ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1309 ม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์

บทที่ 1309 ม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์

ขึ้นฝั่งแล้ว ฉินสือโอวถอดถุงมือออกแล้วจับมือกับพอลลี่พร้อมกล่าว “คุณมาฟาร์มปลาของผมในครั้งนี้ ผมจะดูแลคุณเป็นอย่างดีเลย”

พอลลี่ยกถังน้ำขึ้นแล้วพูดว่า “แค่นี้ก็ถือว่าดูแลเป็นอย่างดีแล้วครับ ดูสิ ผมตกได้อะไร? ฮ่าๆ เมนล็อบสเตอร์! ผมไม่ได้กินเจ้านี่มากว่าครึ่งปีแล้ว กุ้งล็อบสเตอร์ตัวใหญ่นี้พอให้ผมกินอิ่มไปมื้อหนึ่งแล้วล่ะ”

เหมาเหว่ยหลงส่ายหัวแล้วบ่นว่า “โรคระบาดนั่น เมื่อก่อนกุ้งล็อบสเตอร์เป็นอาหารที่ธรรมดามาก แต่ตอนนี้น่ะเหรอกลายเป็นอาหารของชนชั้นสูงไปแล้ว”

เมื่อได้ยินคำพูดของเขาแล้ว พอลลี่ก็บ่นออกมาด้วยว่า “นอกจากเนื้อวัวกับแพะที่ราคาตกลงเรื่อยๆ แล้ว ยังมีอะไรที่ราคาตกอีก? ผักสด อาหารทะเล อาหารแห้ง โอ้ ชิท พรรคเสรีนิยมบ้านั่น พวกมันหลอกเรา! พวกมันทำให้ใบคะแนนเสียงของเราต้องผิดหวัง!”

พรรคเสรีนิยมเป็นพรรคการเมืองที่ปกครองแคนาดาอยู่ในตอนนี้ การที่พวกเขาขึ้นมาปกครองก็ต้องพึ่งการเลือกตั้งด้วย แต่การเลือกตั้งไม่ได้เอาไว้เลือกประธานาธิบดีแต่เป็นการเลือกนายกรัฐมนตรี หลังจากนายกรัฐมนตรีถูกเลือกแล้ว ก็จะต้องผ่านการเลือกตั้งในสภา พรรคที่ได้คะแนนเสียง 170 คะแนนจะสามารถก่อตั้งรัฐสภาจากพรรคที่มีคะแนนเสียงมากที่สุดได้

นโยบายที่พรรคเสรีนิยมใช้ตอนเลือกตั้งก็คือ “ค่าครองชีพมั่นคง เพิ่มตำแหน่งงาน เพิ่มอัตรามีความสุขของชาวแคนาดา” แน่นอนว่านโยบายตอนเลือกตั้งพวกนี้ แค่ฟังผ่านๆ ก็พอแล้ว ใครเชื่อจริงๆ ก็เท่ากับสมองถูกประตูหนีบแล้วล่ะ

แต่ว่าฉินสือโอวสามารถเติมเต็มความหวังของทั้งสองคนได้ เขาพูดว่า “ผักและอาหารทะเลของคืนนี้ฟรีทั้งหมด พวกนายสามารถกินได้เต็มที่ อยากกินเท่าไรก็กินเท่านั้น แถมยังเอากลับบ้านได้ด้วยนะ”

ระหว่างพูด ฉินสือโอวก็เชิญพวกเขากลับไปที่บ้านพักแล้วชงชาต้มกาแฟให้พวกเขา

ระหว่างดื่มกาแฟ พอลลี่พูดว่า “ฉิน ผมเห็นว่าฟาร์มปลาของคุณมีหญ้าไรย์เยอะแยะเลย คุณคิดจะทำธุรกิจปศุสัตว์ด้วยเหรอครับ?”

ฉินสือโอวอึ้งไปทีหนึ่ง หลังจากได้สติแล้วก็ชี้ไปที่สนามหญ้าผืนใหญ่ตรงทิศเหนือแล้วพูดว่า “คุณบอกว่าอันนั้น คือหญ้าไรย์เหรอครับ?”

พอลลี่พยักหน้า พูดว่า “ใช่ครับ หญ้าไรย์ เป็นหญ้าที่ดีมากสำหรับปศุสัตว์ ผมเห็นคุณปลูกไว้เยอะเลย”

ธุรกิจหญ้าปศุสัตว์เป็นส่วนที่สำคัญมากในอุตสาหกรรมสัตวบาล แคนาดาเป็นที่ที่มีพื้นที่กว้างขวาง ราคาที่ดินก็ค่อนข้างต่ำ บวกกับค่ามลภาวะที่ต่ำและภูมิอากาศที่ดี ทำให้เหมาะแก่การปลูกหญ้าปศุสัตว์ที่คุณภาพดีได้

แต่ทว่าเมื่อเทียบกับอเมริกาแล้ว อุตสาหกรรมหญ้าปศุสัตว์ไม่ได้มีการก่อเป็นรูปเป็นร่างนัก ฟาร์มหลายที่ถึงขั้นเห็นการทำฟาร์มเป็นแค่งานอดิเรกเท่านั้น หญ้าปศุสัตว์ส่วนใหญ่จึงเป็นอาหารของวัวไม่ใช่สำหรับโคนม อุตสาหกรรมถูกจัดให้เป็นหนึ่งในอุตสาหกรรมที่มีช่องว่างให้เติบโตของแคนาดาในอีกยี่สิบปีข้างหน้า

ที่พอลลี่คิดว่าฉินสือโอวอยากจะทำธุรกิจด้านหญ้าปศุสัตว์ก็เพราะเหตุนี้ ในปัจจุบันมีชาวเชื้อสายจีนมากมายที่มาทำฟาร์มในแคนาดา พวกเขาไม่เพียงแต่ปลูกพืชสำหรับการทำฟาร์มเท่านั้น ยังได้ปลูกหญ้าปศุสัตว์ด้วย จากนั้นค่อยใช้เส้นสายที่มี ส่งกลับไปขายที่ประเทศจีน

อุตสาหกรรมฟาร์มของประเทศจีนเติบโตขึ้นเรื่อยๆ แต่ว่าในประเทศมีมลภาวะสูง ทำให้มีหญ้าปศุสัตว์น้อยและขาดแคลนมาก ปีที่แล้วกรมปศุสัตว์รายงานว่า ปีนี้หญ้าปศุสัตว์ของประเทศจีนขาดแคลนกว่าหนึ่งร้อยล้านตัน!

ฉินสือโอวหัวเราะพร้อมส่ายหัว แล้วอธิบายถึงสาเหตุที่ปลูกหญ้าไรย์ เขาเกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่านี่คือหญ้าปศุสัตว์ ทั้งๆ ที่หมูป่า กวางป่า ไก่เป็ดห่านก็หาของกินในหญ้านี้อยู่ทุกวัน

พอลล่าพูดอย่างเสียดายว่า “คุณสามารถทำธุรกิจหญ้าปศุสัตว์ได้นะครับ ที่รัฐ B.C มีชาวเชื้อสายจีนมากมายเลยที่ทำกัน เท่าที่ผมรู้ทำกำไรได้มากเลย ถึงแม้จะไม่ส่งไปขายที่ประเทศจีน แต่แค่ที่แคนาดาก็สามารถขายได้เหมือนกัน”

รัฐ B.C ก็คือรัฐที่ใหญ่ไม่น้อยไปกว่ารัฐโทรอนโต ขึ้นชื่อว่าเป็นประตูเมืองเอเชียแปซิฟิก การเดินทางสะดวก เป็นหนึ่งในเมืองที่สำคัญของการติดต่อกับอเมริกาเหนือและเอเชีย

เพราะเหตุการณ์หิมะถล่มในฤดูหนาวเมื่อปีที่แล้วเป็นเหตุ ทำให้การเติบโตของหญ้าปศุสัตว์ในแคนาดาไม่สู้ดีนัก ทำให้ราคาสูงขึ้น นี่คือหนึ่งในเรื่องที่ทำให้เหล่าเจ้าของฟาร์มปวดใจอย่างที่สุด

ฉินสือโอวบอกว่าเขาไม่ได้ขายหญ้าปศุสัตว์ ใช้แค่หญ้าปศุสัตว์มาเป็นสนามหญ้าเพื่อให้ฟาร์มปลาสวยงามขึ้นเท่านั้น จึงใช้พวกมันมาปูบนพื้นดินของฟาร์มปลา

เมื่อเป็นแบบนี้พอลลี่จึงไม่พูดอะไรอีก เขาเข้าใจแล้วว่าฉินสือโอวเป็นเศรษฐีที่เอาแต่ใจแค่ไหน

แต่ว่าเขาก็มีความคิดใหม่ขึ้นมาอีก ถามว่า “ฉิน ผมเห็นฟาร์มปลาคุณมีพื้นที่มากมายเลย แถมยังมีหญ้าปศุสัตว์อีก ทำไมคุณถึงไม่เลี้ยงม้าสักตัวสองตัวล่ะครับ?”

ฉินสือโอวหัวเราร่าแล้วพูดว่า “พูดตามตรงนะครับ เพื่อน ผมไม่ค่อยชอบม้าเท่าไรน่ะ”

พอลลี่พูดว่า “แล้วลูกๆ ของคุณล่ะครับ? ผมเห็นฟาร์มปลามีเด็กมากมายเลย คุณต้องรู้นะครับว่า การขี่ม้าเป็นวิธีที่สามารถบ่มเพาะความกล้าหาญและบุคลิกภาพของเด็กได้นะครับ แม้จะเป็นผู้หญิงแต่ก็ต้องเก่งในเรื่องการขับเคลื่อนฝูงชนอย่างมีพลานุภาพด้วยไม่ใช่เหรอครับ?”

เมื่อได้ฟังคำนี้ สมองของฉินสือโอวก็นึกถึงภาพอันสง่างามน่าเกรงขามของวินนี่ตอนขี่ม้าเมื่ออาทิตย์ก่อนขึ้นมา เขารู้สึกว่าวินนี่เหมือนจะชอบขี่ม้ามาก แต่ในทางกลับกันตัวเขาชอบรถยนต์มากกว่า

เมื่อเป็นแบบนี้บางทีการซื้อม้าสักตัวสองตัวมาให้วินนี่เล่นก็ดูไม่เลวเลย ปกติเธอก็ไม่ค่อยมีกิจกรรมเล่นสนุกอะไรอยู่แล้ว เมื่อวานซืนที่ฉินสือโอวพาเธอไปกินมื้อกลางวันลอยฟ้า ก็เพื่ออยากจะชดเชยจุดนี้ให้กับเธอ

พอลลี่อยากจะพูดอะไรต่ออีก แต่ฉินสือโอวถามไปก่อนว่า “เพื่อน งั้นคุณยังมีม้าที่อยากจะจัดการบ้างไหมครับ?”

การที่เขาถามแบบนี้ก็เท่ากับบอกว่าตัวเองอยากจะซื้อม้าแล้ว พอลลี่จึงพูดอย่างดีใจว่า “ไม่ครับ ของผมไม่มีแล้ว แต่ผมมีเพื่อนสนิทคนหนึ่ง ที่เขามีม้าดีอยู่สองสามตัว แถมยังเป็นลูกม้าทั้งสองตัว…”

“ม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรตหรือเปล่า?” ฉินสือโอวถามตัดบทเขา

สำหรับม้าแข่งแล้ว คำว่าพันธุ์เธอร์รัพเบรตสื่อความหมายว่าเป็นชื่อของม้าที่ยิ่งใหญ่ ถูกยกให้เป็นศิลปะที่มีชีวิต ที่ได้ผ่านการฝึกฝนมากว่าสองร้อยกว่าปี ทำให้เพียบพร้อมไปทั้งโครงสร้างและเอกลักษณ์ทางร่างกายที่สมบูรณ์แบบ และมีกำลังที่แข็งแกร่ง

เอกลักษณ์อีกอย่างของม้าชนิดนี้ก็คือความแพง ม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรตที่ได้รับรางวัลเหรียญทองตัวหนึ่งจะมีราคาสูงกว่าม้าพันธุ์เดียวกันนั้นเป็นเรื่องที่ง่ายดายมาก

พอลลี่ลูบจมูกไปมา แล้วยิ้มแห้งๆ ว่า “แฮมิลตันอาจจะมีม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรตก็จริง แต่ว่าไม่ได้อยู่ที่เมืองของผมครับ ความจริงแล้วลูกม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรตสองตัวของเพื่อนผมก็ดีมากนะครับ เพียงแค่พ่อแม่ของพวกมันไม่ได้มีชื่อเสียงเท่านั้น”

ฉินสือโอวมีความรู้เกี่ยวกับม้าแข่งไม่มากนัก เออร์บักจะมีความรู้มากกว่า เมื่อได้ยินว่าเขาอยากจะซื้อม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรต ทนายสูงวัยจึงส่ายหัวแล้วพูดว่า “ฉิน ม้าพันธุ์เธอร์รัพเบรตจำเป็นต้องดูแลอย่างดี พวกมันหัวสูงมากๆ แม้แต่สนามม้าก็ยังต้องทำเป็นพิเศษด้วย ฟาร์มปลาของเราพื้นที่น้อย เพียงพอแค่ให้พวกมันเดินเล่นเท่านั้น แม้แต่วิ่งเหยาะก็ยังไม่พอเลย”

ฉินสือโอวถามพอลลี่ “ม้าสองตัวที่คุณบอกเป็นแบบไหน? เป็นม้าควอเตอร์หรือเปล่า? ราคาเท่าไรครับ?”

พอลลี่บอกว่า “ไม่ครับ ไม่ใช่ควอเตอร์ แต่เป็นม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ พ่อแม่ของพวกมันเป็นม้าตัวเต็งที่ส่งจากเท็กซัสมาที่แฮมิลตัล ร่างกายสวยงามมาก อายุของม้าทั้งสองตัวอยู่ที่ประมาณหกเดือน รวมๆ แล้วราคาอยู่ที่ประมาณสี่หมื่นเหรียญครับ”

ราคานี้ไม่ถูกเลย ฉินสือโอวมองไปที่เหมาเหว่ยหลงทีนึง ฝ่ายหลังเป็นเพื่อนกับเขามาสิบกว่าปี แค่สะบัดก้นเขาก็รู้แล้วว่าเพื่อนอยากจะตด จึงอธิบายเสียงเบาว่า “ม้าควอเตอร์ที่เมืองนี้ซื้อมา ความจริงเป็นม้าระดับรากหญ้าแบบที่ปล่อยในฟาร์มปศุสัตว์นั่นแหละ ราคาต่ำมาก แต่ม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์สองตัวนี้ไม่ใช่อย่างนั้น ราคาสูงกว่ามาก”

เมื่อได้ฟังเหมาเหว่ยหลงพูดแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวก็ไม่ได้ลังเลมาก พยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้ามีเวลาก็ให้เขาส่งมาแล้วกัน”

พอลลี่กะพริบตาปริบๆ ด้วยความอึ้ง พูดว่า “คุณไม่ไปตรวจเช็กสักหน่อยเหรอครับ? บางทีอาจจะไม่ถูกใจคุณก็ได้นะครับ?”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วพูดว่า “แค่สี่หมื่นเหรียญเองเพื่อน ของที่ราคาสี่หมื่นเหรียญ จำเป็นต้องไปตรวจเช็กด้วยเหรอ?”

หากว่าวินนี่ไม่ชอบ งั้นเขาก็แค่ให้กับพวกทหารรับจ้างไป หรือไม่ก็พวกชาวประมง ในหมู่เจ้าพวกนี้น่าจะมีคนที่ชอบม้าบ้างแหละ?

พอลลี่เองก็เป็นถึงเจ้าของฟาร์มปศุสัตว์ที่ไม่ถือว่าเล็กคนหนึ่ง แต่เศรษฐีแบบฉินสือโอวนั้นเขาก็ยังเคยเจอมาไม่มาก

ใช่ สี่หมื่นเหรียญ แต่สี่หมื่นเหรียญก็เยอะมากแล้วไม่ใช่เหรอ? ที่เขาพยายามปิดการขายขนาดนี้ก็เพื่ออยากได้ค่าคอมมิชชั่น แต่นั่นก็แค่เงินจำนวนสองสามพันเหรียญเท่านั้น…

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน