ขั้นตอนแรกในการถ่ายทำเป็นการถ่ายภาพนิ่งโดยส่วนใหญ่ แล้วนำไปพิมพ์เป็นโปสเตอร์ เพื่อใช้เป็นรูปโฆษณาทางออนไลน์
การแต่งตัวของหู่จือและเป้าจือมีหลากหลายมาก มีทั้งสวมหมวก สวมแว่นกันแดด แว่นธรรมดา สวมผ้าคลุม ผูกโบหูกระต่าย ผูกเนกไท และยังมีชุดของซูเปอร์ฮีโร่ในอเวนเจอร์ที่กำลังโด่งดังในปัจจุบันอีกด้วย
การได้เห็นหู่จือสวมชุดและหมวกของกัปตันอเมริกา ส่วนเป้าจือก็แต่งชุดของสไปเดอร์แมนแล้ว ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกแปลกใจ จึงถามว่า “นี่เป็นการละเมิดลิขสิทธิ์ไหมครับ? สามารถนำมาใช้ได้เหรอ?”
เอริก้าบอกว่า “อ้อ ไม่มีปัญหาค่ะ เราได้ทำการจ่ายค่าลิขสิทธิ์ให้กับมาร์เวลแล้ว สามารถใช้ชุดซูเปอร์ฮีโร่ของพวกเขาได้ค่ะ”
ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงตกตะลึงว่า “ว้าว ดูท่าว่าพวกคุณจะจัดหนักกันเลยนะครับ”
ค่าใช้จ่ายที่บริษัทแอนนาแมร์เสียไปกับการโฆษณาในครั้งนี้ถือว่าไม่น้อยเลย ไม่แน่ว่าค่าพรีเซนเตอร์ที่พวกเขาให้กับหู่จือและเป้าจืออาจจะสูงกว่าค่าซื้อลิขสิทธิ์การแต่งกายที่พวกเขาให้กับบริษัทมาร์เวลด้วยซ้ำ
เอริก้านำอาหารสุนัขรุ่นใหม่ล่าสุดของพวกเขามาด้วย โดยมีชื่อว่าอาหารสุนัขสูตรปลาน้ำเย็นจากทะเลลึกในขั้วโลกเหนือที่ไร้ข้าวสาลี เป็นอาหารที่ขึ้นชื่อว่าไม่มีส่วนผสมของข้าวสาลี แต่มีส่วนผสมหลักเป็นปลากุ้งจากทะเลน้ำลึก เป็นการคำนึงถึงสุขภาพและการเจริญเติบโตของสุนัขแบบเต็มรูปแบบ
ฉินสือโอวมองดูแล้วเพิ่งจะเข้าใจ อาหารสุนัขในปัจจุบันก็เหมือนกับนมผงของเด็ก ล้วนมีกันเป็นซีรีส์ทั้งนั้น อย่างเช่นอาหารสุนัขสูตรปลาน้ำเย็นจากทะเลลึกขั้วโลกเหนือไร้ข้าวสาลีตัวนี้ ก็มีทั้งหมดสี่ชนิด โดยแบ่งเป็นสำหรับสุนัขแรกเกิด สุนัขตัวเล็ก สุนัขโตเต็มวัยและสุนัขสูงอายุ วัยที่ต่างกันก็จะกินอาหารที่ต่างกัน
หลังจากถ่ายชุดภาพนิ่งเสร็จแล้ว ช่างถ่ายภาพที่คิดอยากจะหยุดถ่าย แต่ทางผู้กำกับส่งสายตาให้กับเอริก้า ทั้งสองคนซุบซิบกันเสียงเบาสักพัก ผู้กำกับก็ไปเรียกช่างถ่ายภาพให้ทำการถ่ายต่อ
ฉินสือโอวสังเกตเห็นท่าทีเล็กๆ ของพวกเขา จึงถามว่า “เฮ้ ผู้จัดการ ไม่ทราบว่าพวกคุณกำลังทำอะไรครับ?”
เอริก้ายิ้มตาใส ฉินสือโอวจึงชิงพูดก่อนว่า “หากมีเรื่องที่เกี่ยวกับงานของเราสองคน ผมหวังว่าคุณจะพูดกับผมอย่างตรงไปตรงมานะครับ คุณก็รู้ว่าผมเป็นคนอย่างไร ความเชื่อใจที่ผมมีให้จะมีเพียงแค่ครั้งเดียวเท่านั้น”
เอริก้าหัวเราะขืนๆ ทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่ค่ะ คุณฉิน คุณระแวงเกินไปแล้ว พวกเราไม่ได้มาทำร้ายหู่จือกับเป้าจือตัวน้อยนะคะ คือแบบนี้ค่ะ ตามขั้นตอนปกติแล้ว งานถ่ายทำขั้นแรกถือว่าเสร็จสิ้นแล้ว แต่หลังจากดิฉันกับผู้กำกับปรึกษากัน ก็คิดว่าจะทำการถ่ายรูปต่ออีกสักหน่อยค่ะ”
ฉินสือโอวถามอย่างระวังไว้ก่อนว่า “ทำไมครับ?”
เอริก้าพูดออกมาตามตรงว่า “เพราะว่าแผนงานของเราเกิดปัญหาค่ะ! โดยทั่วไปแล้ว การถ่ายรูปให้สัตว์เลี้ยงจะเริ่มจากถ่ายภาพเดี่ยวของพวกมันก่อน จากนั้นก็กลับไปทำการแต่งรูป เพราะว่าไม่ว่าอย่างไรพวกมันก็มีไอคิวต่ำ ไม่สามารถให้ความร่วมมือกับการถ่ายภาพได้ แต่ว่าหู่จือกับเป้าจือสามารถทำได้ นี่ทำให้พวกเราประหลาดใจมาก ดังนั้นพวกเราเลยตัดสินใจว่าจะให้ถ่ายต่อ และภาพที่จะถ่ายก็คือภาพที่จะเอาไปใช้จริงค่ะ”
เมื่อได้ฟังคำนี้แล้ว ฉินสือโอวก็ขมวดคิ้วขึ้นมา เอริก้ายักไหล่แล้วพูดว่า “ขอโทษนะคะ คุณฉิน นี่เป็นความผิดของพวกเราเอง พวกเรารู้จักหู่จือกับเป้าจือไม่มากพอทำให้เกิดเรื่องผิดพลาดพวกนี้ขึ้นมา”
ฉินสือโอวเข้าใจ เขาก็แค่รู้สึกเห็นใจหู่จือกับเป้าจือเท่านั้น แต่รับเงินมาแล้วก็ต้องทำงาน อีกอย่างเอริก้าเองก็มีท่าทีนอบน้อมขนาดนี้ เขาเองก็เกรงใจที่จะพูดอะไรต่อ
ดังนั้น เขาจึงพูดได้แต่ว่า “ไม่เป็นไรครับ เอริก้า พวกเรายังอยู่ในช่วงทำความคุ้นเคยกัน หวังว่าคราวหน้าจะมีการระมัดระวังในด้านนี้นะครับ”
ตอนนี้นี่เองที่ผู้ช่วยของเอริก้านำอาหารสุนัขมาหนึ่งลัง ฉินสือโอวขอมาดูหนึ่งถุง ส่วนเธอก็เปิดออกมาถุงหนึ่งวางไว้ตรงหน้าหู่จือกับเป้าจือ เพื่อเตรียมถ่ายภาพตอนที่พวกมันกินอาหาร
หู่จือกับเป้าจือเคยกินอาหารสุนัขแค่ตอนที่ยังเด็กมากๆ จากนั้นฉินสือโอวก็สังเกตเห็นว่าพวกมันชอบกินอาหารที่มีพลังโพไซดอนมากกว่า จึงให้พวกมันกินข้าวด้วย เขากินอะไรเจ้าสองตัวนี้ก็กินอย่างนั้น
เอริก้ามีความมั่นใจเต็มเปี่ยมกับอาหารสุนัขของบริษัทเธอ แต่สุดท้ายหู่จือกับเป้าจือกลับแค่ดมๆ เบะปากแล้วเดินออกไปเลย
ผู้กำกับร้องออกมาอย่างประหลาดใจว่า “คัท นายถ่ายไว้หรือเปล่า? โอ้ ชิท สีหน้าของพวกมันเมื่อกี้นี้ นายได้ถ่ายไว้ไหม?”
ช่างภาพยังไม่ทันได้ตอบ เพราะกำลังกดชัทเตอร์ ‘แชะๆๆ’ ไปที่หู่จือกับเป้าจือรัวๆ อยู่
เอริก้าอึ้งไปทันที เธอถามขึ้นมาอย่างแปลกใจว่า “เกิดอะไรขึ้น? เด็กสองตัวนี้ทำไมถึงไม่กินอาหารสุนัขของเรา? นี่เป็นไปไม่ได้!”
เธอเดินเข้าไปอย่างรวดเร็ว เปิดอีกถุงหนึ่งออกแล้วยื่นให้กับเจ้าสองตัวนี้ แต่พวกมันกลับไม่ยอมแม้แต่จะดม แล้วใช้สายตาดูถูกมองไปที่เอริก้ากับอาหารสุนัขนั้น พร้อมตีตัวออกไปห่างๆ
เอริก้ากับลูกน้องสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เธอพูดอย่างแปลกใจว่า “เกิดอะไรขึ้น? เกิดปัญหาอะไรขึ้นมา? อาหารชุดนี้ไม่ได้ทำการทดลองให้อาหารกับสุนัขพันธุ์แลบราดอร์มาก่อนเหรอ?”
ผู้ช่วยของเธอตอบอย่างร้อนรนว่า “แน่นอนว่าทำแล้วนะคะ สุนัขพันธุ์แลบราดอร์ชอบอาหารแบบนี้มาก เพราะว่าพวกเราเลือกใช้ปลาจากทะเลน้ำลึก และแลบราดอร์ก็ชอบกินอาหารที่ทำมาจากปลาด้วยค่ะ”
ฉินสือโอวรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาพูดว่า “เรื่องนี้จัดการยากหน่อยนะครับ เคยมีเรื่องเกิดขึ้นกับสุนัขของผมตอนกินอาหารสุนัขมาก่อน พวกมันเลยกินเหมือนกับผมทุกอย่างตั้งแต่นั้น ไม่ใช่แค่อาหารสุนัขของพวกคุณหรอกครับ พวกมันไม่กินอาหารสุนัขยี่ห้อไหนเลย”
กอร์ดอนที่กอดอกดูการถ่ายโฆษณาอยู่จึงพูดขึ้นมาว่า “พวกเราปฏิบัติกับหู่จือและเป้าจือเหมือนเป็นคนคนหนึ่ง แน่นอนว่า พวกมันเองก็คงคิดว่าตัวเองเป็นคน ดังนั้น จึงคิดว่าอาหารสุนัขไม่โอเค”
เอริก้าเรียกให้ผู้ช่วยไปเอาอาหารสุนัขยี่ห้ออื่นมา แต่กลายเป็นว่าของพวกนี้หู่จือกับเป้าจือยิ่งไม่กินเลย พวกเขาพยายามยัดเยียดโดยการนำไปวางไว้ข้างหน้าหู่จือ มันยกขาขึ้นมาอย่างโกรธเคือง แล้วเตะจนกระเด็นออกไปเลย
ฉงต้าที่กำลังปิดตานอนกรนอยู่ใต้ต้นเมเปิลเปิดตาขึ้นมา มันกระดิกจมูกไปมา แล้วก็ยื่นขาทั้งสี่ออกเพื่อลุกขึ้น พวกช่างภาพกับผู้กำกับต่างรีบพากันวิ่งมาอยู่ข้างฉินสือโอว
“ไม่เป็นไรครับ เพื่อน หมีของผมเชื่องมาก มันไม่ทำร้ายพวกคุณแน่นอน” ฉินสือโอวพูดปลอบใจ
ผู้กำกับผมหางม้ายิ้มร่าแล้วพูดว่า “พวกเราเข้าใจ แต่พวกเราก็ยังกลัวอยู่ดี! พระเจ้า นี่เป็นสัตว์ที่ดุร้ายเสียจริง! ถ้าหากว่าเจอมันที่ในป่าแล้วล่ะก็ ผมต้องตกใจตายแน่เลย!”
ฉงต้าเดินไปหาอาหารสุนัขที่หู่จือเตะออกไปด้วยท่าทีขี้เกียจ พร้อมมองสำรวจดูอย่างสนใจ จากนั้นก็ใช้เล็บฉีกถุงออก แล้วเลียกินอาหารสุนัขขึ้นมา
‘กรุบกรุบ’ ฉงต้ากินอาหารสุนัขทั้งถุงหมดอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็บิดตัวขี้เกียจอีกรอบ แล้วเดินไปทางเอริก้าอย่างกระตือรือร้น ตาน้อยๆ ที่ส่องประกายนั้นจ้องไปที่ถุงอาหารสุนัขในมือของเอริก้า
“นี่ นี่คือหมีสีน้ำตาลหรือว่าสุนัขเนี่ย?” ช่างภาพถามออกมาด้วยน้ำเสียงอึ้ง “หรือว่าหมีสีน้ำตาลก็ชอบกินอาหารสุนัขด้วย?”
ฉินสือโอวยิ้มขืนๆ แล้วพูดว่า “ในสายตาหมีของบ้านผม สิ่งของแบ่งได้แค่กินได้กับกินไม่ได้เท่านั้นครับ ไม่มีคำว่าอร่อยหรือไม่อร่อยหรอก เห็นได้ชัดเลย มันในตอนนี้ได้ถูกของกินที่ไม่เคยเจอดึงดูดเข้าแล้ว”
เอริก้าที่ถูกหมีจ้องอยู่นั้นมีเหงื่อไหลออกมาเต็มหลัง เธอลองชูอาหารสุนัขขึ้นสูง ฉงต้าก็ยื่นมือทั้งสองที่อวบอ้วนมาประกบกันไว้แล้วมองไปที่เอริก้าอย่างใจจดใจจ่อ
ผู้จัดการสาวเทอาหารสุนัขลงบนฝ่ามือมัน ฉงต้านั่งลง ยืดคอออกมาในทันที แล้วก็ก้มหน้าแลบลิ้นออกมาเริ่มเลีย เพียงครู่เดียวก็เลียเอาขนมครึ่งหนึ่งเข้าไปในปาก
หลังจากกินหมดแล้ว ฉงต้าหยีตาเล็กๆ ลง มุมปากฉีกออก แล้วเผยให้หน้ายิ้มสไตล์หมีสีน้ำตาลออกมา
“คิดไม่ถึงจริงๆ!”
“ชิท! จะมีหมีที่ไหนเจ๋งกว่านี้อีก?”
“เอริก้า พวกคุณควรเชิญให้มันมาเป็นพรีเซนเตอร์เถอะ! ตลาดของหมีตัวนี้มีหลายสิบล้านแน่!”
……………………………………………..