ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1316 พระราชวังคริสทัลจำลอง

บทที่ 1316 พระราชวังคริสทัลจำลอง

บิลลี่อธิบายเรื่องร่างอนุสัญญาระหว่างประเทศว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำของยูเนสโกที่กำลังถูกผลักดันอยู่ในตอนนี้ให้ฟังคร่าวๆ ด้วยรอยยิ้มจืดเจื่อน นี่เป็นกฎหมายระหว่างประเทศที่อเมริกาพยายามเสนอให้นำมาปฏิบัติใช้อย่างจริงจัง โดยจะถือว่าผู้ที่ทำการกู้วัตถุจะไม่มีกรรมสิทธิ์ในวัตถุใดๆ ก็ตามที่ถูกขุดค้นขึ้นมา

ร่างอนุสัญญาฉบับนี้เสนอให้ยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการค้นพบและกฎหมายการช่วยเหลือที่ใช้กับซากเรืออับปางที่อยู่ในขอบเขตด้านประวัติศาสตร์ ซากเรืออับปางที่เกี่ยวข้องกับประวัติศาสตร์จะต้องถูกจัดการและได้รับการคุ้มครองเหมือนกันทั้งหมด

นอกจากนี้ เพื่อให้แน่ใจได้ว่าจะสามารถยับยั้งการกู้วัตถุใต้น้ำทางพาณิชย์ทุกประเภทได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่าจะเป็นการกู้ซากเรืออับปางในเขตน่านน้ำสากล แต่ทุกประเทศที่ร่วมลงนามก็จะไม่สามารถอนุญาตให้เรือที่ทำการกู้ซากเรืออับปางที่เป็นโบราณวัตถุเข้าเทียบท่าได้

ร่างอนุสัญญายังกำหนดไว้อีกว่า ต้องได้รับการอนุญาตจากในประเทศเท่านั้น ถึงจะสามารถดำเนินการกู้วัตถุใต้น้ำขึ้นมาได้ อีกทั้งประเทศที่มีความเกี่ยวข้องจะต้องยึดวัตถุโบราณทั้งหมดที่ไม่เป็นไปตามข้อกำหนดของร่างอนุสัญญา และจะมีบทลงโทษทางกฎหมายอย่างเข้มงวด และมีการปรับเงินกับประเทศที่นำเข้าโบราณวัตถุที่ถูกกู้ขึ้นมาอย่างผิดกฎหมาย

สำหรับบริษัทกู้วัตถุใต้น้ำนี่ถือเป็นเรื่องร้ายแรงมาก หากกฎข้อบังคับเหล่านี้ถูกนำมาปฏิบัติใช้ เช่นนั้นแล้วบริษัทกู้วัตถุใต้น้ำกว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ในตอนนี้ล้วนแต่ต้องปิดตัวลงทั้งสิ้น

พอได้ฟังบิลลี่อธิบายแล้ว เบลคกับแบรนดอนก็รู้สึกหนาวไปถึงกระดูกสันหลัง “มีเรื่องที่เฮงซวยขนาดนี้ด้วยเหรอ? พวกคนอเมริกาอย่างพวกนายคิดจะทำบ้าอะไรกัน?”

ฉินสือโอวกลับมีท่าทีที่นิ่งสงบ เป็นแบบนี้แล้วมันทำไม? ที่ประเทศของพวกเรา นโยบายที่นำมาปฏิบัติก็เป็นแบบนี้ทั้งนั้นแหละโอเคไหม

เขาไม่สนใจกฎหมายระหว่างประเทศพวกนี้หรอก ถึงอย่างไรสำหรับเขาแล้วกฎหมายข้อนี้ถือเป็นข้อดีเสียอีก สมบัติที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรส่วนใหญ่เป็นโบราณวัตถุไม่ใช่แร่จำนวนมหาศาลแบบนี้ ดังนั้นบริษัทกู้วัตถุใต้นำจึงเป็นคู่แข่งของเขาทั้งนั้น เมื่อไม่มีคู่แข่งเหลืออยู่แล้ว สมบัติใต้ทะเลก็จะเป็นของเขาแค่คนเดียวแล้วไม่ใช่เหรอ?

ส่วนจะอธิบายเรื่องสมบัติพวกนี้อย่างไรนั้น ฉินสือโอวก็แค่บอกว่าเป็นมรดกตกทอดจากปู่สอง เหมือนกับตอนที่จัดการสมบัติจากใต้ทะเลสาบเฉินเป่าก็พอแล้ว แคนาดาคุ้มครองทรัพย์สินส่วนบุคคลจากการล่วงละเมิด

เพียงแต่ว่าตอนนี้เขาจะแสดงออกว่าเขาสนับสนุนข้อกฎหมายใหม่ไม่ได้ เขาจึงแสดงท่าทีไม่พอใจเพราะความโมโหออกมา “ฟัค คนอเมริกานี่แม่งชอบเจ๋อเรื่องของชาวบ้านไปทั่วจริงๆ เลย อย่าเข้าใจผิดนะ บิลลี่ ฉันไม่ได้ว่านาย ฉันหมายถึง…”

“ตอนนี้จะยังพูดอะไรอีก? ชิท หวังจริงๆ เลยว่าพวกวอร์ชิงตันมันจะฉิบหายกันให้หมด!” บิลลี่ก็อดด่าไม่ได้เหมือนกัน “ไอ้ลูกหมาพวกนี้เอาเงินภาษีที่พวกเราจ่ายไปกินไปดื่มไปเลี้ยงเมียน้อย สุดท้ายแม้แต่น้ำซุปก็ไม่เหลือไว้ให้พวกเรากินแม้แต่หยดเดียว!”

ถ้ากฎหมายระหว่างประเทศอันใหม่ถูกนำมาบังคับใช้ บริษัทกู้วัตถุใต้น้ำโอดิสซีย์ที่เป็นตัวแทนครอบครัวของพวกเขาก็ต้องปิดตัวลง และต่อให้ไม่ถูกปิด แต่ถ้าอยากจะหาเงินก็คงทำได้ยากแล้ว

ด่าอยู่สักพัก แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นประเด็นนี้อยู่ดี จะทำอย่างไรกับทองคำสิบตันพวกนี้?

“ได้เงินน้อยหน่อยก็ไม่เป็นไรหรอก…” ฉินสือโอวส่ายหัวพูดอย่างจนปัญญา “คราวนี้จัดการพวกมันที่แคนาดานี่แหละ”

เบลคส่ายหัวอย่างคนที่มั่นคงในจุดยืน เขากัดฟันแล้วพูดว่า “พวกเราต้องมีจิตใจที่กล้าได้กล้าเสีย เพื่อน เราต้องมีจิตใจที่กล้าได้กล้าเสีย! ช่างหัวกฎหมายระหว่างประเทศ ทุบไปทุบมา รถจักรยานก็กลายเป็นมอเตอร์ไซค์ได้! กู้ขึ้นมาจากอเมริกา แล้วก็ใช้วิธีเดิม ไปเลี่ยงภาษีที่มาเก๊า!”

ปรึกษากันอยู่ครู่หนึ่ง ทั้งสองฝ่ายต่างก็ไม่มีไอเดียที่ดีกว่านี้แล้ว สุดท้ายจึงตัดสินใจลองสู้ดูสักตั้ง ตัดสินใจว่าจะไปจัดการแร่ทองคำที่อเมริกาเหมือนเดิม

หลังจากนั้นเทรซี่ก็กลับมา แล้วเอ่ยชมว่าฟาร์มปลาของฉินสือโอวมีวิวทิวทัศน์ที่สวยงามมาก

ฉินสือโอวบอกว่าตอนนี้ยังไม่ดีเท่าไรนัก ที่ฟาร์มปลากำลังเตรียมตัวสร้างสวนดอกไม้ เลยทำให้ไม่เป็นระเบียบเท่าไร อีกทั้งยังไม่ได้สร้างบ่อน้ำร้อน ถ้าสร้างเสร็จเรียบร้อยแล้วเขาจะเชิญทุกๆ คนให้มาเที่ยวพักผ่อนที่นี่

ตกดึกนอนอยู่บนเตียงคนเดียว ฉินสือโอวเปิดหน้าต่างที่อยู่บนหัวนอนออก มองดูแสงดาวเปล่งประกายระยิบระยับท่ามกลางความมืดมิดในยามค่ำคืนอย่างใจลอย ขณะเดียวกันก็พาจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่สายดำดิ่งลงไปในน้ำ

เป็นเวลานานมากแล้ว ที่เขาไม่ได้ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนเพื่อตรวจดูฟาร์มปลา แต่ใช้มันเพื่อขนกระจกนิรภัยใต้น้ำไปที่บริเวณใกล้ๆ กันกับแนวปะการัง เพื่อสร้างวังใต้น้ำที่มีเอกลักษณ์เป็นหนึ่งไม่เป็นสองรองใคร

แน่นอนว่า จิตสำนึกแห่งโพไซดอนไม่ใช่ช่าง มันทำงานที่ต้องใช้ความประณีตละเอียดอ่อนไม่ได้ เขาทำได้แค่ขนกระจกนิรภัยใต้น้ำพวกนี้ไปจัดวางไว้ให้มีรูปทรงเหมือนบ้านก็เท่านั้น

เขาประมาณการไว้ว่าจะสร้างมันขึ้นมาก่อนหน้าที่งานแต่งงานของเขากับวินนี่จะมาถึง แล้วหลังจากนั้นค่อยพาเธอดำน้ำลงไปดู

กระจกใต้น้ำแต่ละชิ้นถูกส่งเข้ามาด้วยความเหน็ดเหนื่อยและลำบากยากเย็น ฉินสือโอวมองดูมันอยู่สักพัก หลังจากนั้นก็ใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสามสายส่งกระจกเข้ามาเพิ่มตามส่วนที่ยังขาดต่อไป และให้อีกหนึ่งสายที่เหลือไปหาคราเคน ให้มันออกเดินทางไปยังทิศใต้ เพื่อไปเป็นกำลังหนุนให้กับเรือที่ขนส่งแร่ทองคำ

เรือที่บิลลี่ใช้ในการขนส่งแร่ทองคำล็อตนี้เป็นเรือสำหรับกู้วัตถุใต้น้ำลำหนึ่งจากตระกูลของเขา ระหว่างทางต้องระวังเรื่องการรักษาความลับเป็นอย่างมาก คนที่อยู่บนเรือไม่ได้รับอนุญาตให้ใช้โทรศัพท์ นอกจากกัปตันเรือและต้นหนเรือแล้ว คนอื่นๆ ที่เหลือจะจับโทรศัพท์ผ่านดาวเทียมไม่ได้ เป็นการรักษาความลับในการทำงานขั้นสูงสุด

หลังจากฉินสือโอวออกคำสั่งกับคราเคนไปแล้ว เขาก็เคลื่อนย้ายจิตสำนึกแห่งโพไซดอนไปไว้ในงูเหลือมทะเลตัวหนึ่ง งูเหลือมทะเลยักษ์จำนวนสิบตัวกำลังว่ายน้ำอยู่ที่ใต้ท้องเรืออย่างรวดเร็ว คุ้มกันเรือกู้งมวัตถุอยู่อย่างลับๆ

ตรวจการณ์ผ่านงูเหลือมทะเลอยู่สักพัก การเดินเรือไม่ได้มีปัญหาอะไร จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสี่สายกวาดดูลาดเลาในบริเวณรอบๆ ด้วยความรวดเร็ว เมื่อเห็นว่าไม่มีเรือลำอื่นไล่ตามมา เขาจึงดึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมา และสร้างวังคริสทัลของเขาต่อไป

แบ่งประเภทตามรูปทรงอย่างคร่าวๆ อันดับแรก เขาสร้างผนังทั้งสี่ด้านไว้บนพื้นที่ราบรอบแนวปะการัง แน่นอนว่าในตอนสุดท้ายเมื่อสร้างเสร็จแล้วก็จะมีผนังเพียงสี่ด้านเท่านั้น ถึงอย่างไรก็คงไม่สามารถตั้งขื่อคานอันใหญ่เพื่อทำหลังคาได้หรอกใช่ไหมล่ะ?

หลังคามีไว้สำหรับบังแดดบังฝน แต่ในสภาพแวดล้อมใต้ทะเลแบบนี้ มันจำเป็นจะต้องบังแดดบังฝนด้วยเหรอ?

ยุ่งอยู่กับงานมาตลอดสองคืน วินนี่พานิมิตส์กับบรรดาเพื่อนร่วมงานของเธอกลับมาถึงเกาะแล้ว ฉินสือโอวที่ตั้งใจจะไปรับเธอ ก็ถามเธอว่า “เรียบร้อยแล้วใช่ไหมครับ?”

วินนี่ทำท่าทางมือบอกเขาว่า ‘โอเค’ แล้วพูดว่า “ใช่ค่ะ พวกเขาแค่อยากถ่ายทำฉากมรสุมที่ไมอามี่เท่านั้น ส่วนเรื่องราวของฟาร์มปลาจะถูกถ่ายทำในเมือง แล้วก็จะเปิดเส้นทางการท่องเที่ยวสายใหม่เพิ่มอีกหนึ่งสาย ใช่ไหมคะ?”

“นี่เป็นความดีความชอบของผม คุณต้องตอบแทนผมด้วยนะครับ” ฉินสือโอวพูดไปยิ้มไป เขาเข้าไปรับนิมิตส์ เจ้าตัวหลังถลึงตาใส่เขาด้วยความไม่พอใจ มันกระพือปีกบินขึ้นสูง ไปรวมตัวกับบุชและแคลร์ที่เขาพามาด้วยกันหลังจากนั้นก็พากันบินหนีไป

วินนี่พูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ฮ่า คราวนี้คุณทำให้ลูกไม่พอใจจริงๆ แล้วล่ะ คุณพามันไปไมอามี่ แต่ตัวเองดันหนีมาก่อน”

ฉินสือโอวกล่าวว่า “แต่ผมก็ยังให้คุณอยู่เป็นเพื่อนมันไม่ใช่เหรอครับ?”

กลับมาถึงฟาร์มปลาแล้ว พอฉินสือโอวลงรถ เขาก็มองเห็นหู่จือกับเป้าจือที่กำลังนั่งอยู่ในพงหญ้ากำลังมองดูอะไรสักอย่างด้วยความสนอกสนใจเป็นอย่างยิ่ง ขนาดเขากับวินนี่กลับมาบ้านก็ยังไม่ได้รับความสนใจจากพวกมันเลย

ฉินสือโอวเดินตามไปแนวสายตาของสัตว์เลี้ยงทั้งสองตัว เงาร่างสีเทาของพี่น้องเฟอเรทปรากฏตัวอย่างเลือนรางอยู่ในพงหญ้าสีเขียวสด พวกมันทั้งสองตัวย่ำเท้าหาของอยู่ในพงหญ้าไปทางซ้ายทางขวาด้วยท่วงท่าอ่อนช้อย ไม่รู้ว่ากำลังหาอะไรอยู่

หาอยู่สักพัก อยู่ๆ เฟอเรทผู้พี่ที่มีร่างกายแข็งแรงกว่าก็สะบัดหัวด้วยความกระปรี้กระเปร่า อีกเดี๋ยวต่อมามันก็กระโดดขึ้นไปในอากาศ แล้วมุดหัวเข้าไปในโพรงใต้พงหญ้า

ต่อจากนั้น เสียงร้องแหลมก็ดังขึ้นมาจากในโพรงทันที พอฉินสือโอวได้ยินก็คิดว่า นี่ใช่เสียงของกระรอกดินหรือเปล่านะ?

เขารีบเดินเข้าไปดู ก็เห็นเฟอเรทผู้พี่กำลังลากลูกกระรอกดินตัวหนึ่งออกมาข้างนอก หางเล็กๆ กระดกขึ้นอย่างแรง พร้อมออกแรงกดอุ้งเท้าเล็กไว้บนพื้น ลูกกระรอกดินตัวนั้นทั้งดิ้นทั้งร้อง แต่ก็ยังถูกมันลากออกมาอยู่ดี

ฉินสือโอวรีบจับเฟอเรทผู้พี่ขึ้นมา ในที่สุดลูกกระรอกดินก็หนีรอดจากอุ้งมือมารได้แล้ว มันรีบไปหลบอยู่ที่ด้านหลังเท้าของเขา แล้วเงยหน้าขึ้นไปมองเขาด้วยความรู้สึกน้อยใจเพราะไม่ได้รับความเป็นธรรม ดวงตาสีดำกลมโตคลอไปด้วยหยดน้ำตา

…………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท