ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1300 หมีที่กินอาหารหมา

บทที่ 1300 หมีที่กินอาหารหมา

ขั้นตอนแรกในการถ่ายทำเป็นการถ่ายภาพนิ่งโดยส่วนใหญ่ แล้วนำไปพิมพ์เป็นโปสเตอร์ เพื่อใช้เป็นรูปโฆษณาทางออนไลน์

การแต่งตัวของหู่จือและเป้าจือมีหลากหลายมาก มีทั้งสวมหมวก สวมแว่นกันแดด แว่นธรรมดา สวมผ้าคลุม ผูกโบหูกระต่าย ผูกเนกไท และยังมีชุดของซูเปอร์ฮีโร่ในอเวนเจอร์ที่กำลังโด่งดังในปัจจุบันอีกด้วย

การได้เห็นหู่จือสวมชุดและหมวกของกัปตันอเมริกา ส่วนเป้าจือก็แต่งชุดของสไปเดอร์แมนแล้ว ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกแปลกใจ จึงถามว่า “นี่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ไหมครับ? สามารถนำมาใช้ได้เหรอ?”

เอริก้าบอกว่า “อ้อ ไม่มีปัญหาค่ะ เราได้ทำการจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับมาร์เวลแล้ว สามารถใช้ชุดซูเปอร์ฮีโร่ของพวกเขาได้ค่ะ”

ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “ว้าว ดูท่าว่าพวกคุณจะจัดหนักกันเลยนะครับ”

ค่าใช้จ่ายที่บริษัทแอนนาแมร์เสียไปกับการโฆษณาในครั้งนี้ถือว่าไม่น้อยเลย ไม่แน่ว่าค่าพรีเซนเตอร์ที่พวกเขาให้กับหู่จือและเป้าจืออาจจะสูงกว่าค่าซื้อลิขสิทธิ์การแต่งกายที่พวกเขาให้กับบริษัทมาร์เวลด้วยซ้ำ

เอริก้านำอาหารสุนัขรุ่นใหม่ล่าสุดของพวกเขามาด้วย โดยมีชื่อว่าอาหารสุนัขสูตรปลาน้ำเย็นจากทะเลลึกในขั้วโลกเหนือที่ไร้ข้าวสาลี เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อว่าไม่มีส่วนผสมของข้าวสาลี แต่มีส่วนผสมหลักเป็นปลากุ้งจากทะเลน้ำลึก เป็นการคำนึงถึงสุขภาพและการเจริญเติบโตของสุนัขแบบเต็มรูปแบบ

ฉินสือโอวมองดูแล้วเพิ่งจะเข้าใจ อาหารสุนัขในปัจจุบันก็เหมือนกับนมผงของเด็ก ล้วนมีกันเป็นซีรีส์ทั้งนั้น อย่างเช่นอาหารสุนัขสูตรปลาน้ำเย็นจากทะเลลึกขั้วโลกเหนือไร้ข้าวสาลีตัวนี้ ก็มีทั้งหมดสี่ชนิด โดยแบ่งเป็นสำหรับสุนัขแรกเกิด สุนัขตัวเล็ก สุนัขโตเต็มวัยและสุนัขสูงอายุ วัยที่ต่างกันก็จะกินอาหารที่ต่างกัน

หลังจากถ่ายชุดภาพนิ่งเสร็จแล้ว ช่างถ่ายภาพที่คิดอยากจะหยุดถ่าย แต่ทางผู้กำกับส่งสายตาให้กับเอริก้า ทั้งสองคนซุบซิบกันเสียงเบาสักพัก ผู้กำกับก็ไปเรียกช่างถ่ายภาพให้ทำการถ่ายต่อ

ฉินสือโอวสังเกตเห็นท่าทีเล็กๆ ของพวกเขา จึงถามว่า “เฮ้ ผู้จัดการ ไม่ทราบว่าพวกคุณกำลังทำอะไรครับ?”

เอริก้ายิ้มตาใส ฉินสือโอวจึงชิงพูดก่อนว่า “หากมีเรื่องที่เกี่ยวกับงานของเราสองคน ผมหวังว่าคุณจะพูดกับผมอย่างตรงไปตรงมานะครับ คุณก็รู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร ความเชื่อใจที่ผมมีให้จะมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”

เอริก้าหัวเราะขืนๆ ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่ค่ะ คุณฉิน คุณระแวงเกินไปแล้ว พวกเราไม่ได้มาทำร้ายหู่จือกับเป้าจือตัวน้อยนะคะ คือแบบนี้ค่ะ ตามขั้นตอนปกติแล้ว งานถ่ายทำขั้นแรกถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว แต่หลังจากดิฉันกับผู้กำกับปรึกษากัน ก็คิดว่าจะทำการถ่ายรูปต่ออีกสักหน่อยค่ะ”

ฉินสือโอวถามอย่างระวังไว้ก่อนว่า “ทำไมครับ?”

เอริก้าพูดออกมาตามตรงว่า “เพราะว่าแผนงานของเราเกิดปัญหาค่ะ! โดยทั่วไปแล้ว การถ่ายรูปให้สัตว์เลี้ยงจะเริ่มจากถ่ายภาพเดี่ยวของพวกมันก่อน จากนั้นก็กลับไปทำการแต่งรูป เพราะว่าไม่ว่าอย่างไรพวกมันก็มีไอคิวต่ำ ไม่สามารถให้ความร่วมมือกับการถ่ายภาพได้ แต่ว่าหู่จือกับเป้าจือสามารถทำได้ นี่ทำให้พวกเราประหลาดใจมาก ดังนั้นพวกเราเลยตัดสินใจว่าจะให้ถ่ายต่อ และภาพที่จะถ่ายก็คือภาพที่จะเอาไปใช้จริงค่ะ”

เมื่อได้ฟังคำนี้แล้ว ฉินสือโอวก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เอริก้ายักไหล่แล้วพูดว่า “ขอโทษนะคะ คุณฉิน นี่เป็นความผิดของพวกเราเอง พวกเรารู้จักหู่จือกับเป้าจือไม่มากพอทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดพวกนี้ขึ้นมา”

ฉินสือโอวเข้าใจ เขาก็แค่รู้สึกเห็นใจหู่จือกับเป้าจือเท่านั้น แต่รับเงินมาแล้วก็ต้องทำงาน อีกอย่างเอริก้าเองก็มีท่าทีนอบน้อมขนาดนี้ เขาเองก็เกรงใจที่จะพูดอะไรต่อ

ดังนั้น เขาจึงพูดได้แต่ว่า “ไม่เป็นไรครับ เอริก้า พวกเรายังอยู่ในช่วงทำความคุ้นเคยกัน หวังว่าคราวหน้าจะมีการระมัดระวังในด้านนี้นะครับ”

ตอนนี้นี่เองที่ผู้ช่วยของเอริก้านำอาหารสุนัขมาหนึ่งลัง ฉินสือโอวขอมาดูหนึ่งถุง ส่วนเธอก็เปิดออกมาถุงหนึ่งวางไว้ตรงหน้าหู่จือกับเป้าจือ เพื่อเตรียมถ่ายภาพตอนที่พวกมันกินอาหาร

หู่จือกับเป้าจือเคยกินอาหารสุนัขแค่ตอนที่ยังเด็กมากๆ จากนั้นฉินสือโอวก็สังเกตเห็นว่าพวกมันชอบกินอาหารที่มีพลังโพไซดอนมากกว่า จึงให้พวกมันกินข้าวด้วย เขากินอะไรเจ้าสองตัวนี้ก็กินอย่างนั้น

เอริก้ามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมกับอาหารสุนัขของบริษัทเธอ แต่สุดท้ายหู่จือกับเป้าจือกลับแค่ดมๆ เบะปากแล้วเดินออกไปเลย

ผู้กำกับร้องออกมาอย่างประหลาดใจว่า “คัท นายถ่ายไว้หรือเปล่า? โอ้ ชิท สีหน้าของพวกมันเมื่อกี้นี้ นายได้ถ่ายไว้ไหม?”

ช่างภาพยังไม่ทันได้ตอบ เพราะกำลังกดชัทเตอร์ ‘แชะๆๆ’ ไปที่หู่จือกับเป้าจือรัวๆ อยู่

เอริก้าอึ้งไปทันที เธอถามขึ้นมาอย่างแปลกใจว่า “เกิดอะไรขึ้น? เด็กสองตัวนี้ทำไมถึงไม่กินอาหารสุนัขของเรา? นี่เป็นไปไม่ได้!”

เธอเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เปิดอีกถุงหนึ่งออกแล้วยื่นให้กับเจ้าสองตัวนี้ แต่พวกมันกลับไม่ยอมแม้แต่จะดม แล้วใช้สายตาดูถูกมองไปที่เอริก้ากับอาหารสุนัขนั้น พร้อมตีตัวออกไปห่างๆ

เอริก้ากับลูกน้องสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เธอพูดอย่างแปลกใจว่า “เกิดอะไรขึ้น? เกิดปัญหาอะไรขึ้นมา? อาหารชุดนี้ไม่ได้ทำการทดลองให้อาหารกับสุนัขพันธุ์แลบราดอร์มาก่อนเหรอ?”

ผู้ช่วยของเธอตอบอย่างร้อนรนว่า “แน่นอนว่าทำแล้วนะคะ สุนัขพันธุ์แลบราดอร์ชอบอาหารแบบนี้มาก เพราะว่าพวกเราเลือกใช้ปลาจากทะเลน้ำลึก และแลบราดอร์ก็ชอบกินอาหารที่ทำมาจากปลาด้วยค่ะ”

ฉินสือโอวรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพูดว่า “เรื่องนี้จัดการยากหน่อยนะครับ เคยมีเรื่องเกิดขึ้นกับสุนัขของผมตอนกินอาหารสุนัขมาก่อน พวกมันเลยกินเหมือนกับผมทุกอย่างตั้งแต่นั้น ไม่ใช่แค่อาหารสุนัขของพวกคุณหรอกครับ พวกมันไม่กินอาหารสุนัขยี่ห้อไหนเลย”

กอร์ดอนที่กอดอกดูการถ่ายโฆษณาอยู่จึงพูดขึ้นมาว่า “พวกเราปฏิบัติกับหู่จือและเป้าจือเหมือนเป็นคนคนหนึ่ง แน่นอนว่า พวกมันเองก็คงคิดว่าตัวเองเป็นคน ดังนั้น จึงคิดว่าอาหารสุนัขไม่โอเค”

เอริก้าเรียกให้ผู้ช่วยไปเอาอาหารสุนัขยี่ห้ออื่นมา แต่กลายเป็นว่าของพวกนี้หู่จือกับเป้าจือยิ่งไม่กินเลย พวกเขาพยายามยัดเยียดโดยการนำไปวางไว้ข้างหน้าหู่จือ มันยกขาขึ้นมาอย่างโกรธเคือง แล้วเตะจนกระเด็นออกไปเลย

ฉงต้าที่กำลังปิดตานอนกรนอยู่ใต้ต้นเมเปิลเปิดตาขึ้นมา มันกระดิกจมูกไปมา แล้วก็ยื่นขาทั้งสี่ออกเพื่อลุกขึ้น พวกช่างภาพกับผู้กำกับต่างรีบพากันวิ่งมาอยู่ข้างฉินสือโอว

“ไม่เป็นไรครับ เพื่อน หมีของผมเชื่องมาก มันไม่ทำร้ายพวกคุณแน่นอน” ฉินสือโอวพูดปลอบใจ

ผู้กำกับผมหางม้ายิ้มร่าแล้วพูดว่า “พวกเราเข้าใจ แต่พวกเราก็ยังกลัวอยู่ดี! พระเจ้า นี่เป็นสัตว์ที่ดุร้ายเสียจริง! ถ้าหากว่าเจอมันที่ในป่าแล้วล่ะก็ ผมต้องตกใจตายแน่เลย!”

ฉงต้าเดินไปหาอาหารสุนัขที่หู่จือเตะออกไปด้วยท่าทีขี้เกียจ พร้อมมองสำรวจดูอย่างสนใจ จากนั้นก็ใช้เล็บฉีกถุงออก แล้วเลียกินอาหารสุนัขขึ้นมา

‘กรุบกรุบ’ ฉงต้ากินอาหารสุนัขทั้งถุงหมดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็บิดตัวขี้เกียจอีกรอบ แล้วเดินไปทางเอริก้าอย่างกระตือรือร้น ตาน้อยๆ ที่ส่องประกายนั้นจ้องไปที่ถุงอาหารสุนัขในมือของเอริก้า

“นี่ นี่คือหมีสีน้ำตาลหรือว่าสุนัขเนี่ย?” ช่างภาพถามออกมาด้วยน้ำเสียงอึ้ง “หรือว่าหมีสีน้ำตาลก็ชอบกินอาหารสุนัขด้วย?”

ฉินสือโอวยิ้มขืนๆ แล้วพูดว่า “ในสายตาหมีของบ้านผม สิ่งของแบ่งได้แค่กินได้กับกินไม่ได้เท่านั้นครับ ไม่มีคำว่าอร่อยหรือไม่อร่อยหรอก เห็นได้ชัดเลย มันในตอนนี้ได้ถูกของกินที่ไม่เคยเจอดึงดูดเข้าแล้ว”

เอริก้าที่ถูกหมีจ้องอยู่นั้นมีเหงื่อไหลออกมาเต็มหลัง เธอลองชูอาหารสุนัขขึ้นสูง ฉงต้าก็ยื่นมือทั้งสองที่อวบอ้วนมาประกบกันไว้แล้วมองไปที่เอริก้าอย่างใจจดใจจ่อ

ผู้จัดการสาวเทอาหารสุนัขลงบนฝ่ามือมัน ฉงต้านั่งลง ยืดคอออกมาในทันที แล้วก็ก้มหน้าแลบลิ้นออกมาเริ่มเลีย เพียงครู่เดียวก็เลียเอาขนมครึ่งหนึ่งเข้าไปในปาก

หลังจากกินหมดแล้ว ฉงต้าหยีตาเล็กๆ ลง มุมปากฉีกออก แล้วเผยให้หน้ายิ้มสไตล์หมีสีน้ำตาลออกมา

“คิดไม่ถึงจริงๆ!”

“ชิท! จะมีหมีที่ไหนเจ๋งกว่านี้อีก?”

“เอริก้า พวกคุณควรเชิญให้มันมาเป็นพรีเซนเตอร์เถอะ! ตลาดของหมีตัวนี้มีหลายสิบล้านแน่!”

……………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท