พอได้รับสายโทรศัพท์จากพอลลี่ ฉินสือโอวก็พาชาร์ค บูลและคนอื่นๆ อีกสองสามคนไปที่ท่าเรือนครเซนต์จอห์น พอลลี่และชายไว้หนวดเคราอีกคนหนึ่ง กับคนขาวไว้ผมเปียกำลังถกเถียงอะไรบางอย่างกับตาเฒ่าคนหนึ่ง ข้างๆ คือลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์สองตัวที่ได้รับการดูแลอย่างสะอาดสะอ้านกับลูกวัวและลูกแพะอีกหนึ่งฝูง
“เฮ้ เพื่อน เป็นไงบ้าง?” ฉินสือโอวกระโดดขึ้นไปบนท่าเรือแล้วทักทายเขา
เนื่องจากเรื่องที่เชื่อมโยงกันหลายๆ อย่าง ฉินสือโอวจึงกลายเป็นคนดังในท้องถิ่นไปแล้ว ชาวประมงที่อยู่บนท่าเรือต่างก็รู้จักเขาทั้งนั้น พอเห็นเขามาจึงพากันทักทายหยอกล้อกันเล่นกับเขา
ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ฉิน ได้ยินมาว่าที่ฟาร์มปลาของนายเจอปีศาจทะเลคราเคน นายไม่กลัวบ้างเลยเหรอ?”
ซีมอนสเตอร์จึงยื่นหัวออกไปถามเขาว่า “มีใครเรียกฉันหรือเปล่า?”
ชาวประมงที่อยู่รอบๆ ก็พากันหัวเราะออกมา คนที่เอ่ยปากพูดเมื่อก่อนหน้านี้ พูดขึ้นมาอีกว่า “หดหัวกลับไปซะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับนายหรอกเพื่อน! พวกเราพูดถึงซีมอนสเตอร์ ปีศาจทะเลของจริง ปีศาจที่สามารถลากเรือทั้งลำไปที่เขตทะเลลึกได้ คราเคนแห่งทะเลเหนือ!”
ฉินสือโอวชนหมัดกับเขา นี่คือธรรมเนียมของกะลาสีเรือ ซึ่งคล้ายคลึงกับการทักทายตอนพบหน้ากันของคนผิวดำ เขาพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของพวกนักข่าวเลย นี่มันศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้วนะ พวกเราต้องเชื่อในวิทยาศาสตร์สิ จะไปมีปีศาจยักษ์ทะเลเหนือได้ยังไงกันล่ะ? นั่นมันเป็นนิทานหลอกเด็กชัดๆ”
ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนั้นแพร่กระจายอยู่ในท่าเรือนิวฟันด์แลนด์และรัฐโนวาสโกเชียไม่ขาดสาย เรื่องที่ีเล่าต่อกันย่อมต้องเป็นตอนที่เขาใช้คราเคนเพื่อให้เรือขโมยปลาพวกนั้นกลัวจนหนีออกไป ตอนวันที่มีหมอกตกหนักวันนั้นอย่างแน่นอน
“ไม่ๆๆ” ชาวประมงคนนั้นส่ายหัวอย่างแรง “ไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ มีตั้งคนหลายคนที่ได้เห็นร่องรอยของคราเคนแห่งทะเลเหนือ! ชิท ไม่รู้ว่าที่ปีนี้จับปลาได้น้อยลง เป็นเพราะมันด้วยหรือเปล่า”
ฉินสือโอวหัวเราะแล้วตอบเขาว่า “ถ้ามีคราเคนแห่งทะเลเหนือ ก็ต้องมีโพไซดอนกับทูตสวรรค์ด้วยสิ พวกนายเคยเห็นมาก่อนไหมล่ะ? หรือบอกได้ไหมว่าเคยมีใครเห็นมาก่อนหรือเปล่า?”
พอคุยเล่นกับพวกชาวประมงเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็เดินไปหยุดอยู่ข้างๆ พอลลี่แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”
ไม่ต้องรอให้พอลลี่เอ่ยปาก ตาเฒ่าที่เถียงกันกับเขาก็ชิงพูดขึ้นก่อนเลยว่า “ฉิน พวกนายรู้จักกันด้วยเหรอ? นายมาก็ดีแล้ว เพื่อนของนายคนนี้ไม่เคารพกฎของท่าเรือเรา ดูเขาสิ เอาตัวอะไรมาด้วยก็ไม่รู้ วัวกับแพะแล้วก็ม้าเนี่ยนะ? เขาคิดว่าที่นี่คือตลาดค้าปศุสัตว์หรือยังไง?”
พอลลี่ก็ตวาดออกมาว่า “เฮ้ ไม่ต้องพูดให้มันฟังดูแย่ขนาดนี้หรอก โอเคไหม? สัตว์พวกนี้ของผมอึฉี่ใส่ท่าเรือจริงๆ อันนี้ผมยอมรับ! แต่ผมก็รับปากแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าผมจะทำความสะอาดให้น่ะ เท่านี้ยังไม่พออีกเหรอ?”
ตาเฒ่าคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “ก็ต้องไม่พออยู่แล้ว ตามกฎนายต้องจ่ายค่าปรับด้วย สองร้อยดอลลาร์ อยากได้ใบเสร็จด้วยไหมล่ะ?”
เมื่อได้ยินแบบนี้พอลลี่ก็เดือดดาลขึ้นมาทันที เขาพูดด้วยความโมโหว่า “ไม่มีกฎแบบนี้หรอก เพื่อน มันไม่มีกฎแบบนี้หรอกนะ! คุณเป็นพวกชอบกลั่นแกล้งคนต่างถิ่นใช่ไหมล่ะ?”
ฉินสือโอวตบไหล่ตาเฒ่าคนนั้นแล้วพาเขาเดินขึ้นมาข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าว หลังจากนั้นก็พูดกับเขาเสียงเบาว่า “เอาล่ะ ผู้เฒ่าสมิธ เพื่อนของผมเขาเป็นคนแผ่นดินใหญ่ เขาไม่เข้าใจกฎของคนบนท่าเรืออย่างพวกเราหรอก เรื่องค่าปรับเดี๋ยวผมจะจัดการเอง แต่ช่วยลดราคาให้ผมหน่อย เหลือหนึ่งร้อยดอลลาร์ได้ไหม?”
ชายชราถอนหายใจออกมาแล้วพูดกับเขาว่า “ก็ได้ เห็นแก่หน้าของนายหรอกนะ ฉิน ฉันเห็นแก่นายหรอกนะ ถ้าอย่างนั้นปรับแค่หนึ่งร้อยดอลลาร์ก็พอ ฟัค ฉันเกลียดการทำความสะอาดอึพวกนี้ที่สุดเลย”
ฉินสือโอวตบไหล่ของเขาเบาๆ พร้อมกับส่งสายตาให้ชาร์ค แล้วหลังจากนั้นจึงพาพอลลี่เดินไปด้านหลัง
พอลลี่ถามเขาอย่างไม่ยอมแพ้ “คงไม่ต้องจ่ายค่าปรับจริงๆ หรอกนะ?”
ฉินสือโอวตอบเขาว่า “ท่าเรือมีกฎของท่าเรืออยู่ แต่แน่นอนว่าค่าปรับ 200 ดอลลาร์นั่นน่ะกลั่นแกล้งนายเกินไปแล้วจริงๆ มากับฉันเถอะเพื่อน จัดการพาพวกสัตว์ที่นายพามาให้ขึ้นไปอยู่บนเรือของฉัน เดี๋ยวเรื่องทางนี้ฉันจัดการเอง”
เขามองไปที่ชายไว้หนวดเครากับผู้ชายถักเปียไว้ผมหางม้าที่อยู่ข้างๆ กันแล้วถามว่า “คุณคือมิสเตอร์คาปริโนใช่ไหม?”
ชายวัยกลางคนไว้หนวดเครายิ้มแล้วยื่นมือออกมา “ใช่แล้ว สวัสดีครับ คุณฉิน ช่วงนี้ผมได้ยินพอลลี่เอ่ยชื่อของคุณเป็นอยู่เป็นประจำ เขาบอกว่าคุณเป็นคนหนุ่มที่ใจป้ำมาก แน่นอนว่า ผมต้องยอมรับเลยว่าคุณเป็นอย่างนั้นจริงๆ”
“แล้วเคยพูดถึงเรื่องอื่นเกี่ยวกับผมด้วยหรือเปล่า?”ฉินสือโอวยิ้มพร้อมกับจับมือทักทายกันกับเขา
คาปริโนกล่าวว่า “อืม เขายังบอกด้วยว่าคุณเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาเคยเห็น”
ฉินสือโอวจึงส่ายหัวแล้วตอบเขากลับไปว่า “บางทีคุณอาจจะได้ยินมาผิดแล้วก็ได้นะ เขาบอกว่าฟาร์มผมเป็นฟาร์มปลาที่ยอดเยี่ยมหรือเปล่า?”
คาปริโนไม่ได้พูดเรื่องนั้นต่อ แต่ตอบเขากลับไปว่า “บางทีคุณอาจจะเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ยอดเยี่ยมด้วยก็ได้ เจ้าของฟาร์มปลาคงไม่ซื้อม้าหรอกใช่ไหมล่ะ? มาเถอะ ลองมาดูตัวลูกม้าสองตัวนี้หน่อย คุณติดขัดอะไรหรือเปล่า?”
เขาก็เป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งเหมือนกันกับพอลลี่ เพียงแต่ว่าศักยภาพด้านเงินทุนของเขาแข็งแกร่งกว่าพอลลี่มากนัก ในฟาร์มของเขาเลี้ยงม้าพันธุ์ดีไว้ถึงห้าสิบกว่าตัว
ลูกม้าทั้งสองตัวถูกผูกไว้บนท่าเรือ ความสูงตั้งแต่พื้นถึงไหล่ของมันสูงเท่าๆ กันกับเอวของฉินสือโอว ตัวหนึ่งมีหน้าผากสีดำล้วน ตั้งแต่ส่วนคอลงไปเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ส่วนอีกตัวก็มีสีดำเสียส่วนใหญ่ บนร่างกายของมันมีขนสีขาวเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่หนึ่งผืน เหมือนกับกลุ่มเมฆสีขาวที่อยู่กันเป็นหย่อมๆ ดูแล้วสวยงามยิ่ง
ประโยชน์ใช้สอยที่สำคัญของม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ก็เพื่อความเพลิดเพลิน ผู้หญิงกับเด็กๆ ชอบม้าพันธุ์นี้เป็นอย่างมาก อัตราการปรากฏตัวในการแข่งขันม้ามีไม่สูง แต่เมื่อเทียบกับม้าทุกๆ สายพันธุ์แล้ว นี่ถือว่าเป็นม้าที่ค่อนข้างว่าง่ายและเชื่อฟังสายพันธุ์หนึ่งเลย
ฉินสือโอวไม่รู้เรื่องม้า แต่ดูจากกำลังวังชาและลักษณะภายนอกของมันแล้ว ม้าสองตัวนี้ก็ไม่เลวเลย ตอนที่เขายื่นมือออกไปลูบม้าตัวที่มีหัวสีดำ ลูกม้าตัวนั้นไม่ได้หลบเขา แต่กลับจ้องมองเขาอย่างขลาดอาย
“เหมือนสาวน้อยเลย ใช่ไหมล่ะ?” ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม
คาปริโนก็พูดขึ้นมาว่า “มันก็เป็นสาวน้อยตัวหนึ่งจริงๆ นั่นล่ะ เป็นสาวน้อยที่แสนรู้มาก หลังจากนี้ถ้าได้อยู่กับเธอเดี๋ยวคุณก็รู้เอง ผมคิดว่าเธอต้องรักคุณแน่ๆ”
นอกจากลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัว พอลลี่ยังได้พาลูกวัวห้าตัวกับลูกแพะภูเขามาอีกห้าตัว พวกที่อึฉี่เรี่ยราดไปเมื่อสักครู่ก็คือพวกมันนั่นเอง ตอนนี้พวกมันเข้ามาอยู่ใกล้ๆ กันแล้วพากันส่งเสียงร้องนุ่มทุ้มออกมา ดูท่าทางน่ารักบ๊องแบ๊ว ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกได้ว่าพวกมันต้องอร่อยมากแน่ๆ
ใช่แล้ว ที่เขาอยากเลี้ยงวัวเลี้ยงแพะก็เพื่อเอาไว้เชือดกินเมื่อถึงฤดูหนาว
ปิดตาให้พวกลูกม้าลูกแพะกับลูกวัวเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นถึงจะส่งพวกมันขึ้นไปบนเรือได้อย่างปลอดภัย
หลังจากพากลับมาที่เกาะแฟร์เวลแล้ว พอฉินสือโอวนำลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวลงมา พวกมันก็สะบัดกีบเท้าวิ่งไปที่บริเวณทุ่งหญ้าที่ปลูกไว้เป็นอาหารสัตว์ทันที พวกมันกินอาหารแห้งไปตลอดทาง คาดว่าน่าจะเป็นเพราะพวกมันเองก็ร้อนใจเหมือนกัน
เห็นว่ามีเพื่อนตัวเล็กๆ เข้ามาใหม่อีกแล้ว พวกหู่เป้าฉงหลัวกับลูกแมวป่าจึงพากันวิ่งออกมาจากประตูวิลล่า พวกมันจ้องลูกม้ากับลูกแพะพวกนี้ตาเป็นมัน หลังจากนั้นก็เริ่มพากันแหกปากร้องตะโกนออกมา
ก็เหมือนกับตามปกติ พวกวัวม้าแพะตกใจจนวิ่งเตลิดไปทั่วทุกทิศ ตัวอื่นยังไม่เท่าไร แต่ฉงต้ามีอำนาจบารมีที่แข็งแกร่งมากจริงๆ เมื่อมันวิ่งออกมาข้างนอกแบบนี้ กล้ามเนื้อและไขมันส่วนเกินบนร่างกายก็สั่นกระเพื่อมไปมา เหมือนกับภูเขาสีน้ำตาลลูกเล็กที่กำลังเคลื่อนที่อยู่อย่างไรอย่างนั้น!
ฉินสือโอวเข้าไปดึงฉงต้าเอาไว้ พร้อมกับตะโกนบอกให้หู่จือกับเป้าจือกลับเข้าไปในวิลล่า คาปริโนก็กลัวเหมือนกัน เขาถามฉินสือโอวว่า “พระเจ้า ทำไมคุณถึงได้เลี้ยงสัตว์ที่น่ากลัวขนาดนี้กันล่ะ?”
พอลลี่เคยเจอกับพวกหู่เป้าฉงหลัวมาก่อน เขาจึงอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “คราวนี้นายก็รู้แล้วใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมฉันถึงบอกว่าฉินเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ยอดเยี่ยมมาก?”
คาปริโนมองดูบรรดาสัตว์ป่าที่ว่านอนสอนง่ายเหมือนเด็กๆ ตรงด้านหน้าฉินสือโอว ชั่วขณะหนึ่งเขาก็พยักหน้ารัวเร็วเหมือนทุบกระเทียมแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว เขาเป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ยอดเยี่ยมมาก! น่านับถือจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกนายเป็นคนพาฉันมาที่นี่ ฉันคงคิดว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ที่คณะละครสัตว์!”
ขณะที่บรรดาลูกวัวลูกม้าและลูกแพะที่วิ่งหลบเลี่ยงการคุกคามของพวกหู่เป้าฉงหลัวไปถึงสนามหญ้าอย่างยากลำบากกำลังพากันก้มหน้ากินหญ้า ในระหว่างนั้นอยู่ดีๆ พวกมันก็ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวกำลังคาบหญ้าสีเขียวเอาไว้ในปากพร้อมกับวิ่งตะบึงตรงมาทางด้านหน้า ด้านหลังมีลูกวัวกับลูกแพะที่กำลังส่งเสียงร้องอยู่
“นี่เกิดอะไรขึ้นอีก?” คาปริโนถามอย่างงงงวย
ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา แล้วตอบเขาว่า “ผมลืมปัญหาเรื่องนี้ไปเลย ที่ฟาร์มปลาของผมยังมีห่านที่ร้ายกาจมากๆ อีกหนึ่งฝูง เจ้าพวกนี้หวงอาณาเขตสุดๆ คาดว่าพวกลูกวัวลูกแพะคงจะเผลอไปแหย่มันเข้า”
………………………………………………