ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1303 แมงกะพรุนยักษ์ที่ถูกเล่นจนพัง

บทที่ 1303 แมงกะพรุนยักษ์ที่ถูกเล่นจนพัง

วินนี่กลับมาแล้ว พวกชาวประมงก็ยังคงคุยโม้กันอยู่ และเพราะดื่มเบียร์เข้าไปด้วย ทำให้ยิ่งโม้กันอย่างออกรส

ฉินสือโอวก็โม้ด้วยสองสามประโยค พวกชาวประมงจึงพากันจ้องไปที่เขา พอดีกับที่วินนี่กลับมาถึง เขาก็รีบวิ่งไปช่วยวินนี่ปลดสัมภาระ ถือกระเป๋า เปลี่ยนรองเท้า เปลี่ยนเสื้อ นวด

“ว้าว พ่อบ้านแสนดี!”

“บอส อย่าเป็นแบบนี้สิครับ คุณเป็นลูกพี่ใหญ่ของพวกเรานะ!”

“มีการเปลี่ยนรองเท้าให้นายหญิงด้วย! ชิท ทำไมพวกเราไม่ใช่ผู้หญิงนะ?”

“กัปตันคุณกลับมาเลย คืนนี้พวกเราไปเที่ยวสาวด้วยกันเถอะ!”

ฉินสือโอวหันกลับไปด้วยสีหน้าตกใจ ชี้ไปที่คนทั้งกลุ่ม แล้วตะโกนว่า “ไปกับผีสิ พวกสารเลวพวกนี้! รีบไสหัวไปกินข้าวเลย พรุ่งนี้ยังมีงานต้องทำนะ!”

“พรุ่งนี้วันหยุดสุดสัปดาห์ บอส หยุดวันหนึ่งเถอะครับ!”

“ฝันไปเถอะ!” ฉินสือโอวด่าว่า “พรุ่งนี้เช้าออกทะเลกันให้หมดเลย ช่วงนี้ตำแหน่งปลาของฟาร์มปลาไม่นิ่งเลย ไปเช็กให้ฉันว่าเกิดอะไรขึ้น!”

พวกชาวประมงพากันแยกย้ายกลับไป ในที่สุดฉินสือโอวก็สบายใจสักที จึงให้วินนี่นั่งอยู่บนโซฟาแล้วนวดให้เธอ

แต่ทว่าเมื่อกี้เขาก็ไม่ได้พูดไปเรื่อย พรุ่งนี้ต้องให้พวกชาวประมงไปตรวจเช็กจริงๆ ว่าเกิดอะไรขึ้นกับฟาร์มปลา ดูจากบันทึกของฟาร์มปลาแล้ว ตำแหน่งของฝูงปลาไม่นิ่งจริงๆ

ปลาในฟาร์มปลาไม่ค่อยเหมือนกับปลาตามธรรมชาติ เพราะมีอาหารที่อุดมสมบูรณ์กว่า พวกมันจึงไม่มีการว่ายตามกระแสน้ำลึกไปหาอาหารเหมือนกับปลาธรรมชาติ ตำแหน่งจึงค่อนข้างแน่ชัด ฝูงปลาแบบไหนก็จะอาศัยอยู่ในที่นั้นๆ ปกติแล้วจะไม่มีการเปลี่ยนแปลง

นี่ก็คือสาเหตุที่พวกชาวประมงต้องออกทะเลทุกวัน พวกเขาจะต้องทำการสรุปแผนที่มาตราส่วนของการเก็บเกี่ยวปลาในฟาร์มปลาออกมาเป็นตัวเลขโดยการใช้เครื่องโซนาร์ แบบนี้ทำให้เวลาไปจับปลา ต้องการปลาอะไรก็ไปจับที่จุดนั้นก็ได้แล้ว

เวลาผ่านไปจนถึงวันหยุดสุดสัปดาห์อีกโดยไม่รู้ตัว ฉินสือโอวคิดย้อนกลับไป รู้สึกเหมือนเขาเพิ่งกลับมาจากขี่ม้ากับเหมาเหว่ยหลงอยู่เลย แต่ความจริงกลับผ่านมาห้าวันแล้วเหรอเนี่ย? ว้าว เวลาเป็นดังสายน้ำไหลผ่านจริงๆ!

เขาทอดถอนใจขนาดนี้ วินนี่กลับยิ้มแล้วจ้องไปที่เขาทีหนึ่ง พูดว่า “คุณอยู่แต่ที่ฟาร์มปลาทุกวัน แน่นอนว่าต้องรู้สึกว่าเวลาผ่านไปรวดเร็วสิคะ แต่สำหรับฉันแล้วกลับไม่ใช่อย่างนั้น เวลาผ่านไปช้ามากเลย การรอคอยให้ถึงวันหยุดสุดสัปดาห์เป็นอะไรที่ยากลำบากมาก เป็นฉันไม่ง่ายเลยใช่ไหม ช่วยนวดคอให้ฉันหน่อยสิคะ รู้สึกปวดจัง”

ฉินสือโอวทำหน้าทะเล้น “แน่นอนว่าคุณภรรยาต้องเหนื่อยอยู่แล้ว พูดมาเลย วันหยุดคุณอยากทำอะไร? ผมจะทำเป็นเพื่อน!”

วินนี่หยีตาเพื่อดื่มด่ำกับการนวดของฉินสือโอว แล้วใช้น้ำเสียงแบบ**พูดว่า “อืม ฉันไม่อยากทำอะไรทั้งนั้นค่ะ แค่อยากนั่งรับลมเย็นกับลูกสาวเท่านั้น”

ฟังวินนี่พูดแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวรู้ว่าเธอคงเหนื่อยจริงๆ นั่นแหละ จึงรู้สึกปวดใจขึ้นมา คิดไปคิดมา เขาก็คิดกิจกรรมที่ไม่เลวออกมาได้อันหนึ่ง คิดว่าน่าจะลองทำดูได้

ฉินสือโอวคิดๆ อยู่ ผ่านไปสักพักรู้ตัวอีกที ก็เห็นเจ้าตัวเล็กพวกหู่เป้าฉงหลัวกับราชาเจ้าป่าพากันกระโดดขึ้นไปบนโซฟา พี่น้องเฟอเรทลากหางอันฟูฟ่องมานั่งอยู่บนพื้นแล้วมองดูอย่างประหลาดใจ พวกมันไม่รู้ว่าพวกพี่ชายกำลังทำอะไรกันอยู่

คำตอบไม่ต้องบอกก็รู้ เจ้าตัวเล็กมองดูฉินสือโอวนวดให้วินนี่แล้วก็รู้สึกสนใจขึ้นมา แต่ละตัวจึงพากันกระโดดขึ้นโซฟาแล้วเบียดกันอยู่บนนั้น พร้อมทั้งยื่นคอรอให้ฉินสือโอวนวดให้

ฉินสือโอวยิ้มแล้วด่าไปสองทีพร้อมผลักพวกมันลงไป พวกเด็กๆ ร้องอาวๆ อย่างไม่พอใจ ยิ่งฉงต้ายิ่งแล้วใหญ่ที่ยังคงหน้าด้านพยายามปีนขึ้นไปต่อ พร้อมกับเบียดวินนี่ออกเพื่อให้ฉินสือโอวนวดให้

ที่พวกมันต้องการไม่ใช่การนวดหรอก แต่เป็นความเอ็นดูต่างหาก นี่คือสัญชาตญาณของพวกสัตว์เลี้ยง

ฉินสือโอวหมดทางเลือก จำใจต้องเกาตัว หวีขนให้พวกมันทีละตัว พวกตัวน้อยสบายตัวกันจนตาหยีเป็นเส้นเดียว พร้อมกับเผยสีหน้าฟินกันถ้วนหน้าออกมา

พี่น้องเฟอเรทรู้สึกสนใจขึ้นมาทันที พวกมันกระโดดสองสามทีขึ้นไปบนโซฟา จนบนโซฟาอัดแน่นไปหมดแล้ว ดังนั้นพวกมันจึงแสดงศักยภาพความคล่องตัวและความสมดุลของเฟอเรทแบลคฟุตออกมา โดยการกระโดดขึ้นไปอยู่บนพนักโซฟาแทน

เฟอเรทตัวเล็ก มือฉินสือโอวหนึ่งข้างก็สามารถควบคุมได้หนึ่งตัวแล้ว พี่น้องเฟอเรทเห็นดังนี้แล้วก็รีบ ‘ฟึ่บ’ พลิกตัวในทันที เผยเอาท้องน้อยๆ ที่นุ่มนิ่มนั้นออกมาให้เขาเกาให้

อยู่เล่นกับเจ้าพวกตัวเล็กมาทั้งคืนแล้ว พอฉินสือโอวเข้าไปถึงห้องนอนก็ปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปในฟาร์มปลา ไม่กี่วันมานี้เขาไม่ค่อยสนใจฟาร์มปลามากนัก คืนนี้จึงต้องไปสำรวจดูให้ได้ ไม่รู้ว่าตอนนี้แมงกะพรุนขนสิงโตเป็นอย่างไรบ้าง

เขาเดาว่าการเปลี่ยนแปลงของฝูงปลาน่าจะเกี่ยวข้องกับแมงกะพรุนขนสิงโตนั่นแหละ หากว่าใช่แล้วล่ะก็ งั้นก็ต้องให้พวกชาวประมงใช้อวนลากเจ้าตัวใหญ่นี้ออกไปแล้ว

มาถึงน่านทะเลน้ำลึก เขาใช้จิตสำนึกเข้าควบคุมเฮยป้าหวัง มองไปแวบหนึ่งก็ตกใจขึ้นมาทันที ดูเหมือนสถานการณ์ของแมงกะพรุนตัวนี้จะไม่สู้ดีนักนี่นา

แมงกะพรุนขนสิงโตที่เขาเห็น ก็คือตัวที่ใหญ่ที่สุดตัวนั้น หนวดยื่นออกมา หนวดสองข้างที่แผ่ออกไปเป็นเส้นทแยงมุมมีความยาวกว่าหลักร้อยเมตร เท่าที่ฉินสือโอวได้ยินมา นี่คงจะเป็นแมงกะพรุนขนสิงโตที่ใหญ่ที่สุดในมหาสมุทรแล้ว

ตอนจากไปครั้งก่อน พวกแมงกะพรุนยังมีพลังชีวิตเต็มเปี่ยม ห้าวหาญอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ไม่ว่าจะปลาแฮร์ริ่ง ปลาซาบะ ปลากะพงญี่ปุ่น หรือปลาทะเลตัวแบน หากได้เข้าไปในหนวดของมันแล้วก็คือตายสถานเดียว

แต่ว่าในตอนนี้ แมงกะพรุนยักษ์ตัวนี้กลับไม่ได้มีพลังชีวิตมากขนาดนั้นแล้ว แสงที่ส่องสว่างอยู่บนตัวกลายเป็นสีอึมครึมไร้ซึ่งความสว่าง หนวดที่มีกว่าพันข้างนั้นว่ายอยู่ในน้ำอย่างไร้เรี่ยวแรง แม้ว่าจะมีการขยับเป็นพักๆ แต่นั่นกลับเหมือนกับเป็นการกระตุกเสียมากกว่า

ใต้ร่มของแมงกะพรุนตัวนี้ คือเฮยป้าหวัง ฉลามแมวเจ็ดพี่น้องและฉลามขาวยักษ์อีกหลายตัว พวกมันว่ายวนเวียนอยู่บริเวณที่หนวดเอื้อมถึงอย่างไม่สบอารมณ์ เห็นได้ชัดว่าอยากจะได้รับสารพิษเพื่อมากระตุ้นต่อมสนุกกัน

ก่อนหน้านี้ฉลามแมวเจ็ดพี่น้องที่ว่ายเข้าๆ ออกๆ ตอนนี้ทำแบบเดียวกับเฮยป้าหวัง ก็คือหยุดพักอยู่ข้างในยาวเลย แต่ความสนุกที่ตามมานั้นกลับมีน้อยจนน่าสงสาร แน่นอนว่านี่เป็นเรื่องปกติมาก แมงกะพรุนขนสิงโตตัวนี้ใกล้จะจบเห่แล้ว!

รูปร่างใหญ่โตก็หมายถึงการใช้พลังงานที่มากมาย ฉินสือโอวรู้ แมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือจำเป็นต้องล่าอาหารตลอดเพื่อเติมเต็มพลังงานที่เสียไป แมงกะพรุนตัวนี้ คิดว่าคงหิวนั่นแหละถึงได้มีสภาพน่าเวทนาอย่างนี้

ว่าไปแล้วแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือตัวนี้ก็ซวยเหมือนกันนะ ที่จริงการที่ร่างกายของมันเปล่งแสงออกมาก็เพื่อดึงดูดให้พวกปลากุ้งที่ชอบไล่ตามแสงเข้ามาติดกับ แล้วกินพวกมันเป็นอาหาร แต่ทว่ามีพวกเฮยป้าหวังและฉลามเจ็ดพี่น้องนักเลงอยู่ที่นี่แบบนี้ ปลากุ้งที่ไหนล่ะจะกล้าเข้าใกล้?

และเมื่อพวกปลากุ้งไม่สามารถเข้ามาใกล้ได้ ทำให้แมงกะพรุนขนสิงโตตัวนี้ไม่สามารถล่าอาหารได้ ไหนจะพวกเฮยป้าหวังที่มุดอยู่ในหนวดของมันอีก มันไม่มีสมอง ไม่รู้จักการจากไปหรือหลบหลีก เมื่อถูกกระตุ้นแล้วก็ใช้หนวดทิ่มไปที่พวกมันไม่หยุด เพื่อเป็นการปล่อยสารพิษออกไป

การผลิตสารพิษของแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนือเป็นกระบวนการที่ใช้ทรัพยากรและพลังงานเป็นอย่างมาก เมื่อพวกมันทำการปล่อยสารพิษออกไปไม่หยุดแต่กลับไม่สามารถเติมพลังงานได้ การที่ผ่านไปหนึ่งอาทิตย์แล้วหิวจนกลายเป็นสภาพแบบนี้จึงไม่ใช่เรื่องน่าแปลกใจเลย

แมงกะพรุนขนสิงโตตัวนี้ไม่จำเป็นต้องถูกเก็บกวาดแล้ว ไม่นานมันต้องตายอย่างแน่นอน และเมื่อถึงตอนนั้นจะมีพวกปลากุ้งมาจัดการมันเอง

ฉินสือโอวไปดูแมงกะพรุนขนสิงโตตัวอื่น เฮยป้าหวังและฉลามเจ็ดพี่น้องที่รับรู้ถึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอน ก็สะบัดหัวสะบัดหางว่ายตามไปด้วย

พวกมันไม่สามารถหาความสนุกจากแมงกะพรุนขนสิงโตตัวนี้ได้อีกแล้ว ดังนั้นจึงจากไปได้อย่างไม่ลังเล ความเลือดเย็นแบบนั้น ทำให้ฉินสือโอวอยากจะชมคำเดียวว่า สุภาพบุรุษผู้ได้เสียแล้วแยกทาง!

น่านน้ำแถบนี้ยังมีแมงกะพรุนขนสิงโตขั้วโลกเหนืออีกเยอะ ฉินสือโอวเจอเข้ากับอีกตัวอย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นแบบนี้ พวกเฮยป้าหวังก็มุดเข้าไปต่ออย่างกระตือรือร้น และเริ่มแกล้งแมงกะพรุนตัวนี้ต่อ

ฉินสือโอวส่ายหัว จากนั้นเขาก็เห็นเงาของฉลามหางยาวตัวหนึ่ง ที่เขาสังเกตเห็นฉลามหางยาวตัวนี้ ที่จริงแค่เพราะรู้สึกคุ้นตาเท่านั้น แต่หลังจากจ้องไปสักพักแล้วก็พบว่า งานที่ฉลามหางยาวตัวนี้ทำอยู่นั้น ไม่ธรรมดาเลย

…………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท