ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1302 ผักสวนครัวปลูกเอง

บทที่ 1302 ผักสวนครัวปลูกเอง

แปลงฟักทองพื้นที่ไม่ใหญ่ มีเพียงแค่หนึ่งเอเคอร์ครึ่งเท่านั้น ฉินสือโอวปลูกฟักทองก็เพื่อจะนำไปฉลองวันฮาโลวีน คนในฟาร์มปลาก็มีไม่มาก ฟักทองสิบกว่าลูกก็เพียงพอแล้ว

แต่ถึงจะเป็นแบบนั้นก็เถอะ นี่ก็ไม่ใช่งานง่ายสำหรับพวกเด็กๆ เลย แปลงผักขนาดหนึ่งเอเคอร์ครึ่ง แถมวัชพืชในแปลงก็มีไม่น้อยอีก กอร์ดอนเหงื่อไหลท่วมตัวอยู่ในแปลงผัก ทำไปสักพักแล้วเงยหน้าขึ้นมาดู เฮ้ย ทำไมถึงทำไปได้แค่นี้เอง?

ชาร์คน้อยสะบัดจอบไปมาเพื่อพรวนดิน นีลเซ็นเดินผ่านมาเห็นท่าทีการสะบัดจอบที่รวดเร็วของเขาแล้ว ก็พูดว่า “ตั้งใจทำนะ เจ้าหนู หากใช้จอบได้ดีแล้วล่ะก็ อีกหน่อยพอขึ้นชั้นมัธยมปลายกับมหาลัยแล้ว จะต้องได้ใช้อย่างแน่นอน”

ชาร์คน้อยเงยหน้าขึ้นมาถามด้วยเสียงใสซื่อว่า “ชิท ขึ้นชั้นมัธยมปลายกับมหาวิทยาลัยแล้วยังต้องพรวนดินอีกเหรอ? ถ้าอย่างนั้นผมยอมเป็นชาวประมงดีกว่า ผมไม่อยากเป็นชาวสวนหรอก!”

นีลเซ็นหมดคำจะพูด ส่ายหัวแล้วพูดว่า “ขอแค่ใช้จอบได้ดี ก็ไม่มีกำแพงไหนที่ล้มไม่ได้ นายไม่เคยได้ยินประโยคนี้เหรอ?”

ชาร์คน้อยตกใจมากกว่าเดิมแล้วพูดว่า “ชิท ขึ้นมัธยมปลายกับมหาวิทยาลัยแล้ว ยังต้องทำงานก่อสร้างด้วยเหรอ? งั้นผมก็ยังยอมเป็นชาวประมงอยู่ดี”

“นายอยู่รอเป็นสุนัขโสดไปเถอะนะ” นีลเซ็นพูดด้วยน้ำเสียงเคืองกับความไม่ได้เรื่องของเด็กคนนี้

ฟักทองเหมือนกับผักประเภทแตงอื่นๆ จำเป็นต้องพึ่งรากที่แข็งแรงมากในการดูดน้ำและสารอาหาร ไม่อย่างนั้นต่อไปหากมีลูกฟักทองออกมาแล้ว ลูกจะเติบโตได้ช้ามาก

ดังนั้น ขั้นตอนการพรวนดินของชาร์คน้อยและการใส่ปุ๋ยของพาวลิสจึงสำคัญมาก ดีที่เด็กน้อยที่แข็งแรงอย่างกับวัวสองคนนี้ทำงานได้ดี ฉินสือโอวตามดูอยู่ข้างหลัง เมื่อเห็นว่าไม่มีปัญหาอะไรจึงไปช่วยเชอร์ลี่ย์กับมิเชลตัดกิ่งและตอนกิ่งแทน

ตอนนี้ถึงเวลาที่จะต้องตัดแต่งและตอนกิ่งเถาวัลย์ของฟักทองแล้ว หากว่ามีใบเยอะเกินไป จะทำให้เกิดการกลายพันธุ์ของแตงได้ง่าย

ฉินสือโอวสอนให้ทั้งสองคนเด็ดกิ่งด้านบนสุดออก เก็บไว้แต่กิ่งด้านข้างเถาวัลย์แทน ให้พวกมันเติบโตไปตามแนวขวาง แบบนี้ต้นกล้าฟักทองหนึ่งต้นจึงจะสามารถออกลูกฟักทองได้มากขึ้น

พวกเด็กๆ ใช้เวลาทำงานกันถึงครึ่งช่วงบ่ายถึงได้ทำงานในแปลงฟักทองจนเสร็จ แต่ละคนเหงื่อไหลไคลย้อย เนื้อตัวเต็มไปด้วยใบหญ้าและดิน ดูไปแล้วเหมือนกับลิงแม็กแคก

กอร์ดอนเดินหายใจเฮือกออกมา กำลังจะอ้าปากบ่น ฉินสือโอวหยิบเงินออกมายื่นให้ ทันใดนั้น ดวงตาทั้งสองของเด็กๆ ก็เปล่งประกาย นำความลำบากที่มีในช่วงครึ่งบ่ายนี้โยนไปสู่สวรรค์ชั้นเก้าไปเลย

ต่อไปก็เหลือแค่งานรดน้ำ ฉินสือโอวขับรถรดน้ำออกมา งานนี้ง่ายจนไม่รู้จะง่ายอย่างไรแล้ว รถรดน้ำของฟาร์มปลาดัดแปลงมาจากปืนฉีดน้ำแรงดันสูง เพื่อนำมาใช้รดน้ำแปลงองุ่นที่กว้างขวางโดยเฉพาะ ขอบเขตในการรดน้ำทีหนึ่งก็ครอบคลุมได้ถึงหนึ่งเอเคอร์ครึ่งแล้ว หรือก็คือเป็นการใช้แรงจากเครื่องยนต์ทั้งหมด ใช้เวลาเพียงแค่ครึ่งนาทีก็สามารถรดน้ำได้ทั่วแปลงฟักทองแล้ว

ฉินสือโอวแผ่พลังโพไซดอนเข้าไปในน้ำ ปืนฉีดน้ำแรงดันสูงเดินเครื่อง ม่านสายน้ำก็ปรากฏไปสู่ด้านบนของแปลงฟักทอง ใช้เวลาแค่ไม่นานก็เสร็จงานตรงนี้แล้ว เป็นการแสดงศักยภาพของวิวัฒนาการในปัจจุบันได้อย่างเต็มที่

จอดรถรดน้ำเสร็จ เขาก็ไปเดินดูที่แปลงผักสวนครัวข้างๆ กลางฤดูร้อนเป็นช่วงเวลาที่ดีในการเก็บเกี่ยวของผักสวนครัว ถั่วแขก ถั่วฝักยาว พริก แตงกวา และมะเขือเทศ ใช้เวลาเพียงครู่เดียวก็เก็บได้มาเป็นกองเลย

ตอนค่ำพวกชาวประมงทำงานเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็เรียกพวกเขาให้มาแบ่งผักสวนครัวไปกิน

ผักสวนครัวที่ปลูกเองของฟาร์มปลากลายเป็นสวัสดิการอย่างหนึ่งที่ให้กับชาวประมง ตั้งแต่สร้างโครงผักสวนครัวเสร็จแล้ว พวกชาวประมงก็ไม่ต้องไปซื้อผักกันอีกเลย พากันมากินพร้อมกับฉินสือโอวทั้งนั้น

อย่าเห็นว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเล็กน้อย การทำแบบนี้เดือนหนึ่งสามารถประหยัดเงินได้มากโขเช่นกัน ราคาของผลไม้และผักสดที่แคนาดาสูงมาก แถมยังขึ้นราคาเร็วมากอีกด้วย ตั้งแต่ฉินสือโอวมาที่เกาะแฟร์เวลจนถึงปัจจุบัน เวลาผ่านไปไม่ถึงสามปี ราคาโดยรวมของผักสดก็ขึ้นมาเกินกว่า 20% แล้ว!

จุดนี้ยังไม่เกินไป ฉินสือโอวดูข่าว บริษัทแคนาเดียน บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่นประกาศว่า จากบันทึกของสำนักงานสถิติในแคนาดา ราคาอาหารใน 6 เดือนนี้สูงขึ้นกว่าปีที่แล้วถึง 3.5% ในนั้นแบ่งเป็นราคาผักสดขึ้นมา 11.5% ซึ่งสูงกว่าพวกเนื้อสัตว์ถึง 4.4%

และนี่ยังเป็นแค่สถิติในปีเดียวเท่านั้น!

อ้างอิงจากบริษัทแคนาเดียน บรอดแคสติ้ง คอร์ปอเรชั่น ในบรรดาผักสดราคาของขึ้นฉ่ายขึ้นสูงที่สุด เดือนมิถุนายนในปีนี้ราคาสูงขึ้นกว่าเดือนมิถุนายนของปีที่แล้วถึง 19% ราคาของผักสลัดแก้ว มะเขือเทศและถั่วแขกก็ไม่ธรรมดา ตั้งแต่เดือนพฤษภาคมถึงเดือนมิถุนายนในปีนี้ เพียงแค่เดือนเดียวก็ขึ้นมาถึง 8.5%

ผักพวกนี้ล้วนมีปลูกในฟาร์มปลาทั้งหมด พวกชาวประมงกินผักที่ไม่ต้องเสียเงินซื้อ แถมเพราะผักพวกนี้ถูกพลังโพไซดอนปรับปรุงใหม่ ทำให้รสชาติดีกว่า สารอาหารมากกว่า และไม่ต้องกังวลเรื่องความปลอดภัยของอาหารด้วย

เหตุผลที่ทำให้เกิดปัญหานี้ ก็เพราะผลไม้และผักสดของแคนาดามาจากการนำเข้าถึง 80% อัตราการผลิตเองของพวกเขาแย่มาก ส่วนทางด้านเนื้อสัตว์และผลิตภัณฑ์ทางทะเล เช่นเนื้อแพะ เนื้อวัวและเนื้อหมู ในแคนาดาถือว่าผลิตได้พอกินพอใช้

ความจริงแล้วในสองปีมานี้ เนื่องจากค่าเงินแคนาดาที่ต่ำลงเรื่อยๆ ทำให้สินค้าที่แคนาดานำเข้ามาขึ้นราคากันหมด ไม่ใช่แค่ผักสดและผลไม้เท่านั้น เพียงแต่ว่าผักสดและผลไม้เป็นสิ่งที่ได้รับผลกระทบจากการเปลี่ยนแปลงของค่าเงินได้ง่ายเท่านั้น

พวกชาวประมงพากันเลือกผักกันอย่างเอะอะโวยวาย ฉินสือโอวก็พูดด้วยเสียงทอดถอนใจว่า “ชิท ได้ข่าวว่าข้างนอกราคาผักสดและผลไม้ขึ้นกันเป็นว่าเล่นเลย ตอนนี้ประชาชนกำลังใช้ชีวิตอยู่ในความลำบากแร้นแค้นหรือไง?”

ชาร์คพูดด้วยเสียงโกรธเคืองว่า “นั่นน่ะสิครับ เงินแคนาดาในมือของพวกเราก็มีค่าน้อยลงเรื่อยๆ อัตราเงินเฟ้อก็สูงขึ้นเรื่อยๆ ภาษีก็เก็บแพงขึ้นเรื่อยๆ ใครกันที่บอกว่าแคนาดาคือหนึ่งในห้าประเทศของโลกที่เหมาะแก่การอพยพที่สุด? ถ้าเจอจะใช้ฉมวกแทงปลาทำให้เขาดื่มด่ำกับความรู้สึกที่หนาวเย็นไปสุดขั้วหัวใจให้ดู”

พวกผู้ชายอยู่ด้วยกัน สิ่งที่ชอบทำมากที่สุดก็คือคุยโม้กัน ส่วนเรื่องคุยโม้ที่สนุกมากที่สุดก็คือเรื่องการเมืองของประเทศ เป็นเรื่องที่ดึงดูดคนได้ดีกว่าเรื่องผู้หญิง รถยนต์และการออกกำลังกายเสียอีก

ฉินสือโอวแค่เอ่ยปาก พวกชาวประมงก็พากันตื่นตัวขึ้นมาแล้ว พากันแบ่งผักกันไปพลางด่ารัฐบาลแคนาดาไปพลาง

ในเวลานี้ เรื่องดำมืดในหมู่รัฐบาลค่อยๆ เปิดฉากออกมา ทุกคนต่างก็พูดว่าพวกเขาได้รับข่าววงในมา ประมาณว่าธนาคารแคนาดาเตรียมจะพิมพ์ธนบัตรอีกหลายร้อยล้านเพื่อมารับมือกับวิกฤตทางเศรษฐกิจ และแคนาดาเตรียมจะเปิดศึกที่ไหนสักที่เพื่อทำการพลิกวิกฤตทางเศรษฐกิจ ฉินสือโอวฟังไปอย่างสนุกสนาน

ไม่นาน พวกทหารทั้งหลายก็เข้าร่วมการสนทนาด้วย ดังนั้นรัฐบาลที่โดนด่าในตอนนี้นอกจากแคนาดาแล้ว แม้แต่อเมริกาเองก็โดนไปด้วย

ฉินสือโอวให้พาวลิสกับกอร์ดอนไปหยิบเบียร์ในตู้เย็นห้องครัวมา ไหนๆ ก็ไหนแล้วให้ทุกคนมาดื่มเบียร์นั่งคุยกันแล้วกัน อย่างไรเสียตอนนี้ก็ไม่มีงานอะไรต้องทำอยู่ดี

พอเบียร์ได้เข้าปากไปเล็กน้อย บรรยากาศก็ครึกครื้นขึ้น คำพูดแนวๆ ‘ชิท’ ‘ฟัค’ ได้หลุดออกมาไม่ขาดสาย ทุกคนต่างพากันก่นด่าอย่างบ้าคลั่ง ข่าวลือวงในต่างๆ นานาถูกพูดออกมาไม่หยุด ฟังจนฉินสือโอวเหมือนได้เปิดโลกกว้าง

พวกแบล็คไนฟ์ถือว่าตัวเองมีเพื่อนร่วมรบหลายคนที่ทำงานในหน่วยราชการลับ ทำให้พอได้คุยโม้แล้ว ก็เบรกกันไม่อยู่เลยทีเดียว ราวกับว่าพวกเขาได้กินข้าวดื่มเหล้ากับพวกโอบามาและฮิลลารีทุกวันอย่างนั้นแหละ ไม่ว่าข่าววงในอะไรก็มีออกมาเรื่อยๆ ไม่หยุด

ฉินสือโอวฟังอย่างออกรสออกชาติ ไวส์ก็สนใจมากเหมือนกัน จึงเข้ามาร่วมวงฟังพวกเขาคุยโม้ด้วย

เพราะว่าพวกชาวประมงกับพวกทหารต่างก็เป็นพวกคนเถื่อนทั้งนั้น พอได้พูดเรื่องแบบนี้แล้วทำให้มีคำหยาบผุดออกมาไม่หยุด ฉินสือโอวจึงไม่ให้ไวส์มาฟังด้วย ไวส์ไม่พอใจแล้วพูดว่า “ผมเป็นคนอเมริกัน อาจารย์ ผมจำเป็นต้องรู้เรื่องวงในของประเทศพวกนี้นะ ไม่อย่างนั้นอีกหน่อยจะออกไปสู่ยุทธภพได้อย่างไร?”

ฉินสือโอวกลอกตา กล่าวว่า “กลับบ้านไปถามพ่อนายสิ พ่อนายรู้เรื่องวงในมากกว่าอีก ใช่แล้ว นายจะกลับบ้านเมื่อไร?”

ไวส์ยักไหล่แล้วพูดว่า “ไม่รู้ครับ พ่อบอกว่าถึงเวลาจะมีเครื่องบินมารับผมเอง จากนั้นก็ให้พวกเราบินไปวอชิงตันด้วยกัน รู้สึกว่าที่วอชิงตันจะมีการประชุมอะไรสักอย่าง เป็นการประชุมของประธานาธิบดีของเรากับผู้นำประเทศในทวีปยุโรป พ่อผมก็ต้องไปร่วมงานด้วย”

เขาเพิ่งพูดจบเท่านั้น พวกทหารที่เมื่อกี้กำลังคุยกันน้ำลายพุ่งอยู่ก็พากันมองหน้ากันในทันที แบล็คไนฟ์เลียนแบบการพูดของฉินสือโอวว่า “น้องชาย นายนี่วางมาดได้มีระดับจริงๆ นะ ฉันจะต้องจัดการหมุนตัวนายสามร้อยหกสิบองศาสักหน่อยแล้ว!”

……………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท