ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1322 ชายผู้คล้องม้า

บทที่ 1322 ชายผู้คล้องม้า

ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัววิ่งตะบึงไปบนทุ่งหญ้า แสงอาทิตย์ส่องประกายลงมาบนขนสีขาวดำ เปล่งแสงสว่างสดใสอยู่บนร่างกายรูปร่างเพรียวลม อย่างเต็มเปี่ยมไปด้วยพละกำลัง

ในตอนนี้ฉินสือโอวเพิ่งจะได้สัมผัสถึงเสน่ห์ของม้าพันธุ์ดี บางทีอาจจะเป็นเพราะม้าควอเตอร์พวกนั้นไม่งดงามมากพอ ไม่ใช่เพราะม้าพันธุ์ดีไร้ซึ่งเสน่ห์ดึงดูดต่อเขา

ที่ด้านหลังลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์คือฝูงห่านขาวที่กำลังยื่นคอออกมา พร้อมกับกางปีกทั้งสองข้างออก พวกมันใช้สายตาอาฆาตมาดร้ายจ้องมองไปที่ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ที่วิ่งอยู่ทางด้านหน้า ส่วนพวกมันที่ตามอยู่ทางด้านหลังก็เรียกได้ว่าไล่ตามแบบกัดไม่ยอมปล่อย

แต่ถึงแม้ว่าทางด้านหลังจะมีกองทัพศัตรูไล่ตามมาติดๆ ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองก็ยังวิ่งตะบึงได้อย่างผ่าเผยและเป็นธรรมชาติ พวกมันมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวบางอย่างที่ม้าควอเตอร์ไม่มี

ฉินสือโอวชี้นิ้วไปทางด้านหน้า พวกหู่เป้าฉงหลัวร้องคำรามเสียงต่ำพร้อมกับบุกไปข้างหน้า ลูกแมวป่าทำตัวเป็นจิ้งจอกแอบอ้างบารมีสัตว์อื่น มันสะบัดหางอันใหญ่วิ่งตามไปด้านหลัง แต่หลังจากวิ่งเข้าไปถึงตรงบริเวณกึ่งกลางของทุ่งหญ้าก็ไม่เจอตัวมันแล้ว

สมัยที่ยังเล็กอยู่ พวกหู่เป้าฉงหลัวต่างก็เคยเผชิญกับความเจ็บปวดจากฝูงห่านขาว ในตอนนั้นพวกมันยังหัวอ่อน ขนก็ยังอ่อนนุ่ม ทำให้หลายๆ ครั้งเวลาถูกฝูงห่านล้อมเอาไว้พวกมันก็ไร้ซึ่งปัญญาที่จะรับมือด้วย ตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้น พวกมันโตขึ้นแล้ว การรับมือกับฝูงห่านก็เป็นเรื่องที่ทำได้อย่างง่ายดาย

ได้เห็นเงาร่างที่เปี่ยมไปด้วยอำนาจบารมีของฉงต้า พวกห่านขาวก็อ่อนแรงลง ไม่กล้าไล่ตามด้วยความกำแหงอีกต่อไป แต่พากันหยุดอยู่กับที่แล้วมองดูฉงต้าด้วยท่าทีอ่อนแอ

ฉงต้าคิดในใจว่าเจ้าพวกชั่วช้าอย่างพวกแกก็มีวันนี้เหมือนกันเหรอ? ฟาดอุ้งเท้าอวบอ้วน ตบพวกห่านขาวเหมือนหวดลูกปิงปองจนพวกมันร้องแควกๆ บินกระจายไปคนละทิศคนละทางอย่างน่าเวทนา

หู่จือเป้าจือหลัวปอที่ตามมาทางด้านหลังไม่จำเป็นต้องลงมือเลย พวกมันลากเสียงจากในลำคอร้องขู่ออกมาไม่กี่ครั้ง เท่านั้นก็ทำให้พวกมันดูแข็งแกร่งมากพอแล้ว

เมื่อลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์หันกลับไปมอง ก็พบว่าฝูงห่านขาวอันธพาลถูกพวกฉงต้าโจมตีจนพ่ายแพ้ยับเยิน ลูกม้าทั้งสองตัวหันมาสบตากันชั่วครู่ ต่อจากนั้นพวกมันทั้งสองตัวก็หันหัวกลับไปอย่างไม่ลังเล แล้วบุกเข้าไปหาฝูงห่านขาวราวกับพายุหมุน กีบเท้าขนาดเล็กทั้งเตะทั้งถีบ ยิ่งทำให้สถานการณ์ทางฝั่งพวกห่านขาวยิ่งเลวร้ายขึ้นไปอีก

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้พวกหู่เป้าฉงหลัวรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างยิ่ง ฉงต้าหันหัวไปดูลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ที่กำลังออกสกิลดับเบิลคิกอยู่ข้างๆ คำว่าเลื่อมใสตัวโตๆ ถูกเขียนไว้บนใบหน้าอวบอ้วนของมัน น้องชายช่างมีจิตใจที่แข็งแกร่งจริงๆ ตอนที่พวกพี่ๆ อายุเท่าพวกนายมีแต่ถูกฝูงห่านไล่จนแทบฉี่รดฉี่ราด

ฉินสือโอวกอดอกพูดด้วยรอยยิ้มว่า “โว้ว เจ้าสองตัวนี้ดูจะมีอารมณ์รุนแรงอยู่เหมือนกันนะเนี่ย”

ตอนที่ได้พบกันบนท่าเรือ สายตาของลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ยังดูขลาดอายอยู่เลย แต่ตอนนี้กลับบุกเข้าไปสู้ท่ามกลางฝูงห่าน ราวกับว่าพวกมันเป็นจ้าวจื่อหลงจากภูเขาฉางซาน

คาปริโนจึงพูดขึ้นมาว่า “ปล่อยไปเถอะน่า ฉิน นี่มันจะเท่าไรกันเชียว? ปกติมาก พวกมันคือม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์นะไม่ใช่แมวลาย ถ้าไม่มีอารมณ์รุนแรงเลย แล้วพวกมันจะต้อนวัวต้อนแพะได้ยังไงกันล่ะ?”

เมื่อเทียบกันแล้ว ความสามารถของพวกวัวพันธุ์บราห์มันกับแพะขาวก็ยิ่งดูด้อยกว่า ก่อนหน้านี้พวกมันถูกฝูงห่านล้อมรังแก ต่อมาพอฉงต้าไล่ฝูงห่านพวกนั้นออกไป พวกมันก็ไม่กล้าไล่ตามเพื่อไปทำการต่อสู้ด้วย ทำเพียงแค่เข้ามาอยู่ใกล้ๆ กันแล้วรับชมการต่อสู้อย่างว่าง่ายก็เท่านั้น

ไล่ตามฝูงห่านไปได้ไม่เท่าไร พวกหู่เป้าฉงหลัวก็หยุดฝีเท้าลง ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ชำนาญด้านการวิ่ง อย่ามองว่าอายุของพวกมันยังน้อย ตอนนี้แหละที่เป็นช่วงที่พวกมันสามารถรักษาพลังในการต่อสู้ไว้ได้ดีที่สุด พวกมันวิ่งไล่ตามอยู่ทางด้านหลัง วิ่งออกไปอีกหลายร้อยเมตรถึงเพิ่งจะหยุดฝีเท้าลง

การต่อสู้เป็นวิธีกระชับมิตรที่ดีที่สุด พวกฉงต้าดึงลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์มาเป็นพวกทันที หู่จือเข้าไปเลียน่องขาของลูกม้า ส่วนลูกม้าก็เลียหลังของมันกลับ แบบนี้ก็เท่ากับว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็ยอมรับซึ่งกันและกันแล้ว

ฉงต้าลุกขึ้นยืนแล้วเดินเข้าไปหาพวกมันอย่างงกๆ เงิ่นๆ มันยื่นอุ้งเท้าอวบอ้วนออกไปตบลงบนหน้าผากของลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์เบาๆ ลูกม้าก็ยื่นนิ่งๆ อยู่ตรงนั้นราวกับว่าพวกมันคือน้องเล็กผู้ซื่อสัตย์

ภาพนี้ทำให้ฉินสือโอวเอ่ยชมออกมาขนานใหญ่ “ชิท ม้าสองตัวนี้สุดยอดไปเลย พวกมันไม่กลัวหมีสีน้ำตาลเลยเหรอเนี่ย? นี่มันหาได้ยากสุดๆ ไปเลย”

เห็นได้ชัดว่าคาปริโนเข้าใจม้าของเขามากกว่า เขาจึงพูดอธิบายด้วยความเก้อเขินว่า “ผมกล้าพูดเลยว่าพวกมันไม่ได้ไม่กลัว แต่กำลังช็อกอยู่ต่างหาก ตอนนี้คงพากันกลัวจนไม่กล้าวิ่งหนี”

ฉงต้าตบหน้าผากลูกม้าอยู่ไม่กี่ทีก็หันหลังกลับแล้วเดินกลับไป แต่เดินไปได้ไม่กี่ก้าวมันก็เห็นว่าเพื่อนใหม่ไม่ได้เดินตามมาด้วย จึงหันกลับไปมองด้วยความประหลาดใจ

ท่อนขาเรียวเล็กของลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวกำลังสั่นระริก พวกมันก็อยากจะก้าวเดิน แต่ดันก้าวขาไม่ออกนี่สิ…

ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์มีรูปลักษณ์ภายนอกที่สวยงามมาก พวกเชอร์ลี่ย์ที่เพิ่งจะกลับมาจากในเมืองวิ่งกระโดดโลดเต้นเข้ามาหา เมื่อมองเห็นลูกม้าทั้งสองตัวพวกเขาก็ร้องเสียงแหลม แล้วพากันเฮโลพุ่งเข้ามาหาพวกมันทันที

ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ที่กำลังกินหญ้าอยู่ตกใจจนตัวโยน พวกมันหันหัววิ่งหนีทันที กีบเท้าม้าก้าวย่างอย่างนุ่มนวล พวกเด็กๆ วิ่งไล่ตามอยู่ด้านหลังแม้แต่ก้นม้าก็คว้าไว้ไม่ทัน

รอจนวินนี่เลิกงานแล้ว ฉินสือโอวจึงอยากจูงลูกม้าอเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวไปรอที่หน้าประตูทางเข้า เพื่อเซอร์ไพรซ์วินนี่

แต่ปรากฏว่าพวกลูกม้ากลับตกใจเพราะพวกเด็กๆ เสียก่อน เมื่อเห็นว่ามีคนเข้ามาใกล้ พวกมันก็รับสะบัดกีบเท้าวิ่งหนีต่อทันที

ฉินสือโอวจึงโบกมือ แล้วตะโกนว่า “หู่จือเป้าจือ จัดการ จับกลับมาให้ได้!”

หู่จือกับเป้าจือชำนาญในเรื่องการล่าสัตว์เป็นอย่างยิ่ง ตัวหนึ่งไล่ตามไปโจมตีตรงๆ ส่วนอีกตัวก็ตีปีกโอบล้อมลูกม้าจากทางด้านข้าง นี่เป็นยุทธวิธีแบบฉบับดั้งเดิมของพวกมัน

ทว่าคราวนี้ยุทธวิธีนี้กลับใช้ไม่ได้ผลแล้ว พวกมันเหมาะที่จะใช้วิธีนี้ในการจัดการฝ่ายตรงข้ามที่มีขนาดตัวเล็กกว่าพวกมันเท่านั้น อย่างลูกม้าอเมริกัน เพนต์สองตัวนี้ ทั้งหู่จือและเป้าจือต่างก็ไม่มีใครมีร่างกายสูงใหญ่ ต่อให้ตามพวกมันทันแล้วยังไงล่ะ? ลูกม้าไม่ได้กลัวพวกมัน ไม่มีทางถูกพวกมันไล่ต้อนให้วิ่งกลับมาแน่

เป้าจือปิดล้อมพวกมันไว้จากทางด้านข้าง ถึงแม้ว่าจะสามารถปิดกั้นเส้นทางเอาไว้ได้ ทว่าลูกม้าอเมริกัน เพนต์หัวดำก็เลือกที่จะพุ่งเข้าชนมันอย่างไร้อารยะ ‘ปัง’ เมื่อเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นมา เป้าจือก็ม้วนกลิ้งออกไปราวกับลูกโบวลิ่ง…

แม้กระทั่งหู่จือกับเป้าจือก็จับลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ไว้ไม่ได้ ฉินสือโอวก็เริ่มปวดกระบาลขึ้นมาแล้ว เวรเอ๊ย ถ้ารู้ตั้งแต่แรกเขาคงไม่กล้าเลี้ยงลูกม้าทั้งสองตัวแบบปล่อยหรอก ดีเลยล่ะคราวนี้ รับกรรมที่ตัวเองก่อไว้ซะ

แบล็คไนฟ์เห็นฉินสือโอวหน้านิ่วคิ้วขมวดอยู่ทางนั้น เขาเลยถามขึ้นมาว่า “บอส คุณอยากคล้องม้าสองตัวนั้นไว้เหรอครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้าพร้อมกับกล่าวว่า “ใช่ แต่หู่จือกับเป้าจือจับพวกมันไว้ไม่ได้ แถมเจ้าสองตัวนั้นก็ยังเด็กเกินไป ฉันเลยไม่กล้าจับพวกมันด้วยวิธีที่รุนแรงเกินไป”

แบล็คไนฟ์หัวเราะออกมา เขาถอดเสื้อตัวนอกออกเผยให้เห็นกล้ามเนื้อแข็งแรงราวกับหินผา แล้วพูดขึ้นมาว่า “คอยดูผมแล้วกันนะครับ บอส ผมพูดได้แค่ว่านี่น่ะเรื่องกล้วยๆ!”

พอพูดจบ แบล็คไนฟ์ก็ตะโกนใส่วิทยุสื่อสารว่า “แอร์แบ็ค ออกมาคล้องม้าที!”

เห็นท่าทางของแบล็คไนฟ์เป็นแบบนี้ ฉินสือโอวก็นึกว่าเขาจะร่วมมือกับแอร์แบ็ค ปรากฏว่าหลังจากแอร์แบ็ควิ่งออกมาหาแล้ว เขาก็เล่าความต้องการของฉินสือโอวให้ฟังคร่าวๆ หลังจากนั้นแอร์แบ็คจึงแผ่มือออกพร้อมกับพูดว่า “โอเค ใช้เวลามากที่สุดแค่ห้านาทีเท่านั้น เดี๋ยวแอร์แบ็คก็พาพวกมันกลับมาได้แล้วละครับ”

ฉินสือโอวถามว่า “แอร์แบ็คคล้องม้าได้ด้วยเหรอ?”

แบล็คไนฟ์จึงพูดอย่างภูมิใจนำเสนอว่า “บอส คุณต้องลืมบ้านเกิดของแอร์แบ็คไปแล้วแน่ๆ เขาคือคาวบอยจากเมืองแดลลัส รัฐเท็กซัส เขาคล้องม้าเป็นก่อนจะรู้จักช่วยตัวเองเป็นเสียอีก”

ฉินสือโอวมองดูแบล็คไนฟ์ แล้วพูดขึ้นมาว่า “ก็ถ้าอย่างนั้น งั้นฉันขอถามหน่อยว่านายถอดเสื้อผ้าท่อนบนทำไม?”

แบล็คไนฟ์หัวเราะแห้งๆ พูดพึมๆ พำๆ ว่า “อากาศร้อน อากาศมันร้อนนิดหน่อยน่ะ”

แอร์แบ็คขึ้นไปบนเรือเพื่อหาเชือกมาคล้องเป็นบ่วงบาศ ต่อจากนั้นเขาก็ขับรถเอทีวีออกไปไล่ตามลูกม้าทั้งสองตัวด้วยความเร็วราวกับติดปีก

เห็นรถเอทีวีเข้าเคลื่อนเข้ามา ลูกม้าทั้งสองก็ยิ่งรู้สึกกลัว พวกมันสะบัดกีบเท้าแยกกันวิ่งหนี แอร์แบ็คไล่ตามลูกม้าหัวสีดำวาวก่อน เขาใช้มือข้างหนึ่งบังคับรถเอทีวี ส่วนมืออีกข้างก็จับบ่วงเชือกแล้วควงมันให้เป็นวงกลม

แอร์แบ็คแขวนมันไว้ที่ด้านหลังม้าหัวสีดำตัวนั้นก่อน เขาไล่ตามมันอยู่สองนาทีกว่าๆ โดยที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร เมื่อเป็นเช่นนี้จิตใจที่คอยระแวดระวังของม้าหัวสีดำก็เริ่มหายไป มันค่อยๆ ลดระดับความเร็วในการวิ่งลงอย่างช้าๆ ทั้งยังหันกลับมามองรถเอทีวีด้วยความประหลาดใจอีกด้วย

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท