ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1311 จิ้งจอกเฒ่า

บทที่ 1311 จิ้งจอกเฒ่า

บัตเลอร์หยุดรถลงแล้วนั่งยองๆ สูบบุหรี่นอกรถ หน้าตาท่าทางอมทุกข์

เหมาเหว่ยหลงถอนหายใจ “แกดูสิ แกเล่นเอาบัตเลอร์อยู่ในสภาพไหนเนี่ย? ฉันว่าแกสมองเพี้ยนแล้วมั้ง? ไม่เอาค่าลิขสิทธิ์และค่าธรรมเนียมการใช้งาน เอาบทให้เขาฟรีๆ? พอมาแคนาดาแล้วแกกลายเป็นเหลยเฟิงหรืออย่างไร?”

ฉินสือโอวก็จนใจ “ตอนนั้นใครจะไปคิดอะไรเยอะแยะ? อาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินเพิ่งจะมีมานานแค่ไหนเชียว?”

ลุงผิวสีนั่งยองอยู่ข้างทางจนสูบบุหรี่หมดไปหนึ่งมวนก่อนจะโยนก้นบุหรี่ทิ้ง แล้วก็กลับมาที่นั่งคนขับด้วยสีหน้าดุดัน กัดฟันแล้วพูดว่า “ให้ตาย จะไปมีเรื่องดีขนาดนี้ได้ไง? ฉันตัดสินใจแล้ว ฉิน พวกเราต้องให้พวกเขาจ่ายสักหน่อย!”

ฉินสือโอวยิ้มขมขื่นแล้วพูดว่า “ที่จริง อุตสาหกรรมอาหารทะเลอย่างพวกเราไม่ต้องมีโฆษณาก็ได้มั้ง? พวกเราไม่ได้ทำธุรกิจด้วยความสามารถหรอกเหรอ?”

ลุงผิวสีทำหน้าเคร่งขรึม “ฉิน เรื่องนี้ไม่ได้ง่ายขนาดนั้น นี่มันปัญหาที่ตัวตน เข้าใจไหม? ปัญหาของตัวตน! พวกเขาแกล้งคนผิวดำกับผิวเหลืองชัดๆ รังแกคนสีผิวอื่น!”

ฉินสือโอวเกือบจะหัวเราะไปกับประโยคนั้น มุกนี้ของคนผิวดำใช้ได้ดีจริงๆ เรื่องอะไรก็เอาไปผูกกับเรื่องเหยียดสีผิวได้ ปัญหาลิขสิทธิ์เป็นเรื่องที่เขารับปากเองในตอนนั้น

บัตเลอร์ตั้งใจจะแทรกโฆษณาอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินเข้าไปในหนังให้ได้ นี่เป็นสิ่งที่เขาตั้งใจไว้ ระหว่างทางก็พึมพำตลอด แล้วยังโทรไปหาทนายสองสามคนเพื่อถามปัญหาด้านนี้ด้วย

ทนายถามฉินสือโอวว่าได้ลงนามในข้อตกลงการใช้งานลิขสิทธิ์กับนักลงทุนหรือไม่ เขาบอกว่าตอนนั้นเซ็นสัญญาไปฉบับหนึ่ง จากนั้นทนายก็บอกบัตเลอร์ว่าเปลืองแรงเปล่า ลิขสิทธิ์เป็นของคนอื่นแล้ว

ได้คำตอบนี้มา บัตเลอร์ไม่พอใจมาก ขับรถไปตะโกนไป “แกล้งกันหรือไง แกล้งกันหรือไง แกล้งกันหรือไง? สิทธิมนุษยชนล่ะ? อิสรภาพล่ะ? ประชาธิปไตยล่ะ?”

ฉินสือโอวรู้สึกว่าเขาใกล้จะบ้าแล้ว อย่างน้อยก็พูดมั่วซั่วแล้ว

กองถ่ายเหมาอพาร์ทเม้นริมทะเลไว้ตึกหนึ่ง บัตเลอร์พาคนสองคนกับนกหนึ่งตัวมุ่งหน้าไปทันที

คาเมรอนพานักแสดงหลักกับโปรดิวเซอร์นักลงทุนมารับเขา พอฉินสือโอวลงจากรถ คาเมรอนก็เข้ามากอดเขาอย่างสนิทสนม และแนะนำเขาให้เหล่านักแสดงรู้จัก

น่าเสียดายฉินสือโอวไม่คุ้นกับหนังฮอลลีวูด ในหมู่ดาราพวกนี้เขาก็รู้จักแค่ดาราที่ดังที่สุดเพียงคนเดียว นอกนั้นก็ไม่คุ้นเลย พระเอกหนุ่มหล่อเป็นคนที่เขาเคยเจอและเคยคุยด้วยนิดหน่อยชื่อเสียวหลี่จือ ลีโอนาร์โด

เสียวหลี่จือไม่ได้ดูมีออร่าความโรแมนติกอย่างสมัยวัยหนุ่ม แต่ว่าก็ยังมีความหล่ออยู่แน่นอน เขาจะรับบทฉินสือโอวในตอนนั้น กัปตันผู้เด็ดเดี่ยว

ฉินสือโอวกับเสียวหลี่จือคุยกันออกรส บัตเลอร์ก็พูดเสียงบูดๆ อยู่ข้างๆ “เฮ้ คุณผู้ชายทั้งหลาย ใช้คนขาวมารับบทของฉินไม่ค่อยเหมาะเท่าไรมั้ง? เขาเป็นกัปตันคนจีนที่ยอดเยี่ยมมาก!”

คาเมรอนพูดยิ้มๆ “หนังเรื่องนี้อ้างอิงมาจากเรื่องจริงบุคคลจริง แต่ที่มากกว่านั้นคือความเคารพ เป็นการแสดงความเคารพนับถือต่อฉินและชาวประมงทั้งหมดในตอนที่เกิดภัยพิบัติทางทะเล ฉะนั้นที่พวกเราต้องการก็คือสปิริตไม่ใช่เหรอ?”

พูดไป เขาก็ตบบ่าของบัตเลอร์ไปด้วย “ก็เหมือนคุณ คุณบัตเลอร์ คุณก็ยินดีแสดงเป็นตัวเองโดยไม่รับค่าตอบแทนหลังจากที่รู้ว่าจะถ่ายหนังเรื่องนี้ไม่ใช่เหรอ? พวกเราก็เหมือนกัน ล้วนเป็นสปิริต ความเคารพและจิตอาสา”

ได้ยินแบบนั้น ฉินสือโอวถือโอกาสที่คนไม่ได้สังเกตดึงบัตเลอร์แล้วพูดเสียงค่อย “ให้ตาย นายก็ยังมาบ่นฉันอีก นายแสดงไม่มีค่าตอบแทนได้อย่างไร?”

บัตเลอร์มองเขาด้วยสีหน้าเคียดแค้น “เรื่องนี้โทษฉันได้เหรอ? ฉันนึกว่าอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินเราจะได้เป็นตัวเอกในหนังเสียอีก! ดังนั้น ฉันเลยคิดว่าทำไมฉันไม่ถือโอกาสโผล่หน้าไปกับอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินบ้างล่ะ? และอีกอย่าง ฉันติดต่อผู้กำกับคาเมรอน เขาบอกว่าบทนี้เป็นบทเล็กไม่สำคัญ ไม่ค่อยมีเนื้อหาสาระ ค่าตอบแทนก็ไม่มาก สุดท้ายฉันก็ตัดสินใจหุนหันพลันแล่นว่าจะแสดงฟรี…”

พูดไปมือขวาเขาก็กำหมัดแล้วชกหนักๆ ไปที่ฝ่ามือซ้าย “ให้ตาย ใจร้อน ใจร้อนไปแล้ว! ถ้ารู้อย่างนี้ฉันเรียกค่าตอบแทนสูงๆ แล้ว สักล้านสองล้าน!”

ฉินสือโอวหัวเราะฮ่ะๆ ลุงผิวสีบ้าไปแล้วหรือเปล่าเนี่ย? ถ้าคาเมรอนจะยอมเสียหลายล้านเพื่อให้เขามาแสดงบทเล็กๆ นั่นต่างหากบ้าของจริง

คาเมรอนกอดนิมิตส์ในขณะที่คุยไปด้วย นกโจรสลัดใหญ่ไม่มีเวลามาสนใจเขา มันมองไปมาระหว่างท่านชายฉินกับผู้กำกับสูงวัย ในที่สุดมันก็เข้าใจว่าตรงไหนที่ไม่ชอบมาพากล ข้าถูกพวกไพร่เล่นเข้าให้แล้ว!

หลังจากนั้นกองถ่ายก็จัดที่พักให้ฉินสือโอว เหมาเหว่ยหลง ส่วนบัตเลอร์ไปหาคาเมรอนตั้งแต่เมื่อไรก็ไม่รู้ จากนั้นก็เดินกลับมาคอตก แล้วพูดอย่างหงุดหงิดว่า “ให้ตาย หมอนั่นบอกว่าเรื่องนี้เขาไม่มีสิทธิตัดสินใจ ให้ฉันไปคุยกับโปรดิวเซอร์กับพวกนักลงทุนเอง! แม่งเอ๊ย หลอกฉันอยู่ชัดๆ!”

ฉินสือโอวมีท่าทีเฉยชาต่อเงินมาก ไม่ใช่ว่าเขาแกล้งทำ แต่เป็นความมั่นใจอย่างหนึ่ง เขามั่นใจว่าถ้าเขาขาดเงิน ขอแค่ไม่กี่วันก็หาได้หลายร้อยล้านพันล้าน

ส่วนยี่ห้ออาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน ตั้งแต่ที่ก่อตั้งมาเขาก็ไม่ได้ใส่ใจ คนที่ใส่ใจจริงๆ คือบัตเลอร์

เห็นบัตเลอร์ร้อนใจขนาดนี้ เขาเห็นว่าไม่จำเป็นต้องขนาดนั้นเลยเข้าไปปลอบ

ได้ฟังคำเขา บัตเลอร์ก็พูดอย่างไม่ยอมจำนน “ฉิน ความคิดของนายอันตรายมาก! พวกเราไม่เอาของที่เป็นของเรา แต่ของของตัวเองคนอื่นก็แตะไม่ได้! ลิขสิทธิ์ก็ของนาย พวกเขาจะใช้ก็ต้องจ่าย นี่คือการค้าขายแบบยุติธรรม!”

ฉินสือโอวเกาคาง ที่บัตเลอร์พูดมาก็ถูก นี่คือของของเขา ถ้าเขาให้ออกไปฟรีๆ ก็โง่แล้วไม่ใช่เหรอ? คนอื่นไม่แน่ว่าจะซาบซึ้งเสียหน่อย

อีกอย่างเขาครุ่นคิดอีกเรื่องอยู่ ทำไมหนังต้องมาถ่ายที่ไมอามี? ทำไมไปถ่ายทำที่เกาะแฟร์เวลไม่ได้? ถ้าไปถ่ายที่เกาะแฟร์เวล ในเมืองก็จะมีรายได้อีกมากมาย พอหนังออกฉาย ยังเอามาต่อยอดอุตสาหกรรมท่องเที่ยวได้ด้วย

ข้อนี้สำคัญมาก วินนี่กำลังเครียดว่าจะพัฒนาเศรษฐกิจเมืองได้อย่างไร เขาต้องคิดหาวิธีช่วยไม่ใช่เหรอ?

ลิขสิทธิ์เกี่ยวข้องกับกฎหมาย เรื่องทางกฎหมายงั้นก็ต้องถามเออร์บัก และเขาเป็นคนร่างข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์ในตอนนั้น

ฉินสือโอวโทรศัพท์ เออร์บักฟังเขาเงียบๆ จนจบแล้วเอ่ยถาม “นายอยากได้ค่าลิขสิทธิ์หรือเปล่า?”

“ไม่ ผมอยากจะแทรกโฆษณาแบบยัดเยียดของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน” ฉินสือโอวพูดต่อ “มีทางไหม? เราเซ็นสัญญาไปแล้ว จะยุ่งยากมากใช่ไหม?”

ทนายสูงวัยพูดพร้อมรอยยิ้มบาง “ฉันมีเป็นร้อยวิธี วางใจเถอะ อย่าสนใจข้อตกลงการโอนลิขสิทธิ์ นั่นมันของที่ฉันทำ ในนั้นมีแต่ช่องโหว่ ตอนนั้นฉันกลัวว่าภายหลังจะเกิดขัดแย้งกัน”

ฉินสือโอวพูดอย่างประหลาดใจ “มีวิธีแทรกโฆษณา? มีวิธีให้พวกเขาเลือกเมืองเราเป็นสถานที่ถ่ายทำด้วยเหรอ?”

เออร์บักพูดว่า “ตอนนี้ต่อให้นายไม่อยากให้พวกเขาถ่ายทำแล้ว ฉันก็มีวิธีเอาลิขสิทธิ์กลับมา เชื่อมือทนายสูงวัยคนนี้เถอะ แม้ว่าเขาจะเกษียณมาหลายปีแล้ว”

ฉินสือโอวอุทานประหลาดใจ “ไม่น่าเชื่อจริงๆ ถ้าสัญญามีแต่ช่องโหว่ งั้นฝ่ายนักลงทุนไม่เห็นเหรอ?”

เออร์บักอธิบายว่า “ง่ายมาก ตอนนั้นพวกเขาประเมินนายต่ำไป และประเมินฉันต่ำไป ท่าทีร่วมมือที่นายแสดงออกทำให้พวกเขาลดกำแพงลง และสัญญาที่ฉันทำ ที่จริงมันเป็นโมฆะ!”

“หมายความว่าไง?”

“บทบัญญัติทางกฎหมายทั้งหมดในสัญญาล้วนแล้วแต่ยึดกฎหมายอเมริกาเป็นพื้นฐาน แต่นายเป็นคนแคนาดา กฎหมายของพวกเขาใช้กับนายไม่ได้!”

………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท