ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1293 ความโหดร้ายที่รุกล้ำเข้ามา

บทที่ 1293 ความโหดร้ายที่รุกล้ำเข้ามา

เทียบกับกุ้งกุลาดำที่ได้รับการปกป้องเป็นพิเศษแล้ว สถานการณ์ของปลาลิ้นหมามินิออกจะเสี่ยงกว่าเสียด้วยซ้ำ

ตอนนี้พวกมันเข้าไปอยู่ในฟาร์มปลาแล้ว รอบตัวก็คือพวกปลาค็อดกับปลาอีโต้มอญที่อันตราย ลูกปลาลิ้นหมาที่ขนาดใหญ่แค่ฝ่ามืออย่างนี้ สำหรับพวกมันแล้วก็เป็นได้แค่อาหารเท่านั้น

แต่ทว่าปลาลิ้นหมามินิกลับอาศัยอยู่แต่น่านน้ำทะเลใกล้ๆ อย่างว่าง่าย ฉินสือโอวเห็นพวกมันว่ายลอยตัวช้าๆ อยู่ใต้ทะเล มีบางกลุ่มที่รู้จักการซ่อนตัวในสาหร่ายทะเลอีกด้วย สีน้ำตาลของลำตัวของพวกมันบวกกับการซ่อนตัวจากสาหร่ายทะเล ทำให้พวกมันมีโอกาสรอดชีวิต

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่ทิศแผ่ออกไปรอบฟาร์มปลารอบหนึ่งอย่างรวดเร็ว ฉินสือโอวไล่พวกปลาตัวใหญ่ไปยังทะเลน้ำลึก เพื่อพยายามลดโอกาสที่พวกมันจะเจอตัวปลาลิ้นหมามินิให้ได้มากที่สุด

นอกจากกุ้งปลาแล้ว ใต้ทะเลของฟาร์มปลายังมีพวกหอยเชลล์อย่างหอยเชลล์มินิเพิ่มขึ้นมามากมาย แต่ถ้าเทียบกับกุ้งกุลาดำแล้ว พวกหอยเชลล์ดูจะกระตือรือร้นมากกว่ามาก

เมื่อก่อนฉินสือโอวคิดว่าหอยเชลล์จะเหมือนกับหอยนางรมลอย คืออาศัยอยู่ใต้ทะเล ไม่ค่อยขยับไปไหน และใช้ชีวิตอย่างสงบ แต่หลังจากมาเลี้ยงเองแล้วจึงพบว่าไม่ใช่อย่างนั้นเลย พลังการเคลื่อนไหวของพวกหอยเชลล์นั้นแข็งแกร่งมาก

หอยเชลล์พวกนี้สามารถใช้กล้ามเนื้ออ้าเปลือกออก หลังจากดูดน้ำทะเลเข้าไปแล้วปิดปากลงอย่างรวดเร็วแล้วจะเกิดปฏิกิริยาแรงผลักในน้ำทำให้สามารถเคลื่อนที่ได้อย่างรวดเร็ว

ตอนนี้ใต้ทะเลใกล้ฝั่งจึงมีหอยเชลล์เปิดปิดเปลือกหอยเพื่อเคลื่อนที่อยู่ไม่ขาดสาย หนำซ้ำบางครั้งยังสามารถกระโดดโลดเต้นในน้ำได้อีกด้วย โดยการใช้การเปิดปิดอย่างแรงพุ่งตัวไปข้างหลัง แถมความเร็วในการเคลื่อนที่ยังไม่ช้าเสียด้วย

หลังจากที่พวกมันเคลื่อนตัวไปเจอกับสถานที่ที่เหมาะแก่การอยู่อาศัยแล้ว ก็จะยื่นขาออกมาเกาะไว้ที่โขดหินในทะเลน้ำตื้นหรือไม่ก็หาดทรายใต้ทะเลเพื่อเป็นการหยุดอยู่กับที่ รอจนที่แห่งนั้นไม่มีอาหารเพียงพอแล้ว ก็จะเก็บขาเข้ามาแล้วเปลี่ยนที่อยู่อาศัยใหม่

หอยเชลล์ชอบอาศัยอยู่ในน่านน้ำที่ไหลเชี่ยว มีความเค็มค่อนข้างสูง และค่อนข้างสว่าง เพราะว่าพวกมันเป็นสัตว์จำพวก Filter Feeder (พวกที่กรองกินอนุภาคของอาหารที่มีขนาดเล็กที่แขวนลอยอยู่ในน้ำ) คือเป็นพวกที่สามารถเลือกขนาดของอาหารได้ แต่ไม่สามารถเลือกประเภทของอาหารได้ ดังนั้นจึงต้องพึ่งกระแสน้ำในการส่งอาหารมาให้

ดังนั้น ตอนนั้นที่ฉินสือโอวปล่อยพวกมันไว้ตรงน่านน้ำของฟาร์มปลาแกธเธอริงที่อยู่ทิศเหนือของเกาะ ก็เพราะเกาะแฟร์เวลมีลมเหนือมากก็จริง แต่ทางตอนเหนือมีกระแสน้ำลึกที่มาจากขั้วโลกเหนือนั่นเอง

หลังจากพวกหอยเชลล์หาที่เหมาะสมสำหรับอยู่อาศัยได้แล้วก็จะหยุด แล้วทำการต่อตัวเรียงกันเป็นแถว ราวกับกำลังทำเส้นแนวป้องกันใต้ทะเลอยู่ เพื่อเป็นการใช้ประโยชน์ของกระแสน้ำลึกและคลื่นทะเลในการหาอาหารให้ได้มากที่สุด

คลื่นทะเลพัดเกลียวเข้ามา เหล่าหอยเชลล์พากันเปิดเปลือกออก ขอแค่ขนาดใช้ได้ ไม่ว่าจะใช่หรือไม่ใช่อาหารก็ล้วนถูกสายระยางดึงเข้าไปในปากทั้งหมด การทำแบบนี้ของพวกมันมีประโยชน์ต่อการทำความสะอาดน้ำทะเลเป็นอย่างมาก

อาหารหลักของหอยเชลล์คือเศษอินทรีย์สาร และแพลงก์ตอนที่แขวนลอยอยู่ในน้ำทะเล อย่างเช่นสปอร์ของสาหร่ายหรือใบสาหร่ายที่หลุดร่วงลงมา นอกเหนือจากนี้ยังสามารถกินแบคทีเรียทุกชนิดที่อยู่ในน้ำได้อีกด้วย

ฉินสือโอวหาต้นตอของกระแสน้ำลึกจนเจอ จึงใช้พลังโพไซดอนพัดคลื่นลูกใหญ่เพื่อพาบรรดาหอยเชลล์ไปที่นั่น เพียงเท่านี้หอยเชลล์ก็มีที่อยู่อาศัย และสามารถเปิดเปลือกเพื่อตั้งหน้าตั้งตารอให้กระแสน้ำพัดอาหารมาให้ได้แล้ว

หลังจากเตร็ดเตร่อยู่แถวทะเลใกล้ฝั่งเสร็จ เขาก็มุ่งหน้าเข้าไปยังน่านน้ำที่ไกลออกไปอีก

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนส่วนหนึ่งยึดไว้กับตัวฉลามยักษ์เฮยป้าหวัง เพราะฉินสือโอวอยากจะบังคับฉลามเพื่อวางมาดเสียหน่อย แต่พอมองไปข้างหน้าเท่านั้นก็กลับเห็นภาพอันน่าประหลาดใจเข้า

ราวกับว่ามีระเบิดนิวเคลียร์มาระเบิดลงในทะเลอย่างไรอย่างนั้น เพราะมีควันที่รูปร่างคล้ายดอกเห็ดลอยล่องอยู่ในน้ำหลายดอกเลย!

เมื่อกี้เฮยป้าหวังเองก็กำลังจ้องมองภาพเหตุการณ์นี้อยู่เช่นกัน หรือว่าสิ่งมีชีวิตตัวนี้

มองแค่ปราดเดียวฉินสือโอวก็รู้ทันทีว่าเป็นสิ่งมีชีวิตอะไร นี่ก็คือหัวหน้าใหญ่อีกตัวของมหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ แมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือ!

เขาคาดการณ์ไว้แต่แรกแล้วว่าแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือต้องมาที่ฟาร์มปลา แค่ไม่รู้เวลาที่แน่ชัดเท่านั้น นึกไม่ถึงว่าจะปุบปับ ให้เขาได้เจอสิ่งมีชีวิตนี้ในคืนนี้

แมงกะพรุนขนสิงโตเหนือเป็นสิ่งมีชีวิตที่ใหญ่ที่สุดในโลก อย่างเช่นตัวที่เขาเจอตัวนี้ มันมีเส้นผ่าศูนย์กลางของร่มยาวถึงสองเมตรกว่า แน่นอนว่านี่ไม่ถือว่าใหญ่ แต่ว่าหนวดของมันนั้นกลับถือว่าใหญ่มาก หนวดเพียงเส้นเดียวก็ยาวถึงสี่ห้าสิบเมตรเลยทีเดียว

และตอนที่แมงกะพรุนชนิดนี้ลอยอยู่ในน้ำ มักจะเคยชินกับการใช้ร่มคลุมหนวดที่ยื่นออกไปรอบด้าน เท่ากับว่าหนวดสองข้างที่ลอยอยู่ในน้ำ สามารถมีระยะทางไกลได้อีกร้อยเมตรเลย!

ร่มที่ลอยอยู่ในน้ำของแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือชนิดนี้ จะยื่นหนวดที่มีมากมายลงไปด้านข้าง ยิ่งยื่นลงไปได้เท่าไร มองไปก็ยิ่งเหมือนควันรูปดอกเห็ดที่ระเบิดออกอย่างไรอย่างนั้น

แต่มองไปแล้วมันสวยกว่าควันดอกเห็ดมากเลยทีเดียว ในตัวของแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือมีโปรตีนที่มหัศจรรย์ชนิดหนึ่งที่ชื่อว่าเอควาริน เมื่อโปรตีนชนิดนี้รวมตัวกับแคลเซียมไออนเมื่อไร ก็จะเปล่งแสงสีฟ้าที่สว่างจ้าออกมา

ยิ่งมีปริมาณเอควารินในตัวแมงกะพรุนมากเท่าไร แสงที่เปล่งออกมาก็จะยิ่งสว่าง อย่างเช่นแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือตัวนี้ที่มีปริมาณเอควารินในตัวอยู่ไม่น้อย ตอนที่มันกำลังเคลื่อนที่อยู่ในน้ำ ท่อลำเลียงอาหารทั้งแปดท่อของมันสามารถเปล่งแสงสีฟ้าออกมาได้ ทำให้มองไปแล้วดูเหมือนเป็นลูกบอลหลากสีที่มีสีสวยสะดุดตาลูกหนึ่ง

ไม่เหมือนกับแมงกะพรุนเวเลลลา แสงของแมงกะพรุนขนสิงโตจะสามารถสว่างได้นานกว่า หนวดของพวกมันเป็นราวกับเส้นแสงหลายๆ เส้น ทำให้ตอนที่พวกมันว่ายน้ำอยู่ เส้นแสงก็จะสะบัดไปมาตามแรงคลื่น สวยตระการตามาก

ฉินสือโอวมองดูแมงกะพรุนขนสิงโตตัวใหญ่ยักษ์นี้ ในใจไม่รู้ว่าควรจะรู้สึกดีใจหรือกังวลดี

เหตุผลที่มันได้ชื่อว่าแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือ ก็เพราะในปัจจุบันจะสามารถพบได้มากในน่านน้ำเขตขั้วโลกเหนือ พวกมันมีความพิถีพิถันในการเลือกคุณภาพน้ำที่อยู่อาศัยเป็นอย่างมาก ขอแค่น้ำทะเลมีการปนเปื้อนเพียงนิดเดียว ก็สามารถตายได้เลย ดังนั้นจึงมีแต่น่านน้ำที่มีคุณภาพน้ำที่ดีเท่านั้น ที่จะมีแมงกะพรุนขนสิงโตปรากฏตัวออกมาให้เห็น

การมาถึงของแมงกะพรุนสิงโตตัวนี้ หมายความได้ว่าคุณภาพน้ำของฟาร์มปลาต้าฉินนั้นอยู่ในระดับแนวหน้าของมหาสมุทรแล้ว

แต่ทว่า แม้แมงกะพรุนขนสิงโตจะมีรูปร่างที่สวยงามก็ตาม แต่ความจริงแล้วดุดันน่ากลัวเป็นอย่างมาก อย่างเช่นปลาทะเลที่แข็งแกร่งอย่างปลาค็อดแอตแลนติกเหนือ หากว่าถูกหนวดของมันจับได้แล้วล่ะก็ ใช้เวลาไม่นานก็ตายกลายเป็นอาหารไปได้ในทันที

ตอนนี้หนวดของแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือตัวนี้กำลังลอยล่องอยู่ในน้ำทะเล สิ่งนี้เป็นทั้งอวัยวะในการย่อยอาหาร และยังเป็นอาวุธของพวกมันด้วย

บนหนวดของมันเต็มไปด้วยไนโดไซต์ ซึ่งเหมือนกับใยพิษ สามารถปล่อยสารพิษออกมาได้ ไม่ว่ากุ้งปลาตัวไหนถูกอวัยวะนี้จับตัวไว้ได้ก็จะต้องเป็นอัมพาตแล้วตายทั้งนั้น

ฉินสือโอวมองดูปลาทะเลเล็กใหญ่ที่ว่ายน้ำผ่านมา ตัวที่ฉลาดหน่อยจะพากันว่ายหลบเจ้าแมงกะพรุนขนสิงโตตัวนี้ แต่ก็มีบางตัวที่ว่ายพุ่งเข้าไปหาทันที

เมื่อเป็นแบบนี้แล้ว หนวดของแมงกะพรุนหนวดสิงโตจึงพันรัดตัวพวกมันเอาไว้ ปลาตัวที่เล็กหน่อยอย่างปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะ ใช้เวลาแค่สองสามนาทีก็เป็นอัมพาตจนเสียชีวิต ส่วนปลาค็อดที่ตัวใหญ่หน่อยก็สามารถทนได้แค่หกเจ็ดนาทีเท่านั้น

เมื่อรอจนเหยื่อตายแล้ว แมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือจะเก็บหนวดกลับมา ใช้ติ่งเนื้อเมือกด้านล่างร่มดูดไว้ ติ่งเนื้อเมือกของพวกมันสามารถสกัดเอนไซม์ออกมา เมื่อทำการย่อยโปรตีนจากร่างกายของเหยื่อออกมาอย่างรวดเร็วแล้วก็จะกินเข้าไป

ส่วนที่น่ากลัวอยู่ที่แมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือเป็นสัตว์ชั้นต่ำ พวกมันไม่มีจิตสำนึก ไม่รู้จักอิ่มหรือหิว ขอแค่มีเหยื่อเข้าใกล้ พวกมันก็จะไม่หยุดที่ล่าอาหาร

และเริ่มตั้งแต่ฉินสือโอวส่งจิตสำนึกเข้าไปที่เฮยป้าหวังจนถึงตอนนี้ ก็เห็นว่ามีปลาทะเลไม่น้อยเลยที่ว่ายเข้าไปในบริเวณที่หนวดเอื้อมถึงได้

ตอนแรกฉินสือโอวนึกว่าปลาทะเลพวกนี้ถูกหนวดที่เรืองแสงของแมงกะพรุนขนสิงโตดึงดูดเข้าไป แต่ปลาที่ว่ายเข้ามานั้นมีเยอะมากจนเขาเองก็ตกใจเล็กน้อย เมื่อไรกันที่ปลาของฟาร์มปลาไวต่อแสงขนาดนี้?

เขายังสังเกตได้ถึงอีกจุดหนึ่งด้วยว่า ปลาพวกนี้ว่ายมาจากทิศทางเดียวกัน แล้วยังว่ายมาด้วยท่าทีตื่นตระหนกด้วย ดังนั้นเขาจึงทวนกระแสน้ำเข้าไปดู แต่สิ่งที่เขาเห็นตามมานั้นกลับทำให้เขาโกรธจนแทบจะระเบิดเลย

สิ่งที่เขาเห็นด้านหลังฝูงปลาพวกนี้ ก็คือภาพฉลามแมวเจ็ดพี่น้องที่กำลังเล่นกันอย่างสนุกสนานอยู่ พวกมันก็เหมือนกับคนเลี้ยงแกะ ที่กำลังไล่ต้อนปลาไปทางแมงกะพรุนขนสิงโตตัวนี้!

ให้ตายสิ! ฉินสือโอวควบคุมเฮยป้าหวังแล้วรีบพุ่งเข้าไปทันที!

…………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท