ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1314 เจตนาของภรรยา

บทที่ 1314 เจตนาของภรรยา

ฉินสือโอวก็ห่วงเรื่องนี้เช่นกัน ขนแร่ทองคำทั้งลำแบบนี้ออกจะน่ากลัวไปหน่อย แค่อธิบายว่างมขึ้นมาจากแถบทะเลสาธารณะคงไม่ได้

เมื่อก่อนพวกเขาจะปล่อยข่าวเรื่องสมบัติเรืออับปางในแถบทะเลสาธารณะใกล้ๆ กับทะเลอาณาเขตของอเมริกา ครั้งนี้ถ้าทำแบบนั้นแล้วพวกเอฟบีไอ เอ็นเอสเอ ซีไอเอได้ข่าวแล้วชิงลงมือก่อน จัดการย้ายแร่ไปไว้ภายในเขตทะเลอาณาเขต จากนั้นก็ทำเรื่องโดยมีหลักฐานพร้อม

อย่างไรเสียนี่ก็เป็นประเทศที่มีกำลังทัพเรือที่แกร่งที่สุดในโลก และยังเป็นรัฐบาลอันธพาลอันเลื่องชื่อ ผลงานศิลปะมูลค่าหลายสิบล้านจากเรืออับปางอาจจะไม่คุ้มค่าที่พวกเขาจะคิดวางแผนเล่ห์กล แต่แร่ทองคำมูลค่าสี่ถึงห้าพันล้านดอลลาร์นั้นเพียงพอแน่นอน

งานศิลปะต่อให้แพงกว่านี้ก็เป็นแค่ของสะสม ทองน่ะเป็นสกุลเงินแข็งเลยนะ!

ในด้านนี้กลับกลายเป็นรัฐบาลแคนาดาที่ไม่เคี่ยวแบบนั้น เพียงแต่แคนาดามีฉายาว่าประเทศแห่งภาษี อัตราภาษีสูงมาก ถ้าแร่ทองคำนี้หลอมและจำหน่ายภายในแคนาดา พวกเขาต้องจ่ายภาษีสูงกว่าที่อเมริกาครึ่งหนึ่ง

แต่ภายใต้สถานการณ์นี้ จ่ายภาษีไม่เป็นไร สิ่งที่สำคัญที่สุดคือการได้ทองพวกนี้มาต่างหาก

“แอตแลนติกเหนือไม่ค่อยมีเรือขนส่งสมบัติ เราจะอธิบายที่มาที่ไปของแร่ทองพวกนี้อย่างไร?” ฉินสือโอวใช้นิ้วเคาะโต๊ะ “นี่เป็นปัญหาใหญ่ไม่ใช่เหรอ?”

บิลลี่พูดยิ้มๆ “วางใจเถอะ เรื่องนี้ฉันจัดการเอง เรืออับปางในแอตแลนติกเหนือก็มีไม่น้อย ฉันจะหาข่าวลือที่น่าเชื่อถือแล้วเอาแร่ทองคำพวกนี้ไปผูกเข้าด้วยกันก็โอเคแล้ว”

ฉินสือโอวคิดๆ ดูแล้วพูดขึ้น “พวกเรากลับเซนต์จอห์น เรียกเบลคกับแบรนดอนมาประชุม ถึงเวลาที่ต้องหารือเรื่องนี้กันหน่อยแล้ว”

บิลลี่พยักหน้า จากนั้นก็ทำหน้าชื่นตาบานต่อไป “เพื่อน คืนนี้กะจะสนุกอย่างไร?”

ฉินสือโอวชูเครื่องดื่มขึ้นพลางพูดว่า “ดูหนังสักเรื่องเป็นไง?”

บิลลี่แบมือออกไปข้างตัวแล้วร้องออกมา “อย่าทำงั้นสิ เพื่อน นี่มันไมอามี สวรรค์ของผู้ชาย! เอาน่า นายไม่ต้องสนใจมันแล้ว นี่มันถิ่นฉัน ทุกอย่างฉันจะจัดการเอง นายเตรียมรับความสุขเถอะ!”

สนุกที่บิลลี่หมายถึงก็คือไปเที่ยวผับ ฉินสือโอวกับเหมาเหว่ยหลงไม่ได้สนใจเรื่องแบบนี้ แต่ไปเที่ยวหน่อยก็ได้

ดังนั้นเป็นเวลาสองวันติดที่พอตกกลางคืนบิลลี่ก็พาพวกเขาไปดิ้นในผับ ฉินสือโอวยังพอว่า พอวันที่สามไม่ว่าอย่างไรเหมาเหว่ยหลงก็ไปไม่ได้แล้ว บิดเอวจนเจ็บ!

หลังจากนั้นฉินสือโอวก็ไปไม่ได้แล้ว เพราะว่าวินนี่นั่งเครื่องมาที่ไมอามี

วินนี่มาครั้งนี้ไม่ได้มาคนเดียว เธอยังพาฮานี่ย์และเจ้าหน้าที่รัฐคนอื่นๆ มาเพื่อประชุมกับคาเมรอน บริษัทหนัง และนักลงทุน ทั้งสามฝ่ายนี้เพื่อหารือเรื่องที่จะเปลี่ยนสถานที่ถ่ายทำบางส่วนไปที่เกาะแฟร์เวล

แบบนี้ฉินสือโอวก็ถือว่าได้รับการปลดปล่อย พอวินนี่มา เขาก็กลับบ้านได้แล้ว ส่วนนิมิตส์ให้เธอดูแลก็ได้

นกโจรสลัดใหญ่เห็นวินนี่ดีใจกว่าเห็นฉินสือโอวเสียอีก รีบกระพือปีกบินไปตรงหน้าเธอ วนรอบๆ ตัวเธอเหมือนลูกหมาตัวหนึ่ง แล้วเอาหัวคลอเคลียขาเธอยกใหญ่

วินนี่กอดนิมิตส์ขึ้นมา จากนั้นก็มองฉินสือโอวด้วยสายตาแปลกๆ แต่ไม่ได้พูดอะไร ตรงไปรวมตัวกับคาเมรอนและคนอื่นๆ ที่มารับและคุยกันเล็กน้อย

แต่ว่าพอทั้งสองคนอยู่กันสองต่อสอง จู่ๆ เธอก็ดึงฉินสือโอวแล้วถามว่า “ที่รักคะ คุณเจอเรื่องกลุ้มอะไรหรือเปล่า?”

ฉินสือโอวพูดด้วยความประหลาดใจ “เปล่า ไม่มีอะไรนี่”

วินนี่ส่ายหน้าอย่างแน่วแน่แล้วพูดว่า “ท่าทางคุณแปลกๆ นี่ไม่ใช่คุณ คุณต้องมีเรื่องกลุ้มอะไรแน่ๆ เกี่ยวกับเรื่องหนังหรือเปล่า?”

สัญชาตญาณและเซนส์ของผู้หญิงนี่เยี่ยมจริงๆ ฉินสือโอวอุทาน เขาพูดว่า “ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับหนัง ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไร เพียงแต่ผมต้องกลับไป จัดการกับเรื่องนี้สักหน่อย”

ได้ยินฉินสือโอวบอกว่าจะกลับไปวินนี่ก็ขมวดคิ้วไม่พอใจและพูดว่า “คุณยุ่งขนาดนั้นเลยเหรอคะ? ฉันกะว่าอยากจะมาใช้เวลากับคุณที่นี่ ปรากฏว่าพอฉันมาถึงคุณก็จะไป”

ฉินสือโอวจูบเธอก่อนจะพูดว่า “ที่รัก ผมจำเป็นต้องกลับ มีเรื่องสำคัญรอผมอยู่ ถ้าเรื่องนี้จัดการเรียบร้อย คุณก็จะได้เป็นภรรยาของเศรษฐีที่รวยที่สุดในเซนต์จอห์นแล้ว”

วินนี่ดึงแขนเขาไว้ก่อนจะจ้องลึกเข้าไปในตาของเขาและเอ่ยขึ้น “พวกคุณเจอสมบัติเรืออับปางอะไรอีกใช่ไหม? ฟังฉันนะคะฉิน ฉันไม่ได้อยากเป็นภรรยาของเศรษฐีที่รวยที่สุด ฉันแค่อยากให้เราอยู่ด้วยกันก็เท่านั้น พวกเรามีเงินมากพอแล้ว ไม่ใช่เหรอ?”

ฉินสือโอวตบหลังเธอแล้วพูดปลอบใจ “อย่าคิดมากเลย ไม่มีอะไร เราได้อยู่ด้วยกันแน่ๆ”

พอบอกลาวินนี่เสร็จ ฉินสือโอวก็รีบกลับเซนต์จอห์นพร้อมบิลลี่และเหมาเหว่ยหลง

แบบนี้เหมาเหว่ยหลงก็ไม่มีความจำเป็นที่จะอยู่ต่อ เขาเปลี่ยนเครื่องที่สนามบินเซนต์จอห์นแล้วตรงกลับแฮมิลตันไปดูแลฟาร์มของเขาต่อ

ก่อนที่จะกลับมา ฉินสือโอวโทรหาเบลคกับแบรนดอน ฉะนั้นตอนที่พวกเขากลับมาที่ฟาร์มก็เห็นทั้งสองคนอยู่ที่นั่นแล้ว

ข้างๆ ทั้งสองคนยังมีสาวสวยคนหนึ่งอยู่ด้วย พอเห็นฉินสือโอวแบรนดอนก็ชี้ไปที่เธอแล้วพูดยิ้มๆ “ยังจำเธอได้ไหม?”

ฉินสือโอวจำได้อยู่แล้ว ผู้หญิงคนนี้เป็นแอร์โฮสเตสเหมือนกับวินนี่ ก่อนหน้านี้ที่ไปร่วมประชุมประจำปีด่วนก็คือแอร์โฮสเตสคนนี้ที่บริการพวกเขา

นอกจากนี้เขาก็ติดตามวีแชทของแบรนดอน พอกลับมาจากเกรตแบร์ริเออร์รีฟ ครึ่งปีให้หลังมานี้มักจะเห็นแบรนดอนลงรูปคู่ของทั้งสองคนบ่อยๆ ดูท่าคราวนี้แบรนดอนจะจริงจังเสียแล้ว

แน่นอนว่าอายุเขาก็ไม่น้อยแล้ว ฉินสือโอวนึกว่าเขาจะเป็นพวกครองตัวเป็นโสดเสียอีก

หญิงสาวยื่นมือออกมา และยิ้มกว้างก่อนพูดขึ้น “เทรซี่ สต็อกตัน สวัสดีค่ะคุณฉิน ยินดีที่ได้พบคุณอีกนะคะ”

“สวัสดีครับเทรซี่” ฉินสือโอวพูด “ยินดีต้อนรับสู่ฟาร์มปลาของผม ถ้าชอบล่ะก็ ผมให้คนพาไปเที่ยวได้นะครับ”

เทรซี่พูดพร้อมรอยยิ้มดีใจ “แบบนั้นก็ดีเลยค่ะ”

หลังจากกลับไปที่วิลล่า ฉินสือโอวก็โบกมือเรียกเชอร์ลี่ย์ ให้เธอพาเทรซี่ออกไปเดินเล่น

เทรซี่เดินออกไป ไม่ได้พูดอะไรมาก รอจนเธอไปแล้วฉินสือโอวก็พูดกับแบรนดอนว่า “ต่อไปชีวิตนายคงลำบากแน่”

แบรนดอนยิ้มแล้วเอ่ยขึ้น “ไม่สิ ควรบอกว่าดีขึ้นกว่าเดิม เธอก็เหมือนกับวินนี่”

บิลลี่มองทั้งสองด้วยความงุนงงแล้วพูดว่า “พวกนายคุยเรื่องอะไรกัน? ทำไมฉันไม่รู้เรื่อง?”

เบลคพูดยิ้มๆ อย่างจนใจ “ไอ้งั่งอย่างแกก็ยากจะเข้าใจคำพูดซับซ้อนพวกนี้ ดูไม่ออกเหรอ? เทรซี่เป็นผู้หญิงฉลาด เธอรู้ว่าพวกเรามีเรื่องจะคุยกัน ฉะนั้นพอฉินเชิญเธอไปเที่ยวชมฟาร์มปลาเธอไม่ได้พูดอะไรแล้วก็ไปเลย”

บิลลี่เกาจมูกก่อนจะพูดแบบเพิ่งเข้าใจ “มิน่าล่ะ ฉินถึงพูดว่าแบรนดอนจะให้ชีวิตลำบาก มีแฟนเป็นผู้หญิงฉลาดชีวิตก็ลำบากจริง”

ฉินสือโอวเปิดโทรศัพท์และเชิญให้พวกเขานั่งลง “โอเค ไม่คุยเรื่องพวกนี้แล้ว มาพูดเรื่องจริงจังกันดีกว่า ทองพวกนี้จะจัดการอย่างไร? ฉันกับบิลลี่เสนอให้ขนไปทางแอตแลนติกเหนือแล้วค่อยเข้าแคนาดา”

เบลคครุ่นคิดอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดว่า “ขนมาแคนาดาเลยก็ไม่เลวนะ ตระกูลฉันมีคอนเนคชั่นเยอะกว่าที่นี่ แต่เอาจริงๆ ทองสิบตันออกจะเยอะไปหน่อย”

…………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท