ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1321 ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสอง

บทที่ 1321 ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสอง

พอได้รับสายโทรศัพท์จากพอลลี่ ฉินสือโอวก็พาชาร์ค บูลและคนอื่นๆ อีกสองสามคนไปที่ท่าเรือนครเซนต์จอห์น พอลลี่และชายไว้หนวดเคราอีกคนหนึ่ง กับคนขาวไว้ผมเปียกำลังถกเถียงอะไรบางอย่างกับตาเฒ่าคนหนึ่ง ข้างๆ คือลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์สองตัวที่ได้รับการดูแลอย่างสะอาดสะอ้านกับลูกวัวและลูกแพะอีกหนึ่งฝูง

“เฮ้ เพื่อน เป็นไงบ้าง?” ฉินสือโอวกระโดดขึ้นไปบนท่าเรือแล้วทักทายเขา

เนื่องจากเรื่องที่เชื่อมโยงกันหลายๆ อย่าง ฉินสือโอวจึงกลายเป็นคนดังในท้องถิ่นไปแล้ว ชาวประมงที่อยู่บนท่าเรือต่างก็รู้จักเขาทั้งนั้น พอเห็นเขามาจึงพากันทักทายหยอกล้อกันเล่นกับเขา

ใครคนหนึ่งพูดขึ้นมาว่า “ฉิน ได้ยินมาว่าที่ฟาร์มปลาของนายเจอปีศาจทะเลคราเคน นายไม่กลัวบ้างเลยเหรอ?”

ซีมอนสเตอร์จึงยื่นหัวออกไปถามเขาว่า “มีใครเรียกฉันหรือเปล่า?”

ชาวประมงที่อยู่รอบๆ ก็พากันหัวเราะออกมา คนที่เอ่ยปากพูดเมื่อก่อนหน้านี้ พูดขึ้นมาอีกว่า “หดหัวกลับไปซะ มันไม่เกี่ยวอะไรกับนายหรอกเพื่อน! พวกเราพูดถึงซีมอนสเตอร์ ปีศาจทะเลของจริง ปีศาจที่สามารถลากเรือทั้งลำไปที่เขตทะเลลึกได้ คราเคนแห่งทะเลเหนือ!”

ฉินสือโอวชนหมัดกับเขา นี่คือธรรมเนียมของกะลาสีเรือ ซึ่งคล้ายคลึงกับการทักทายตอนพบหน้ากันของคนผิวดำ เขาพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “อย่าไปฟังเรื่องไร้สาระของพวกนักข่าวเลย นี่มันศตวรรษที่ยี่สิบเอ็ดแล้วนะ พวกเราต้องเชื่อในวิทยาศาสตร์สิ จะไปมีปีศาจยักษ์ทะเลเหนือได้ยังไงกันล่ะ? นั่นมันเป็นนิทานหลอกเด็กชัดๆ”

ข่าวลือเกี่ยวกับเรื่องนั้นแพร่กระจายอยู่ในท่าเรือนิวฟันด์แลนด์และรัฐโนวาสโกเชียไม่ขาดสาย เรื่องที่ีเล่าต่อกันย่อมต้องเป็นตอนที่เขาใช้คราเคนเพื่อให้เรือขโมยปลาพวกนั้นกลัวจนหนีออกไป ตอนวันที่มีหมอกตกหนักวันนั้นอย่างแน่นอน

“ไม่ๆๆ” ชาวประมงคนนั้นส่ายหัวอย่างแรง “ไม่ใช่เรื่องไร้สาระนะ มีตั้งคนหลายคนที่ได้เห็นร่องรอยของคราเคนแห่งทะเลเหนือ! ชิท ไม่รู้ว่าที่ปีนี้จับปลาได้น้อยลง เป็นเพราะมันด้วยหรือเปล่า”

ฉินสือโอวหัวเราะแล้วตอบเขาว่า “ถ้ามีคราเคนแห่งทะเลเหนือ ก็ต้องมีโพไซดอนกับทูตสวรรค์ด้วยสิ พวกนายเคยเห็นมาก่อนไหมล่ะ? หรือบอกได้ไหมว่าเคยมีใครเห็นมาก่อนหรือเปล่า?”

พอคุยเล่นกับพวกชาวประมงเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็เดินไปหยุดอยู่ข้างๆ พอลลี่แล้วถามว่า “เกิดอะไรขึ้น?”

ไม่ต้องรอให้พอลลี่เอ่ยปาก ตาเฒ่าที่เถียงกันกับเขาก็ชิงพูดขึ้นก่อนเลยว่า “ฉิน พวกนายรู้จักกันด้วยเหรอ? นายมาก็ดีแล้ว เพื่อนของนายคนนี้ไม่เคารพกฎของท่าเรือเรา ดูเขาสิ เอาตัวอะไรมาด้วยก็ไม่รู้ วัวกับแพะแล้วก็ม้าเนี่ยนะ? เขาคิดว่าที่นี่คือตลาดค้าปศุสัตว์หรือยังไง?”

พอลลี่ก็ตวาดออกมาว่า “เฮ้ ไม่ต้องพูดให้มันฟังดูแย่ขนาดนี้หรอก โอเคไหม? สัตว์พวกนี้ของผมอึฉี่ใส่ท่าเรือจริงๆ อันนี้ผมยอมรับ! แต่ผมก็รับปากแล้วไม่ใช่เหรอ? ว่าผมจะทำความสะอาดให้น่ะ เท่านี้ยังไม่พออีกเหรอ?”

ตาเฒ่าคนนั้นก็ตอบกลับมาว่า “ก็ต้องไม่พออยู่แล้ว ตามกฎนายต้องจ่ายค่าปรับด้วย สองร้อยดอลลาร์ อยากได้ใบเสร็จด้วยไหมล่ะ?”

เมื่อได้ยินแบบนี้พอลลี่ก็เดือดดาลขึ้นมาทันที เขาพูดด้วยความโมโหว่า “ไม่มีกฎแบบนี้หรอก เพื่อน มันไม่มีกฎแบบนี้หรอกนะ! คุณเป็นพวกชอบกลั่นแกล้งคนต่างถิ่นใช่ไหมล่ะ?”

ฉินสือโอวตบไหล่ตาเฒ่าคนนั้นแล้วพาเขาเดินขึ้นมาข้างหน้าอีกไม่กี่ก้าว หลังจากนั้นก็พูดกับเขาเสียงเบาว่า “เอาล่ะ ผู้เฒ่าสมิธ เพื่อนของผมเขาเป็นคนแผ่นดินใหญ่ เขาไม่เข้าใจกฎของคนบนท่าเรืออย่างพวกเราหรอก เรื่องค่าปรับเดี๋ยวผมจะจัดการเอง แต่ช่วยลดราคาให้ผมหน่อย เหลือหนึ่งร้อยดอลลาร์ได้ไหม?”

ชายชราถอนหายใจออกมาแล้วพูดกับเขาว่า “ก็ได้ เห็นแก่หน้าของนายหรอกนะ ฉิน ฉันเห็นแก่นายหรอกนะ ถ้าอย่างนั้นปรับแค่หนึ่งร้อยดอลลาร์ก็พอ ฟัค ฉันเกลียดการทำความสะอาดอึพวกนี้ที่สุดเลย”

ฉินสือโอวตบไหล่ของเขาเบาๆ พร้อมกับส่งสายตาให้ชาร์ค แล้วหลังจากนั้นจึงพาพอลลี่เดินไปด้านหลัง

พอลลี่ถามเขาอย่างไม่ยอมแพ้ “คงไม่ต้องจ่ายค่าปรับจริงๆ หรอกนะ?”

ฉินสือโอวตอบเขาว่า “ท่าเรือมีกฎของท่าเรืออยู่ แต่แน่นอนว่าค่าปรับ 200 ดอลลาร์นั่นน่ะกลั่นแกล้งนายเกินไปแล้วจริงๆ มากับฉันเถอะเพื่อน จัดการพาพวกสัตว์ที่นายพามาให้ขึ้นไปอยู่บนเรือของฉัน เดี๋ยวเรื่องทางนี้ฉันจัดการเอง”

เขามองไปที่ชายไว้หนวดเครากับผู้ชายถักเปียไว้ผมหางม้าที่อยู่ข้างๆ กันแล้วถามว่า “คุณคือมิสเตอร์คาปริโนใช่ไหม?”

ชายวัยกลางคนไว้หนวดเครายิ้มแล้วยื่นมือออกมา “ใช่แล้ว สวัสดีครับ คุณฉิน ช่วงนี้ผมได้ยินพอลลี่เอ่ยชื่อของคุณเป็นอยู่เป็นประจำ เขาบอกว่าคุณเป็นคนหนุ่มที่ใจป้ำมาก แน่นอนว่า ผมต้องยอมรับเลยว่าคุณเป็นอย่างนั้นจริงๆ”

“แล้วเคยพูดถึงเรื่องอื่นเกี่ยวกับผมด้วยหรือเปล่า?”ฉินสือโอวยิ้มพร้อมกับจับมือทักทายกันกับเขา

คาปริโนกล่าวว่า “อืม เขายังบอกด้วยว่าคุณเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ยอดเยี่ยมที่สุดที่เขาเคยเห็น”

ฉินสือโอวจึงส่ายหัวแล้วตอบเขากลับไปว่า “บางทีคุณอาจจะได้ยินมาผิดแล้วก็ได้นะ เขาบอกว่าฟาร์มผมเป็นฟาร์มปลาที่ยอดเยี่ยมหรือเปล่า?”

คาปริโนไม่ได้พูดเรื่องนั้นต่อ แต่ตอบเขากลับไปว่า “บางทีคุณอาจจะเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ยอดเยี่ยมด้วยก็ได้ เจ้าของฟาร์มปลาคงไม่ซื้อม้าหรอกใช่ไหมล่ะ? มาเถอะ ลองมาดูตัวลูกม้าสองตัวนี้หน่อย คุณติดขัดอะไรหรือเปล่า?”

เขาก็เป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์แห่งหนึ่งเหมือนกันกับพอลลี่ เพียงแต่ว่าศักยภาพด้านเงินทุนของเขาแข็งแกร่งกว่าพอลลี่มากนัก ในฟาร์มของเขาเลี้ยงม้าพันธุ์ดีไว้ถึงห้าสิบกว่าตัว

ลูกม้าทั้งสองตัวถูกผูกไว้บนท่าเรือ ความสูงตั้งแต่พื้นถึงไหล่ของมันสูงเท่าๆ กันกับเอวของฉินสือโอว ตัวหนึ่งมีหน้าผากสีดำล้วน ตั้งแต่ส่วนคอลงไปเป็นสีขาวบริสุทธิ์ ส่วนอีกตัวก็มีสีดำเสียส่วนใหญ่ บนร่างกายของมันมีขนสีขาวเป็นพื้นที่ขนาดใหญ่หนึ่งผืน เหมือนกับกลุ่มเมฆสีขาวที่อยู่กันเป็นหย่อมๆ ดูแล้วสวยงามยิ่ง

ประโยชน์ใช้สอยที่สำคัญของม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ก็เพื่อความเพลิดเพลิน ผู้หญิงกับเด็กๆ ชอบม้าพันธุ์นี้เป็นอย่างมาก อัตราการปรากฏตัวในการแข่งขันม้ามีไม่สูง แต่เมื่อเทียบกับม้าทุกๆ สายพันธุ์แล้ว นี่ถือว่าเป็นม้าที่ค่อนข้างว่าง่ายและเชื่อฟังสายพันธุ์หนึ่งเลย

ฉินสือโอวไม่รู้เรื่องม้า แต่ดูจากกำลังวังชาและลักษณะภายนอกของมันแล้ว ม้าสองตัวนี้ก็ไม่เลวเลย ตอนที่เขายื่นมือออกไปลูบม้าตัวที่มีหัวสีดำ ลูกม้าตัวนั้นไม่ได้หลบเขา แต่กลับจ้องมองเขาอย่างขลาดอาย

“เหมือนสาวน้อยเลย ใช่ไหมล่ะ?” ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม

คาปริโนก็พูดขึ้นมาว่า “มันก็เป็นสาวน้อยตัวหนึ่งจริงๆ นั่นล่ะ เป็นสาวน้อยที่แสนรู้มาก หลังจากนี้ถ้าได้อยู่กับเธอเดี๋ยวคุณก็รู้เอง ผมคิดว่าเธอต้องรักคุณแน่ๆ”

นอกจากลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัว พอลลี่ยังได้พาลูกวัวห้าตัวกับลูกแพะภูเขามาอีกห้าตัว พวกที่อึฉี่เรี่ยราดไปเมื่อสักครู่ก็คือพวกมันนั่นเอง ตอนนี้พวกมันเข้ามาอยู่ใกล้ๆ กันแล้วพากันส่งเสียงร้องนุ่มทุ้มออกมา ดูท่าทางน่ารักบ๊องแบ๊ว ทำให้ฉินสือโอวรู้สึกได้ว่าพวกมันต้องอร่อยมากแน่ๆ

ใช่แล้ว ที่เขาอยากเลี้ยงวัวเลี้ยงแพะก็เพื่อเอาไว้เชือดกินเมื่อถึงฤดูหนาว

ปิดตาให้พวกลูกม้าลูกแพะกับลูกวัวเรียบร้อยแล้ว หลังจากนั้นถึงจะส่งพวกมันขึ้นไปบนเรือได้อย่างปลอดภัย

หลังจากพากลับมาที่เกาะแฟร์เวลแล้ว พอฉินสือโอวนำลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวลงมา พวกมันก็สะบัดกีบเท้าวิ่งไปที่บริเวณทุ่งหญ้าที่ปลูกไว้เป็นอาหารสัตว์ทันที พวกมันกินอาหารแห้งไปตลอดทาง คาดว่าน่าจะเป็นเพราะพวกมันเองก็ร้อนใจเหมือนกัน

เห็นว่ามีเพื่อนตัวเล็กๆ เข้ามาใหม่อีกแล้ว พวกหู่เป้าฉงหลัวกับลูกแมวป่าจึงพากันวิ่งออกมาจากประตูวิลล่า พวกมันจ้องลูกม้ากับลูกแพะพวกนี้ตาเป็นมัน หลังจากนั้นก็เริ่มพากันแหกปากร้องตะโกนออกมา

ก็เหมือนกับตามปกติ พวกวัวม้าแพะตกใจจนวิ่งเตลิดไปทั่วทุกทิศ ตัวอื่นยังไม่เท่าไร แต่ฉงต้ามีอำนาจบารมีที่แข็งแกร่งมากจริงๆ เมื่อมันวิ่งออกมาข้างนอกแบบนี้ กล้ามเนื้อและไขมันส่วนเกินบนร่างกายก็สั่นกระเพื่อมไปมา เหมือนกับภูเขาสีน้ำตาลลูกเล็กที่กำลังเคลื่อนที่อยู่อย่างไรอย่างนั้น!

ฉินสือโอวเข้าไปดึงฉงต้าเอาไว้ พร้อมกับตะโกนบอกให้หู่จือกับเป้าจือกลับเข้าไปในวิลล่า คาปริโนก็กลัวเหมือนกัน เขาถามฉินสือโอวว่า “พระเจ้า ทำไมคุณถึงได้เลี้ยงสัตว์ที่น่ากลัวขนาดนี้กันล่ะ?”

พอลลี่เคยเจอกับพวกหู่เป้าฉงหลัวมาก่อน เขาจึงอธิบายด้วยรอยยิ้มว่า “คราวนี้นายก็รู้แล้วใช่ไหมล่ะ ว่าทำไมฉันถึงบอกว่าฉินเป็นเจ้าของฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ยอดเยี่ยมมาก?”

คาปริโนมองดูบรรดาสัตว์ป่าที่ว่านอนสอนง่ายเหมือนเด็กๆ ตรงด้านหน้าฉินสือโอว ชั่วขณะหนึ่งเขาก็พยักหน้ารัวเร็วเหมือนทุบกระเทียมแล้วตอบว่า “ใช่แล้ว เขาเป็นฟาร์มเลี้ยงสัตว์ที่ยอดเยี่ยมมาก! น่านับถือจริงๆ ถ้าไม่ใช่เพราะพวกนายเป็นคนพาฉันมาที่นี่ ฉันคงคิดว่าตอนนี้ฉันกำลังอยู่ที่คณะละครสัตว์!”

ขณะที่บรรดาลูกวัวลูกม้าและลูกแพะที่วิ่งหลบเลี่ยงการคุกคามของพวกหู่เป้าฉงหลัวไปถึงสนามหญ้าอย่างยากลำบากกำลังพากันก้มหน้ากินหญ้า ในระหว่างนั้นอยู่ดีๆ พวกมันก็ส่งเสียงดังเอะอะโวยวายขึ้นมาอีกครั้ง ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวกำลังคาบหญ้าสีเขียวเอาไว้ในปากพร้อมกับวิ่งตะบึงตรงมาทางด้านหน้า ด้านหลังมีลูกวัวกับลูกแพะที่กำลังส่งเสียงร้องอยู่

“นี่เกิดอะไรขึ้นอีก?” คาปริโนถามอย่างงงงวย

ฉินสือโอวถอนหายใจออกมา แล้วตอบเขาว่า “ผมลืมปัญหาเรื่องนี้ไปเลย ที่ฟาร์มปลาของผมยังมีห่านที่ร้ายกาจมากๆ อีกหนึ่งฝูง เจ้าพวกนี้หวงอาณาเขตสุดๆ คาดว่าพวกลูกวัวลูกแพะคงจะเผลอไปแหย่มันเข้า”

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท