ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1308 อาหารกลางวันบนเมฆขาว

บทที่ 1308 อาหารกลางวันบนเมฆขาว

แก๊สบนเตาเป็นการดึงท่ออันหนึ่งจากท่อแก๊สของบอลลูนมาใช้ เพราะว่าบนท้องฟ้าลมแรง ดังนั้นจึงทำการใช้เตาแก๊สในโหมดกันลม หลังจากไฟติดแล้วก็จะเหมือนกับไฟแช็กกันลมที่มีไฟลุกโชนพุ่งออกมา

ฉินสือโอวต้องเตรียมการอะไรหลายอย่าง วินนี่จะเข้ามาช่วย เขาส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่ๆ ที่รัก งานวันนี้ทั้งหมดให้ผมจัดการเอง ผมรับผิดชอบเรื่องงาน คุณรับผิดชอบเรื่องความสุข”

ฉินสือโอวถูมือไปมา แล้วมองไปที่วัตถุดิบตรงหน้าที่มีมากมายหลายประเภท มีมะเขือเทศ หัวหอม ชิ้นปลาค็อด และเนื้อจำพวกเบคอนกับแฮม

วัตถุดิบพวกนี้ส่วนมากจะเป็นกึ่งสำเร็จรูป อย่างเช่น สเต๊กเนื้อวัวที่ย่างสุกประมาณสี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้ว เนื้อปลาค็อดและเบคอนก็ทอดเสร็จไว้แล้ว หัวหอมหั่นแว่นไว้ มันฝรั่งก็นึ่งแล้ว เขาใช้แผ่นฟอยล์ห่อวัตถุดิบพวกนี้ไว้ ถือว่าเก็บรักษาได้ไม่เลวเลย

วันนี้เขาวางแผนจะทำอาหารตะวันตก ปกติตอนอยู่บ้าน วินนี่จะเป็นคนทำอาหารตะวันตก เขาทำอาหารจีน วันนี้มาเปลี่ยนรสชาติกันบ้าง

อันแรกเริ่มจากการย่างกระดูกวัว อาหารจานนี้ค่อนข้างง่าย กระดูกวัวย่างเสร็จแล้ว ตอนนี้ที่ต้องทำก็คือซอส หลังจากราดซอสไว้ด้านบน อาหารจานนี้ก็พร้อมเสิร์ฟแล้ว

กระดูกวัวสามารถย่างล่วงหน้าได้ แต่ซอสไม่สามารถทำไว้ก่อนได้ ฉินสือโอวเตรียมแผ่นหัวหอม แครอทหั่นเต๋า แผ่นมันฝรั่ง และขึ้นฉ่ายมาใส่รวมกัน จากนั้นก็เทน้ำมันลงในกระทะ หลังจากน้ำมันเดือดได้ที่แล้ว ก็ใส่ผักลงไปผัด

พอผัดจนสุกแล้ว ก็นำกระดูกวัวที่ย่างเสร็จแล้วใส่ลงไปในกระทะ อุ่นอาหารโดยใช้ไฟต่ำ เทไวน์แดงลงไป ต้มต่ออีกไม่กี่นาที รอให้ซอสข้น เติมน้ำลงไปเล็กน้อย จากนั้นก็ใส่ผักเพิ่มรสชาติจำพวกใบเบย์ลงไป แล้วก็อบอีกสักพักก็เป็นอันเสร็จ

อาหารจานนี้ทำง่ายมาก แต่การทำอาหารบนบอลลูนก็ต้องเน้นการทำง่ายไว้ก่อน การมาที่นี่ก็เพื่อความโรแมนติก ไม่ได้มาเพราะอยากจะกินข้าวหรอก

อาหารจานที่สองคือสเต๊กเนื้อแพะทอดธรรมดา ตอนอยู่บนพื้นดินเขาได้เตรียมทอดสเต๊กเนื้อแพะจนสุกแล้ว ที่ต้องทำตอนนี้ก็คือซอสอีกเหมือนเดิม การทำซอสเป็นเรื่องที่ยุ่งยากในการทำอาหารตะวันออกหลายเมนู เพราะต้องพึ่งซอสมาเพิ่มรสชาติ

วิธีการทำซอสในครั้งนี้คล้ายกับการทำซอสของกระดูกวัวย่าง จุดที่ไม่เหมือนกันก็คือฉินสือโอวใช้กระเทียมสับ ออริกาโนผง โรสแมรีผงและเกล็ดขนมปังในการเพิ่มรสชาติ หลังจากทำเสร็จแล้วก็นำไปเก็บไว้ในกล่องเก็บอุณหภูมิกับกระดูกวัวย่าง แล้วเริ่มทำจานต่อไป

วินนี่ดูฉินสือโอวยุ่งนู่นยุ่งนี่อยู่ข้างๆ บนหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้มน้อยๆ

พี่น้องเฟอเรทพอได้กลิ่นหอมแล้วก็รุดไปอยู่ตรงหน้าฉินสือโอว กระโดดขึ้นไปบนเตาอาหารเพื่อจะขโมยกินอาหาร

ฉินสือโอวเห็นพวกมันกระโดดขึ้นมาก็ตกใจไปครู่หนึ่ง ข้างนอกคือกลางอากาศนะ หากว่าเจ้าตัวเล็กสองตัวนี้ไม่ระวังแล้วตกลงไป ถึงแม้พวกมันจะมีหางสิบอันก็ไม่เพียงพอกับการลดแรงกระแทกหรอก

เขานำพี่น้องเฟอเรทใส่เข้าไปในกระเป๋าเสื้อผ้า เจ้าตัวเล็กสองตัวยังอยากจะปีนออกไปข้างนอก พร้อมกับทำท่าไม่ยอมจำนน ดวงตาน้อยๆ จ้องไปที่เกล็ดขนมปังและแผ่นเนื้อย่างแล้วก็น้ำลายไหลออกมา

ฉินสือโอวกำลังยุ่งอยู่ พอพี่น้องเฟอเรทมาวุ่นวายแบบนี้ ทำให้เขาหมดความอดทนขึ้นมา เขาจับเจ้าสองตัวนี้ส่ายไปมานอกตะกร้า ทันใดนั้นพี่น้องเฟอเรทก็ตกใจจนฉี่ราด

หลังจากเอากลับเข้ามาแล้ว พี่น้องเฟอเรทพอถึงพื้นปุ๊บ ก็รีบวิ่งหัวซุกหัวซุนเข้าไปในอ้อมกอดของวินนี่ แม้แต่ก้นก็ไม่กล้าโผล่ออกมาอีกเลย

เมื่อเป็นแบบนี้ก็ถือว่าฉินสือโอวว่างแล้ว จึงเริ่มทำงานต่อไป

เขานำแผ่นแตงกวา แผ่นมะเขือเทศ หัวหอมหั่นแว่น มันฝรั่งแท่ง มะกอกดำ ผักสลัด กระชายดำ และแผ่นพริกหยวกมาใส่รวมกัน ฉินสือโอวผ่าแบ่งไข่ต้มใส่ลงไป จากนั้นก็ใส่ชิ้นเนื้อกระป๋องลงไป สุดท้ายเทน้ำสลัดน้ำใส เกลือและผงพริกไทยดำลงไป แล้วก็ใช้ซอสสลัดมาคลุกเคล้าให้เข้ากันก็ถือว่าเป็นอันเสร็จ

ทำอาหารรวดเดียวไปเจ็ดแปดอย่าง ฉินสือโอวยังทำซุปทะเลข้นอีกหนึ่งหม้อ แค่นี้อาหารจานหลักก็เสร็จสิ้นแล้ว

นีลเซ็นถอดเสื้อกันลมออก เผยให้เห็นเสื้อแจ็คเก็ตสีดำและเสื้อเชิ้ตสีขาวด้านใน ซึ่งเป็นการแต่งตัวตามมาตรฐานของผู้ติดตาม เขารีบตั้งโต๊ะอาหารอย่างรวดเร็ว เปิดไวน์แดงมาหนึ่งขวด เบิร์ดกับออสเปรนำอาหารไปวางไว้บนโต๊ะ

ฉินสือโอวเปิดกล่องออกมา หยิบดอกกุหลาบออกมาจากข้างในหนึ่งดอก จากนั้นก็ยื่นให้วินนี่แล้วพูดว่า “เฮ้ ที่รัก ผมมอบให้คุณ และขอให้คุณมีความสุขทุกวันนะครับ”

วินนี่รับดอกกุหลาบมา หัวเราะอย่างแปลกใจแล้วพูดว่า “พระเจ้า ฉิน นี่ช่างทำให้ฉัน เอิ่ม ฉันไม่รู้ว่าจะพูดอย่างไร คุณทำให้ฉันประหลาดใจมากเลย”

บนดอกกุหลาบยังมีหยดน้ำค้างอยู่ สวยงามราวกับเพิ่งจะเด็ดมาเมื่อกี้เลย

ฉินสือโอวตัดกระดูกวัวออกมาชิ้นหนึ่งไปวางไว้ในจานอาหารของเธอ แล้วพูดว่า “คุณลองชิมฝีมือของผมดู ผมว่าคุณจะต้องแปลกประหลาดใจต่ออีกแน่นอน”

บอลลูนล่องลอยอยู่กลางอากาศ เบิร์ดและออสเปรกำลังควบคุมทิศทางกันอย่างเต็มที่ เพื่อให้มันเคลื่อนไหวเลียบไปรอบๆ เกาะแฟร์เวล

โต๊ะอาหารตั้งไว้ตรงมุมของตะกร้า ฉินสือโอวกับวินนี่นั่งอยู่ตรงข้ามกัน มองออกไปข้างนอกก็สามารถก้มลงไปมองเกาะเล็กๆ นี้ได้ ทั้งสองคนกินไปพลางชี้นู่นนี่ไปพลาง คุยถึงพิกัดต่างๆ ของเกาะกันกลางอากาศ

ช่วงเที่ยงแสงอาทิตย์แรงจ้า แต่เพราะกลางอากาศมีลมเย็น คนข้างบนจึงไม่รู้สึกว่าร้อน แค่รู้สึกว่าตากแดดอยู่เท่านั้น แต่นี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่แน่นอนว่าวินนี่ไม่สนใจเรื่องพวกนี้ ฉินสือโอวเตรียมเรื่องเล่าสั้นๆ มาเล่าให้เธอฟังก่อนแล้ว ทำให้ดึงดูดความสนใจทั้งหมดของเธอไว้ หลังจากกินข้าวเสร็จ ดวงตาทั้งสองของเธอก็จับจ้องอยู่บนตัวฉินสือโอว ใบหน้ายิ้มแย้ม

บอลลูนลอยอยู่บนอากาศมาครึ่งวัน ตอนบ่ายเบิร์ดเริ่มปล่อยลมออก บอลลูนค่อยๆ ลอยต่ำลง กลับไปสู่ฟาร์มปลาอีกครั้ง

พอใกล้จะถึงพื้นแล้วฉินสือโอวมองลงไปดู แล้วพูดว่า “ครั้งหน้าเราไปเล่นกระโดดร่มกันดีไหม? ได้ยินมาว่าสนุกมาก ผมยังไม่เคยลองเลย”

วินนี่ยิ้มแล้วพูดว่า “ได้สิคะ เรื่องนี้ฉันถนัดมาก ตอนที่ฉันไปเทรนกับแคนาดาแอร์ไลน์ ฉันไปเข้าเรียนชั้นกระโดดร่มโดยเฉพาะเลยนะคะ ฉันจำได้ว่าฉันยังได้คะแนน A+ ด้วย ครูฝึกยังพูดเลยว่าฉันสามารถไปเป็นพลร่มได้เลย”

ฉินสือโอวพูดอย่างประหลาดใจว่า “เก่งขนาดนั้นเลยเหรอ? งั้นผมคงต้องให้คุณสอนแล้วล่ะ กลับไปผมจะรีบไปซื้อถุงร่มชูชีพเลย เบิร์ด หาคลับโดดร่มแล้วลงทะเบียนให้ฉันด้วย”

เบิร์ดพูดว่า “ไม่ครับ บอส สภาพแวดล้อมของเกาะของเราไม่เหมาะที่จะกระโดดร่มนะครับ ถ้าหากว่าคุณอยากจะให้ทะเลเป็นจุดที่ตกลงมาแล้วล่ะก็ งั้นผมต้องแนะนำให้คุณแบกถังออกซิเจนไว้ด้วย เพราะหากว่าถูกร่มชูชีพพันตัวไว้แล้วจะลำบากเอาได้นะครับ”

ความจริงฉินสือโอวก็พูดไปอย่างนั้น เขาชอบออกกำลังกาย แต่ว่าไม่ชอบการออกกำลังกายที่โลดโผนเกินไป เพราะเขาไม่ต้องการเอาชีวิตน้อยๆ ของเขาไปเสี่ยงอันตราย

เมื่อออกจากบอลลูน วินนี่ถามฉินสือโอวว่าทำไมถึงคิดจะทำเซอร์ไพรส์ให้เธอ ฉินสือโอวหัวเราะแล้วบอกว่าอยู่ดีๆ ก็คิดขึ้นมา ไม่มีเหตุผลอะไร และไม่ใช่เพื่อฉลองอะไรด้วย

เมื่อเห็นทั้งสองคน แม่ของฉินสือโอวก็ถามวินนี่ว่าความรู้สึกที่ได้นั่งบอลลูนเป็นอย่างไรบ้าง วินนี่บอกว่าดีมาก ให้แม่กับพ่อของฉินสือโอวลองไปนั่งบ้าง

แม่ของฉินสือโอวส่ายหัวอย่างแรง แล้วพูดว่า “แม่อายุปูนนี้แล้วใช้ชีวิตธรรมดาหน่อยดีที่สุด พวกเธออายุยังน้อยยังสามารถเล่นได้ แต่แม่กับพ่อน่ะเหรอ ไปเล่นไม่ไหวแล้วล่ะ”

พอได้ทานอาหารกลางวันบนบอลลูนแล้ว ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าสุดสัปดาห์นี้มีความหมายขึ้นมา

พอถึงวันจันทร์ เขากลับมาจากทะเลตอนค่ำ เห็นมีคนกำลังตกปลาอยู่บนท่าเรือ เมื่อเรือเข้าใกล้ เขาก็แปลกใจที่ได้รู้ว่าคนที่ตกปลาอยู่ก็คือพอลลี่กับเหมาเหว่ยหลง

“พวกนายสองคนมาได้อย่างไร?” ฉินสือโอวพูดพร้อมหัวเราะ

เหมาเหว่ยหลงพูดอย่างไม่พอใจว่า “ไม่ต้อนรับเหรอ?”

ฉินสือโอวตอบว่า “อยากให้มาใจจะขาดเลยล่ะ”

พอลลี่เก็บเบ็ดขึ้นมา ยิ้มแล้วพูดว่า “ผมมาเพื่อส่งลูกม้าให้พวกคุณน่ะ แต่ผมคนเดียวทำเองไม่ไหว เหมาเลยตั้งใจมาช่วย”

ฉินสือโอวพยักหน้าเข้าใจ ใช่แล้ว ยังมีเรื่องนี้ด้วย เขาลืมไปเสียสนิทเลย

………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท