ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1310 คาดผิดไป

บทที่ 1310 คาดผิดไป

มื้อเย็น ฉินสือโอวเตรียมแต่อาหารทะเลให้พอลลี่ทั้งนั้น

วันนั้นที่ฟาร์มพอลลี่ พวกเขาล้มลูกวัวเลี้ยงเขาเลยนะ ฉะนั้นฉินสือโอวก็ไม่ขี้เหนียว เอาของดีที่สุดของฟาร์มปลาออกมาอย่างไว้หน้า

ปลาตัวเป่าย่าง ปลาไหลอเมริกาตุ๋น เพรียงทะเลนึ่ง ปลาหัวเมือกผัดซอสแดง ส่วนปูหิมะ เมนล็อบสเตอร์กับปลาค็อด แน่นอนว่ายิ่งขาดไม่ได้

แน่นอนว่านอกจากอาหารทะเลก็ขาดไก่งวงย่างกับสเต๊กเนื้อไม่ได้ สองจานนี้เป็นอาหารเลี้ยงแขกที่จำเป็นของครอบครัวคนแคนาดา ฉินสือโอวรู้สึกว่าคนแคนาดานี่ก็เก่งจริง กินกับข้าวสองจานนี้ไม่เบื่อกันบ้าง

ที่จริงแล้วคนแคนาดาก็ไม่ได้เจ๋งอะไรขนาดนั้น เห็นฉินสือโอวเตรียมสเต๊กเนื้อ พอลลี่ก็รีบออกปากห้ามว่า “เฮ้ ฉิน ที่จริงอาหารที่คุณเตรียมก็เยอะพอแล้ว สเต๊กเนื้อจานนี้ก็ไม่เป็นไรหรอก?”

เดิมทีฉินสือโอวก็ไม่ได้เตรียมสเต๊กเนื้อจริงๆ แต่วันนี้เป็นวันเปิดโถกะปิที่เขาหมักไว้ เขารู้วิธีทำสเต๊กเนื้อโดยใช้กะปิที่อร่อยมากสูตรหนึ่ง นี่เป็นอาหารจานเด็ดของบ้านเกิดเขา พอลลี่ไม่เคยกินอย่างแน่นอน

อาหารจานนี้ก็คือสเต๊กเนื้ออบกะปิ พอเขาเปิดโถกะปิกลิ่นคาวเค็มก็พวยพุ่งขึ้นมา นี่คือกะปิชั้นดี ไม่มีกลิ่นเหม็นมีแต่กลิ่นเค็มและคาว พอกลิ่นทั้งสองแบบนี้รวมตัวเข้าด้วยกัน จะพูดว่าเป็นกลิ่นทะเลก็ได้

กะปิมีสีชมพูเสมอกัน ฉินสือโอวตักออกมาสองช้อน ผสมกับไข่ขาว และแป้งเพราะช่วยดับกลิ่นคาวของซอสกุ้งได้ดี จากนั้นก็ใส่ผักชี ต้นหอม หัวหอม กระเทียมสับ ทีนี้ก็ไม่มีกลิ่นคาวเหลืออยู่แล้ว

เขาทำอาหารนี้เป็นอันดับสุดท้าย กะปิต้องหมักจนเข้าเนื้อถึงจะได้ที่เลยต้องใช้เวลา

พอหมักเสร็จ ก็ต้องเอาลงทอดในน้ำมัน คนแคนาดาทำกับข้าวชอบใช้น้ำมันทอด พวกเขาเห็นว่าอาหารทอดธรรมดาดีกว่าอาหารทอดแบบน้ำมันท่วม

พอทอดสเต๊กเนื้อหมักกะปิเรียบร้อย อาหารจานสุดท้ายก็เสร็จแล้ว กินข้าวได้

เพราะชาวประมงกับพวกทหารไม่สนิทกับพอลลี่ ครั้งนี้ฉินสือโอวเลยจัดงานเลี้ยงในบ้านแบบง่ายๆ พ่อแม่ เออร์บัก พวกเด็กๆ อีวิลสันแล้วก็เขากับวินนี่

อีวิลสันกินข้าวกับพวกเขาตลอด พ่อแม่ฉินชอบเขามาก เพราะเขากินเยอะสุดๆ แถมยังไม่เลือกกิน มีเขาอยู่พ่อแม่ฉินก็ทำอาหารได้ตามสบาย อย่างไรสุดท้ายก็ไม่เหลือทิ้ง

ในสายตาของคนแก่ทั้งสอง เด็กที่ไม่กินทิ้งกินขว้างก็คือเด็กดี

เหมาเหว่ยหลงกัดเนื้อเข้าไปหนึ่งคำ รสชาติอันแปลกใหม่ทำให้เขาประหลาดใจ “ฉิน จานนี้แกทำได้อร่อยมาก ฉันเพิ่งเคยกินสเต๊กเนื้อแบบนี้ครั้งแรก รสชาติไม่เลวเลย”

พอลลี่เองก็กินได้ เขาพยักหน้าพูดว่า “ย่างสเต๊กได้นุ่มมาก ที่สำคัญก็คือมีกลิ่นทะเลด้วย ฉิน คุณทำได้อร่อยมากเลย ต้องยกนิ้วให้คุณเลยล่ะ ฮ่ะๆ”

ตอนที่ฉินสือโอวทำก็ชิมก่อนแล้ว ประเด็นก็คือเพราะกะปิดี กลิ่นคาวไม่หนัก รสออกหวานๆ กะปิแบบนี้ป้ายบนหมั่นโถวกินกับข้าวยังได้เลย

หู่เป้าฉงหลัวโดนกลิ่นหอมของเนื้อทอดดึงให้ตามมา วินนี่ให้อาหารมันไปแล้ว พวกมันก็ยังเงยหน้ามองดูฉินสือโอวรอของกินอย่างคาดหวัง

เหมาเหว่ยหลงอยากเอาของให้มันกิน ฉินสือโอวจึงรีบห้ามพัลวัน “แกดูสิว่าพวกมันอ้วนขนาดไหน? ให้อีกไม่ได้แล้ว มื้อเย็นพวกมันก็ไม่ใช่กินน้อยๆ”

เจ้าพวกตัวเล็กรออยู่ครู่หนึ่งก็ยังไม่ได้ของกินเลยเดินคอตกออกไป ทำเอาพอลลี่ขำจนไม่ไหว

วินนี่พูดขึ้น “พรุ่งนี้ฉันต้องตั้งกฎขึ้นมา ตอนนี้นักท่องเที่ยวก็ให้อาหารโลมาแบบไม่มีขีดจำกัดเหมือนกัน ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้โลมาอ้วนขึ้นเยอะเลย”

เหมาเหว่ยหลงไม่รู้เรื่องโลมาเลยถามว่าเรื่องอะไรกัน ฉินสือโอวอธิบายพักหนึ่ง คนทั้งโต๊ะเลยเริ่มวิพากษ์วิจารณ์คนญี่ปุ่น พอลลี่ก็วิจารณ์ด้วย เพราะเจ้าของฟาร์มแคนาดาเกลียดวัววากิวเป็นที่สุด พวกนั้นโกยเงินไปหมดเลย…

เหมาเหว่ยหลงไม่เคยเล่นกับโลมาเลย จึงบอกว่าพรุ่งนี้เขาก็จะไปเลี้ยงโลมา ให้ฉินสือโอวพาเขาไปเที่ยวหน่อย ฉินสือโอวส่ายหน้าบอกโลมามีอะไรน่าสนุก พรุ่งนี้ถ้าตามเขาไปมีอะไรสนุกกว่านี้อีก

สิ่งที่น่าสนุกกว่านั้นก็คือไปอเมริกาส่งนิมิตส์ให้คาเมรอน…

ฉินสือโอวกลับมาจากท่าเรือบาสก์เกือบจะเดือนหนึ่งแล้วก็ยังไม่ได้ส่งนิมิตส์ไปให้คาเมรอน แต่จะผลัดอีกต่อไปไม่ได้แล้ว

ไปอเมริกาจากแคนาดาสะดวกมาก แต่เงื่อนไขคือห้ามเอาสัตว์เลี้ยงไปด้วย

ตามขั้นตอนทั่วไป ฉินสือโอวจะพานิมิตส์ไปอเมริกา ก็ต้องพานิมิตส์ไปทำการตรวจหาโรค ดีที่คาเมรอนทำเรื่องเสร็จหมดแล้ว ฉินสือโอวสามารถพามันขึ้นเครื่องได้เลย

ครั้งนี้ไปจากเกาะแฟร์เวล นิมิตส์ก็เชื่องขึ้น มันอยู่ข้างฉินสือโอว ตื่นเต้นไปตลอดทาง

หนังเรื่องนี้ของคาเมรอนถ่ายทำที่ไมอามีเป็นหลัก เพราะไมอามีมีหาดและทะเลที่สวยกว่าอ่าวเซนต์ลอว์เรนซ์ และหนังภัยพิบัติทางทะเลแบบนี้ก็มีฉากเป็นหนึ่งในจุดขาย

นี่เป็นครั้งที่สองที่ฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงมาไมอามีด้วยกัน คราวที่แล้วที่มาเมืองนี้ พวกเขาเจอเรื่องจี้ปล้นเป็นครั้งแรก ตอนนี้นึกย้อนกลับไปก็น่าสนใจดี

“ไม่รู้คดีคลี่คลายหรือยัง” เหมาเหว่ยหลงพูด “ว่ากันว่าทีมอาชญากรรมของไมอามีเก่งมาก”

ฉินสือโอวถาม “แกรู้เรื่องกองกำลังตำรวจของไมอามีด้วยเหรอ?”

เหมาเหว่ยหลงพูด “แน่นอน แกคิดว่าหลายปีมานี้ฉันดูหนังฮอลลีวูดกับหนังอเมริกาไปเปล่าๆ หรือไง?”

ฉินสือโอว “…”

คนที่มารับทั้งสองคนก็คือบัตเลอร์ ไมอามีเป็นหนึ่งในฐานที่มั่นหลักของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน พอเจอกันลุงหนวดก็กอดเหมาเหว่ยหลงยกใหญ่ จากนั้นก็พูดกับนิมิตส์ “เฮ้ เพื่อน พวกเราเจอกันที่อเมริกาอีกแล้ว? สบายดีไหม? โอ้ ผมสบายดี”

นิมิตส์มองบัตเลอร์ด้วยสายตาดูถูก จากนั้นก็มองไปรอบๆ อย่างลนๆ นี่มันสถานที่แปลกนี่นา นกโจรสลัดใหญ่ร้อนใจกับสิ่งนี้

บัตเลอร์ส่งทั้งสองคนไปที่กองถ่ายที่นอกหาด ตอนที่อยู่บนรถเขาพูดว่า “เพื่อนๆ อวยพรฉันด้วย ฉันกำลังจะร่วมงานกับผู้กำกับคาเมรอนแล้ว”

“หมายถึงอะไร?” ฉินสือโอวถามออกมา

เหมาเหว่ยหลงเข้าใจความหมายเขาในทันที “อาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินจะแทรกโฆษณาในหนังเลยใช่ไหม? โอ้ นี่เป็นหนังฟอร์มใหญ่เลยนะ เท่าไรล่ะ?”

บัตเลอร์หันมาพูดยิ้มๆ “ฮะ แม้ว่านี่จะเป็นไอเดียที่ดี แต่ฉันเองคนเดียวตัดสินใจไม่ได้ ที่จริงฉันก็แค่บทบาทเล็กๆ ตัวจริงก็คล้ายกับตัวละครนี้ไม่ใช่เหรอ? ฉันน่ะเป็นถึงผู้จำหน่ายอาหารทะเลฟาร์มปลาต้าฉินรุ่นแรก”

ฉินสือโอวเกาคางแล้วพูดอย่าสนใจ “เพื่อน พวกเราแทรกโฆษณาเข้าไปในหนังเรื่องนี้ได้ หนังของคาเมรอนนะ หนังภัยพิบัติทางทะเลฟอร์มยักษ์ ทำไมไม่ใช้ประโยชน์หน่อยล่ะ?”

พอลุงหนวดเหยียบคันเร่งก็พูดอย่างประหลาดใจ “ให้ตาย เหมือนคุณกำลังผมเล่นเลย! พวกเราไม่จำเป็นต้องแทรกโฆษณา นี่ก็คือหนังโปรโมตที่ทำให้พวกเรา อย่าบอกผมนะว่าฉิน ว่าตอนที่บริษัทหนังกับคุณเซ็นสิทธิ์ในการดัดแปลง คุณไม่ได้ขอให้เพิ่มบริษัทเราเข้าไป?”

ฉินสือโอวพูดอย่างอ่อนแรง “เพื่อน คุณต้องเข้าใจนะ ตอนที่เกิดเรื่องนี้ พวกเรายังไม่ได้ทำอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน!”

อีกอย่าง ตอนนั้นเขาขอให้ผู้ผลิตภาพยนตร์ปกปิดร่องรอยของฟาร์มปลาต้าฉินเพื่อปกป้องตัวเองด้วย…

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท