องชู้ตลูกลงให้ได้สองร้อยลูกถึงจะกินข้าวได้เข้าใจไหม? ไปเถอะ”

“ชิท ไม่ยุติธรรม!” ชาร์คน้อยหัวเสียขึ้นมาในทันที

“ยังมีเชอร์ลี่ย์ เชอร์ลี่ย์ทำอะไรครับ?” คราเคนน้อยถาม

ฉินสือโอวทำหน้าเข้มแล้วพูดว่า “เชอร์ลี่ย์เป็นเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงสามารถทำงานแบบนี้ได้เหรอ?”

“หากอยากได้ผลตอบแทน ก็ต้องทำงาน! ครูของเราบอกไว้แบบนี้ ” คราเคนน้อยพูดอย่างเจ้าเล่ห์

ฉินสือโอวคิดอยู่สักพัก แล้วพูดว่า “โอเค เชอร์ลี่ย์ไปเตรียมเครื่องดื่มเย็นๆ พวกนายอยากดื่มอะไรก็บอกเธอแล้วกัน หากทำเองได้ก็ทำเอง ถ้าทำเองไม่ได้ก็ไปซื้อในเมือง”

ต้องทำแบบนี้พวกหนุ่มๆ ถึงจะพอใจ แล้วหยิบเครื่องมือไปทำงานของตัวเอง

ตัวฉินสือโอวเองก็ต้องทำงานเหมือนกัน เขานั่งอยู่บนรถตัดหญ้า แล้วผิวปากขับรถไปบนหญ้าอย่างสบายใจ

เสียงรถตัดหญ้าร้องดังหึ่มๆ พงหญ้าที่สูงต่ำไม่เท่ากันพวกนั้นถูกตัดแต่งให้เป็นระเบียบในเวลาอันรวดเร็ว

เมื่อเห็นแบบนี้แล้ว พวกเด็กๆ ต่างก็พากันตาค้าง แม้แต่เชอร์ลี่ย์เองก็ตาค้าง จะมีงานไหนที่สบายกว่านี้อีกไหม?

ฉินสือโอวทำท่ามั่นใจเต็มอก เขาชี้ไปที่พงหญ้าด้านหลังแล้วพูดว่า “พวกเธอสามารถตัดจนเรียบเหมือนฉันแบบนี้ได้เหรอ?”

“ทำได้!” พวกเด็กๆ พูดออกมาเสียงเดียวกัน

ฉินสือโอวอึ้งไปทันที จากนั้นก็ยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วพูดว่า “พวกเธอมีใบขับขี่เหรอ? ไม่มีใบขับขี่ขับรถไม่ได้นะ!”

………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท