ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1324 สำนักจัดหางานของนักต้มตุ๋น

บทที่ 1324 สำนักจัดหางานของนักต้มตุ๋น

หลังจากสั่งซื้ออุปกรณ์ประกอบคอกม้าสองวัน ในตอนที่เพิ่งจะทานมื้อเที่ยงเสร็จ ฉินสือโอวที่กำลังอ่านข่าวอยู่ในร่มไม้ก็ได้ยินเสียงเห่าของหู่จือกับเป้าจือดังขึ้นมา

เขานึกว่าบริษัทที่ขายกระท่อมแบบประกอบมาส่งวัสดุสำหรับการสร้างคอกม้าแล้ว เขาจึงลุกยืนขึ้นแล้วพูดกับตัวเองว่า “เชื่อเลย วีไอพีก็ดีอย่างนี้ล่ะนะ แบบนี้มันเร็วทันใจดีจริงๆ”

พวกเด็กๆ ก็อยู่ตรงใต้ร่มไม้เช่นกัน พวกเขาแต่ละคนกำลังนั่งทำการบ้านช่วงปิดเทอมอยู่กับโต๊ะกับเก้าอี้ตัวเล็กๆ ชีวิตเด็กประถมในแคนาดาช่างมีความสุขมากจริงๆ ฉินสือโอวเคยเห็นการบ้านของพวกเขามาก่อน ไม่ใช่แค่มีการบ้านน้อย แต่การบ้านที่ได้ก็ง่ายดายสุดๆ

ทว่าพวกเด็กๆ คงไม่ได้คิดอย่างนั้น เดิมทีพวกเขากำลังขีดเขียนกระดาษจดบันทึกอย่างหน้าดำคร่ำเครียด แต่พอได้ยินที่ฉินสือโอวพูดพวกเขาแต่ละคนก็เริ่มรู้สึกตื่นเต้นขึ้นมา ถามว่า “คอกม้ามาถึงแล้วเหรอครับ? แบบนี้ก็ทำงานได้แล้วใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวไม่พอใจกับทัศนคติด้านการเรียนของพวกเขา จึงกล่าวว่า “ฉันแค่เดาเฉยๆ มันจะเร็วขนาดนั้นที่ไหนกันล่ะ? พวกนายทำตัวดีๆ นั่งทำการบ้านอยู่ตรงนี้ซะ”

กอร์ดอนก็พูดกับเขาว่า “มันก็เร็วเท่านี้แหละ ฉิน คุณตามกระแสการพัฒนาของโลกยุคปัจจุบันไม่ทันใช่ไหมล่ะ? ยุคนี้คือยุคของการส่งพัสดุแบบเร่งด่วน! ไม่ว่าอะไรก็จัดส่งได้เร็วทันใจทั้งนั้น!”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา เขาพูดในใจว่าในอนาคตถ้าพวกนายมีแฟน พวกนายก็คงไม่อยากให้มันรวดเร็วไปเสียทุกสิ่งทุกอย่างแล้วล่ะ

เขาให้พวกเด็กๆ รออยู่เฉยๆ ก่อน ส่วนตัวเขาเองเดินไปที่ประตูทางเข้าฟาร์มปลา หลังจากนั้นก็ผิวปากปลอบหู่จือกับเป้าจือให้ลดความตื่นเต้นลง

หลังจากเข้ามาใกล้ประตูทางเข้าแล้ว ฉินสือโอวลองมองดูก็คิดว่าไม่น่าจะเป็นแบบนั้น ชายวัยกลางคนสองคนกำลังยืนอยู่ที่ด้านนอกประตู ลักษณะท่าทางของทั้งสองคนดูเหมือนผู้ใช้แรงงาน แต่พวกเขากลับสะพายกระเป๋ามาแค่ใบเดียว แถมยังไม่มีรถตามมาอีกต่างหาก

เมื่อเป็นเช่นนี้ แล้ววัสดุสร้างคอกม้าอยู่ที่ไหนกันล่ะ? จากที่เขารู้มาคอกม้ามีความสูงสิบเมตร กว้างห้าเมตร วัสดุก็ดีกว่ากระท่อมสำหรับดื่มกาแฟกับเบียร์อยู่หลายเท่า จะใส่ไว้ในกระเป๋าใบนี้ได้เหรอ?

ฉินสือโอวส่ายหัวแล้วถามพวกเขาว่า “พวกคุณคือคนของบริษัทเรนโบว์คอทเทจหรือเปล่า?”

ครั้งนี้ถึงคราวของคนทั้งคู่ที่ต้องส่ายหัวแล้ว ชายวัยกลางคนเชื้อสายละตินหนึ่งในนั้นใช้ภาษาอังกฤษด้วยสำเนียงที่ฟังออกยากพูดกับเขาว่า “ไม่ ไม่ใช่ พวกเราเป็นคนของบริษัทจัดหางานฮันนิบาล โอ้ ผมจะพูดอย่างนั้นก็ไม่ถูก พวกเราเป็นคนที่บริษัทนายหน้าแนะนำให้มาทำงานที่นี่”

พอเขาพูดจบ พวกเขาอีกคนก็ยื่นจดหมายฉบับหนึ่งให้กับฉินสือโอว พร้อมกับพูดเสริมว่า “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ? คุณฉินเจ้าของฟาร์มปลาต้าฉิน?”

คนคนนี้เป็นคนจีน เขาถามเป็นภาษาจีนกลางอย่างชัดถ้อยชัดคำ

ฉินสือโอวพยักหน้ารับพร้อมกับกล่าวว่า “ใช่ครับ ผมชื่อฉินสือโอว บริษัทแนะนำพวกคุณมายังไงบ้างครับ? ให้มาดูว่าที่นี่ต้องการคนงานหรือเปล่าใช่ไหมครับ?”

พอได้ฟังที่เขาพูดจนจบ คนจีนคนนั้นก็เผยสีหน้าเป็นกังวลออกมา “ไม่ใช่ครับ คุณฉิน พวกเราคือคนที่บริษัทนายหน้าส่งให้มาทำงานที่นี่ ฟาร์มปลาไม่ได้ต้องการคนงานหรอกเหรอครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้วด้วยความงงงวย เขาเปิดจดหมายอ่าน ด้านในคือจดหมายแนะนำฉบับหนึ่ง ซึ่งช่วยแนะนำพวกเขาทั้งสองคนไว้ว่า ชายวัยกลางคนชาวละตินชื่อว่าคาปาไล ปาจิฮาเก้น วัยรุ่นคนจีนชื่อว่าซ่งชิงซาน ส่วนสุดท้ายประทับตราสีแดงสดเอาไว้

ดูจากจดหมายแนะนำที่เขียนก็เหมือนว่าจะเป็นอย่างนั้นจริงๆ แต่ฉินสือโอวจำไม่ได้ว่าเขาเคยติดต่อไปที่บริษัทจัดหาแรงงานที่ไหนมาก่อน เขานึกว่าชาร์คเป็นคนจัดการเรื่องนี้จึงควักวิทยุสื่อสารออกมาเพื่อถามว่า “ชาร์ค นายเคยไปถามหาคนงานจากบริษัทจัดหาแรงงานมาก่อนหรือเปล่า?”

ชาร์คตอบเขากลับมาว่า “ไม่นะครับ ถ้าต้องการคนงาน ผมต้องขออนุญาตคุณก่อนอยู่แล้ว”

ได้ยินแบบนี้แล้ว สีหน้าของพวกเขาทั้งสองคนก็เริ่มแย่ลง ชายวัยกลางคนชาวละตินถึงกับพึมพำขึ้นมาด้วยความร้อนอกร้อนใจ ไม่รู้ว่ากำลังพึมพำเรื่องอะไรอยู่

ฉินสือโอวตัดสายจากวิทยุสื่อสาร เขาไหวไหล่แล้วพูดกับทั้งสองคนว่า “บางทีอาจจะเขียนผิดหรือเปล่า ทั้งสองคน บางทีอาจจะเป็นฟาร์มปลาแห่งอื่นที่กำลังขาดคนหรือเปล่า?”

เขารู้ว่าไม่มีทางเป็นอย่างนั้นแน่ เนื่องจากส่วนหัวของจดหมายแนะนำเขียนชื่อฉินสือโอวกับฟาร์มปลาต้าฉินเอาไว้

ชายวัยกลางคนชายละตินจึงพูดกับเขาด้วยความร้อนรนว่า “ไม่ๆๆ เป็นไปไม่ได้ ทางบริษัทบอกว่าเป็นฟาร์มปลาต้าฉินในเมืองแฟร์เวล แถมเขายังให้รูปภาพของคุณไว้อีกด้วย คุณดูสิ”

เขาหยิบภาพถ่ายเลือนรางใบหนึ่งออกมา เป็นภาพถ่ายของฉินสือโอวจริงๆ แต่คล้ายกับว่านี่น่าจะเป็นรูปภาพที่หามาจากในข่าวมากกว่า อีกทั้งในรูปนั้นฉินสือโอวยังอุ้มหู่จือเป้าจือเอาไว้ด้วย ท่าทางเหมือนว่าเขากำลังให้สัมภาษณ์กับนักข่าวอยู่ที่บริเวณหน้าศาลตัดสิน

ซ่งชิงซานมีปฏิกิริยาตอบโต้ที่ไวกว่านิดหน่อย เขาถามฉินสือโอวด้วยความวิตกกังวลว่า “คุณไม่ได้ติดต่อไปที่บริษัทของพวกเราจริงๆ เหรอครับ? ไม่อย่างนั้นคุณลองโทรศัพท์ไปถามพวกเขาหน่อยได้ไหม?”

ฉินสือโอวพอจะรู้แล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พวกเขาทั้งสองคนเจอบริษัทนายหน้าเถื่อนเข้าให้แล้ว ที่แคนาดามีบริษัทเลวทรามแบบนี้อยู่หลายแห่ง แต่มักจะอยู่ในเมืองใหญ่เสียมากกว่า ยังไม่เคยได้ยินว่าที่นครเซนต์จอห์นมีเรื่องพวกนี้ด้วย

แต่เมื่อมองดูท่าทางของคาปาไลกับซ่งชิงซานที่เหมือนกับว่าจะเป็นแรงงานที่ขยันขันแข็ง ในใจของเขาก็เริ่มรู้สึกเห็นใจคนทั้งคู่ จึงยกโทรศัพท์ขึ้นมากดโทรออก ขณะเดียวกันก็ถามขึ้นมาว่า “พวกคุณเพิ่งย้ายถิ่นฐานมาอยู่ที่นี่เหรอ?”

ซ่งชิงซานก็พอจะเดาได้เช่นกัน เขาตอบฉินสือโอวกลับไปพร้อมกับรอยยิ้มจืดเจื่อน “ผมมาที่นี่ได้ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ ส่วนพี่ชายคนนี้มาถึงที่นี่นานกว่าหน่อย มาถึงได้ประมาณสิบกว่าวันแล้วครับ”

ปลายทางที่เขาโทรไปปิดเครื่อง ฉินสือโอวเปิดลำโพงเพื่อให้พวกเขาได้ยิน หลังจากนั้นก็ไหวไหล่พูดว่า “ที่พวกคุณหางานนี้ พวกคุณได้เสียเงินหรือเปล่า?”

คาปาไลก็รู้แล้วว่าเกิดอะไรขึ้น เขาจึงพูดด้วยความรู้สึกสิ้นหวังว่า “จ่ายเงินไปแล้วครับ ไอ้พวกชั่วเอ๊ย! พวกเลวนั่นควรจะลงนรกไปซะ! พวกเขาเก็บเงินผมไปแปดร้อยดอลลาร์ บอกว่านี่เป็นเงินมัดจำก่อนทำงาน เพื่อป้องกันไม่ให้พวกเราสร้างความวุ่นวายให้กับคุณ”

ส่วนซ่งชิงซานก็พูดอย่างกระวนกระวายใจว่า “ถ้าอย่างนั้นพวกเราต้องรีบกลับกันแล้ว ต้องรีบไปเอาเงินจากพวกมันคืนมา”

เมื่อเห็นว่าทั้งสองคนมีเหงื่อออกท่วมทั้งหน้าภายในเวลาชั่วพริบตาเดียว ฉินสือโอวก็รู้แล้วว่า เงินแปดร้อยดอลลาร์คงจะไม่ใช่เงินจำนวนน้อยๆ สำหรับพวกเขา เขาจึงได้พูดขึ้นมาว่า “ตอนนี้ไม่มีเรือเฟอร์รี่แล้ว เดี๋ยวผมใช้เรือของตัวเองไปส่งพวกคุณแล้วกัน”

ช่วยได้ก็ช่วย สองคนนี้ดูน่าสงสารมาก จนทำให้ฉินสือโอวนึกถึงเรื่องสมัยก่อนตอนที่พ่อของเขาไปทำงานแล้วต้องเจอกับหัวหน้าผู้รับเหมาใจทราม

ฉินสือโอวขับเรือยนต์ความเร็วสูงที่เร็วที่สุดออกไป ฝ่าลมโต้คลื่นไปตลอดทั้งทาง หลังจากนั้นก็ใช้เส้นสายหารถแท็กซี่เพื่อรีบพาพวกเขาทั้งสองคนไปที่บริษัทแห่งนั้น

หลังจากกลับไปแล้ว เขาก็กลับมาอ่านข่าวต่อ เขาตั้งใจค้นหาข่าวเกี่ยวกับบริษัทนายหน้าใจโฉดโดยเฉพาะ ปรากฏว่าข่าวที่เกี่ยวข้องที่เขาหาเจอมีอยู่อย่างมหาศาล

แค่ช่วงต้นเดือนของเดือนนี้ กระทรวงแรงงานของแคนาดาได้บุกค้นองค์กรจัดหาแรงงานชั่วคราวไปแล้วตั้ง 50 แห่ง ผลการตรวจสอบชี้ให้เห็นว่า เกือบ 75% ขององค์กรจัดหางานหรือเท่ากับ 37 องค์กร ล้วนแต่มีพฤติการณ์ที่ผิดต่อกฎหมาย มีเพียง 13 แห่งที่เหลืออยู่เท่านั้นที่ดำเนินงานอย่างถูกต้อง ในบรรดาองค์กรที่มีพฤติการณ์ที่ผิดกฎหมายตั้งอยู่ที่ โทรอนโตเป็นจำนวนมากที่สุดถึงสามแห่ง

อีกทั้งองค์กรจัดหาแรงงานชั่วคราวเหล่านี้ยังเป็นนายหน้าใต้ดิน พวกเขาล้มเหลวในการปฏิบัติตามกฎหมายว่าด้วยมาตรฐานการคุ้มครองแรงงานโดยสิ้นเชิง ทั้งไม่จ่ายเงินค่าล่วงเวลาให้กับพนักงาน ไม่ให้หยุดวันหยุดนักขัตฤกษ์ไปจนถึงไม่ให้มีวันลาพักร้อน

บริษัทนายหน้าของแคนาดาแตกต่างกับประเทศอื่นๆ พวกเขาสามารถจัดการงานได้ตรงตามมาตรฐาน ซึ่งสามารถกล่าวได้ว่าเป็นบริษัทแรงงานคน บางโรงงานก็ใช้เพียงแค่ผู้รับเหมาหาคนงาน ทางโรงงานจ่ายเงินให้กับบริษัทนายหน้า ส่วนบริษัทนายหน้าก็จะเป็นฝ่ายจ่ายเงินเดือนและให้สวัสดิการสังคมให้แก่คนงาน

การใช้แรงงานคนด้วยวิธีนี้มีข้อดีอยู่หนึ่งอย่าง ซึ่งก็คือวิธีนี้ทำให้หมดความยุ่งยาก พวกเขาไม่ต้องไปติดตามดูประวัติและสุขภาพของคนงาน หากเกิดปัญหาบริษัทนายหน้าจะเป็นผู้รับผิดชอบเอง

หลังจากได้อ่านข่าวที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้แล้ว ก็ไม่ได้มีข่าวของพวกซ่งชิงซาน ฉินสือโอวจึงไม่ได้คิดอะไรมาก เขาเพียงแต่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาคุยกับวินนี่ตอนที่กลับมาถึงแล้ว วินนี่บอกว่าเธอรู้เรื่องพวกนี้มาก่อนแล้ว แท้ที่จริงนี่เป็นปัญหาใหญ่ในสังคมแคนาดาที่มีมาอย่างยาวนาน แต่รัฐบาลไม่ได้เข้าไปจัดการแก้ปัญหา คนที่ได้รับความเดือดร้อนก็เป็นเพียงคนธรรมดา ทั้งยังเป็นผู้อพยพเสียส่วนใหญ่

……………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท