ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1315 ภาษีที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง

บทที่ 1315 ภาษีที่ทำให้รู้สึกสิ้นหวัง

แบรนดอนเป็นคนที่มีอายุมากที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งสี่คน ตอนที่ไปจัดการเรื่องสมบัติใต้น้ำ เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปมากนัก ถึงอย่างไรหน้าที่เรื่องการโอนเงินและขั้นตอนการชำระภาษีที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบก็ไม่เคยเกิดปัญหามาก่อน

ทว่าคราวนี้เขาได้เผยบุคลิกแบบพี่ใหญ่ที่น่านับถือออกมาให้เห็นแล้ว “จัดการแร่ทองคำเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก ก็แค่แร่ทองคำสกัดอย่างหยาบๆ หนึ่งพันตันเองไม่ใช่เหรอ? ลองฟังวิธีของฉันดู ฉันคิดไตร่ตรองมานานแล้ว”

ทั้งสามคนมองไปที่เขา เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “แร่ทองคำหนึ่งพันตันที่งมขึ้นมาได้จากเรือหนึ่งลำดูไม่น่าเชื่อถือเกินไป พวกเราสามารถขยายให้มันใหญ่กว่านี้ได้อีก ด้วยการหากลุ่มเรือที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือหนึ่งกอง! แล้วพวกเราก็ยังต้องปล่อยข่าวออกไปด้วย พอถึงเวลานั้นก็ค่อยทิ้งแร่ทองคำสักสิบตันลงไป แล้วให้บริษัทกู้สมบัติใต้น้ำเข้ามาจัดการ”

ฉินสือโอวไหวไหล่ “ทำไมต้องทำอย่างนั้น? นี่ก็เป็นเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐอยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”

“ขยายกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเรื่องนี้ และเป็นการลดความเสี่ยงที่พวกเราจะถูกตรวจสอบ” แบรนดอนกล่าว

ทั้งสามคนพยักหน้ารับเพื่อบอกเป็นนัยว่าพวกเขาเข้าใจแล้ว แบรนดอนก็พูดต่ออีกว่า “แต่เรื่องที่ฉันยังต้องคิดอยู่คือ เราควรจะจัดการเรื่องนี้ที่อเมริกา ทำไมถึงต้องมาจัดการที่แคนาดา? การเก็บภาษีของแคนาดาน่ากลัวเกินไป อย่าจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่นี่เลย”

แคนาดาถูกเรียกว่า “ประเทศแห่งภาษีหลักหมื่น” ระบบงานที่เกี่ยวกับการเก็บภาษีของพวกเขามีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ยากที่จะใช้ตัวเลขเพียงจำนวนเดียวมาอธิบายว่าผู้คนต้องชำระภาษีเป็นจำนวนเงินเท่าไร

แต่ว่าก็ยังมีวิธีคิดคำนวณอย่างง่ายๆ อยู่หนึ่งวิธี นั่นก็คือแคนาดามีวันหยุดที่ได้รับการยอมรับเนื่องจากการปฏิบัติมาอย่างยาวนานที่เรียกว่า “วันอิสรภาพจากภาษี” เป็นวันหยุดตามเทศกาลที่ประชากรแคนาดาเกลียดชังที่สุด

แค่เห็นชื่อก็ทราบได้ถึงความหมายของมัน วันหลังจากวันอิสรภาพจากภาษีรายรับของทุกๆ คนก็จะเป็นอิสระแล้ว เงินที่หามาได้หลังจากวันนี้จึงจะเป็นเงินของพวกเขาอย่างแท้จริง แต่ก่อนหน้าวันนี้หนึ่งวัน เงินส่วนใหญ่ที่ผู้คนหามาได้ล้วนแต่ต้องนำมาชำระภาษีทั้งสิ้น เงินที่หามาได้หลังจากวันนี้ถึงจะเข้ากระเป๋าเงินของพวกเขาเอง

วันอิสรภาพจากภาษีของปีนี้คือวันที่ 8 เดือนมิถุนายน ซึ่งสามารถพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า เงินที่ชาวแคนาดาหามาได้ก่อนที่จะถึงวันนี้ เงินที่หามาได้ทั้งหมดก็เพิ่งจะเพียงพอสำหรับชำระภาษีของปีนี้พอดี

แน่นอนว่า วันหยุดนี้มีไว้สำหรับชนชั้นคนทำงานกินเงินเดือนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สำหรับคนที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ อย่างฉินสือโอวกับคนเร่ร่อนพวกนั้น วันหยุดพวกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นแล้ว

แต่จากจุดนี้ก็สามารถเห็นได้แล้วว่าการเก็บภาษีของแคนาดาน่ากลัวมากแค่ไหน ชาวต่างชาติมองเห็นเพียงสวัสดิการพิเศษของประเทศนี้ จึงพากันอพยพย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ รอจนย้ายถิ่นฐานเข้ามาปักหลักอยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้วถึงจะรู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองถูกหลอก ภาษีที่ต้องจ่ายจะทำให้พวกเขาตกใจจนฉี่แทบราดเลยล่ะ

นอกจากนี้แล้ว สถาบันเฟรเซอร์ที่มีชื่อเสียงก็ได้สร้างวิธีรวบรวมสถิติขึ้นมาหนึ่งวิธี พวกเขาเลียนแบบ “ดัชนีราคาผู้บริโภค” ในดัชนีราคารวมของสำนักงานสถิติ ในการสร้าง “ดัชนีชี้วัดภาษีผู้บริโภคของแคนาดา” ขึ้นมา

แคนาดามีการเก็บภาษีที่หลากหลาย รวมไปถึงภาษีประเภทต่างๆ ที่ต้องจ่ายให้กับสหพันธรัฐ และรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐ อย่างเช่น ภาษีเงินได้ ภาษีเงินเดือน ภาษีสุขภาพอนามัย ภาษีการค้า ภาษีอสังหาริมทรัพย์ ภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง ภาษีรถยนต์ ภาษีนำเข้าและภาษีเหล้า-บุหรี่เป็นต้น

หลังจากนำภาษีพวกนี้มารวมกันแล้ว การเก็บภาษีรวมของครอบครัวชาวแคนาดาในปีที่แล้ว รวมแล้วอยู่ที่ 33,272 ดอลลาร์แคนาดา ครองอัตราส่วน 42.1% ของรายได้เฉลี่ย 79,010 ดอลลาร์ ต่อครอบครัว ตามผลการวิจัยของสถาบันเฟรเซอร์ นี่สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของโลกได้เลย

ยังมีบางประเทศที่สุดยอดยิ่งกว่านี้ อย่างเช่นตัวเลขดัชนีของสวีเดนที่สูงถึง 56.6% เดนมาร์ก 55% อารูบา แน่นอนว่าประเทศเหล่านี้มีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนและคนรวยน้อยที่สุด อีกทั้งประชากรในประเทศก็ยังมีสวัสดิการที่ดีที่สุดอีกด้วย

ฉินสือโอวควักมือถือออกมาลองคำนวณ ‘ติ้กๆ ติ้กๆ’ ดูอยู่สักพัก จากนั้นก็ถอนหายใจพูดว่า “เวรเอ๊ย เมื่อก่อนฉันคิดมาตลอดเลยว่าคราวนี้จะได้กลายเป็นมหาเศรษฐีจากทรัพย์สมบัติที่เพิ่มเป็นสองเท่า แต่ที่จริงแล้วเงินที่ฉันจะได้ก็มีอยู่ไม่เท่าไรเองไม่ใช่เหรอ? อย่างน้อยๆ ก็ต้องจ่ายภาษีตั้ง 50% ต่อให้ฉันจะได้ส่วนแบ่งถึงสองร้อยล้าน แต่ก็ต้องจ่ายภาษีตั้งหนึ่งร้อยล้านน่ะเหรอ?!”

เมื่อพูดจบ เขาก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ “ครั้งที่แล้วๆ มาไม่ได้จ่ายเยอะขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ?”

พวกเขาเคยนำผลงานศิลปะไปประมูลหลายครั้งแล้ว เมื่อก่อนฉินสือโอวก็เคยลองคำนวณดูแล้ว ทุกๆ ครั้งที่จ่ายภาษีก็ไม่ถึง 20% และไม่มีทางถึง 50% อย่างแน่นอน

แบรนดอนกล่าวว่า “ใช่แล้ว ที่ผ่านมาไม่ได้จ่ายเยอะขนาดนั้น เมื่อก่อนฉันใช้บริษัทจำลองเพื่อทำการหลบเลี่ยงภาษีทุกครั้ง นายต้องรู้ด้วยว่าหลายๆ แห่งบนโลกใบนี้ที่มีการเก็บภาษีที่ค่อนข้างต่ำ อย่างเช่นที่มาเก๊า ที่มีการเก็บภาษีแค่ 12% เท่านั้น ต่อให้รวมเงินติดสินบนทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีทางถึงครึ่งหนึ่งของ 50%”

“แต่ถ้านำแร่ทองคำมาจัดการที่แคนาดา หากคิดจะทำการเลี่ยงภาษีในต่างประเทศอีกมันก็ไม่ง่ายอย่างนั้นแล้วล่ะ แคนาดามีการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับภาษีที่เข้มงวดกว่าที่อเมริกา โดยเฉพาะเรื่องตามจับภาษีนอกประเทศนะ ฟัค แม่งเอาจริงเอาจังสุดๆ ไปเลย!”

เมื่อปรึกษากันอย่างนี้แล้ว ฉินสือโอวกับบิลลี่ก็ตกตะลึงไปเลย ดูท่าว่าถ้าจัดการแร่ทองคำที่อเมริกาคงจะคุ้มทุนที่สุด ภาษีกว่าครึ่งหนึ่ง นี่นับว่ามีมูลค่าที่สูงเกินไปแล้ว

“หรือพวกเราจะทำเรื่องนี้ที่อเมริกา?” ฉินสือโอวถอนหายใจแล้วถามออกมา น่าหดหู่จริงๆ “ฉันกังวลว่าถ้าพวกที่วอร์ชิงตันรู้เรื่องแร่ทองคำของพวกเรา แล้วจะส่งกองทัพเรือมาปล้นไปจากเรา”

ตามกฎหมายว่าด้วยการค้นพบที่กำหนดใช้ทั่วโลก หากพวกเขางมแร่ทองคำพวกนี้ขึ้นมาแล้วนำขึ้นฝั่งที่อเมริกา พวกเขาก็ต้องประกาศเรื่องนี้ผ่านทางสื่อก่อนเป็นอันดับแรก

กฎหมายว่าด้วยการค้นพบเป็นกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับการงมสมบัติที่มีผลบังคับใช้มานานกว่าครึ่งศตวรรษ เดิมทีกฎหมายข้อนี้ไม่ได้ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองเรือหรือสมบัติที่อับปางลงใต้น้ำ แต่ใช้สำหรับทรัพย์สมบัติที่ไม่เคยมีเจ้าของมาก่อนอย่างวาฬ ปลา และสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ

ต่อมาเนื่องจากการงมสมบัติในทะเลต่างประเทศเป็นที่นิยมขึ้น กฎหมายว่าด้วยการค้นพบจึงค่อยๆ ถูกนำมาใช้กับซากเรืออับปาง บรรดานักกฎหมายจึงเชื่อว่า นั่นเป็นเพราะเวลาผ่านมาหลายปีแล้ว เรือที่อับปางลงก็หมายถึงสิ่งที่เจ้าของเดิมทิ้งไว้ กลายเป็นของที่ไม่มีเจ้าของเหมือนกันกับสัตว์ทะเล

เกี่ยวกับเรื่องบริษัทกู้ซากเรือ กฎหมายว่าด้วยการค้นพบถือเป็นสิ่งที่ดี สามารถอธิบายกฎหมายข้อนี้อย่างง่ายๆ ได้ว่า “ใครหาเจอก็ให้คนนั้น” ดังนั้นในปัจจุบันเรือที่งมขึ้นมาได้จากน่านน้ำนานาชาติจึงเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติแบบนี้แทบจะทั้งหมด ใครค้นพบจุดที่มีซากเรืออับปางแล้วกู้มันขึ้นมาสมบัติที่ได้ก็จะเป็นของคนนั้น

ด้วยเหตุนี้ ภายใต้สถานการณ์ปกติการป่าวประกาศข่าวเรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหา ใครเป็นคนค้นพบ คนนั้นเป็นคนกู้ขึ้นมา และของที่ได้ก็จะตกเป็นของผู้นั้น นี่มีการคุ้มครองจากกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้ขุดค้นธรรมดาๆ จะไม่สามารถแย่งชิงไปได้ ต่อให้จะประกาศข่าวที่มีความเกี่ยวข้องกันออกไปก็ไม่เป็นปัญหา

ทว่า รัฐบาลอเมริกามีความสามารถในการทำเรื่องนี้ ถ้าพวกมันได้ข่าวแล้วรีบทำตัดหน้าไปก่อน แล้วจะทำอย่างไรกันล่ะคราวนี้?

หลังจากที่ฉินสือโอวพูดถึงความวิตกกังวลของเขาออกไปแล้ว แบรนดอนกับเบลคก็ส่ายหัว แล้วพูดว่า “นายกังวลจนเกินเหตุแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก ทองคำแค่สิบตัน ไม่มีค่าพอให้รัฐบาลอเมริกาต้องลงมือเองหรอก”

บิลลี่ก็พยักหน้าพูดเสริมว่า “ใช่แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย รัฐบาลอเมริกาไม่ได้ชั่วร้ายถึงขั้นนั้นหรอก”

ฉินสือโอวมองหน้าเขาพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมก่อนหน้านี้นายถึงได้เห็นด้วยกับฉันที่บอกให้เอาแร่มาจัดการที่แคนาดาล่ะ?”

บิลลี่ทอดถอนใจด้วยความเศร้าแล้วกล่าวว่า “เราสองคนไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเดียวกัน ปกติแล้วพวกนายไม่ได้ติดตามข่าวคราวด้านนี้ เลยไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ไอ้พวกวอชิงตันพวกนั้นไม่ได้แค่กำหนดกฎหมายว่าด้วยเรืออับปางที่ถูกละทิ้งขึ้นมาเอง แต่พวกมันยังคิดที่จะยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการค้นพบที่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ไปใช้ร่างอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำของยูเนสโกแทนอีกต่างหาก”

“นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีก?” ฉินสือโอวไม่ได้ติดตามข่าวในด้านนี้จริงๆ เบลคก็พอจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง ทว่าไม่ได้ติดตามอย่างจริงจัง ส่วนแบรนดอนน่ะเหรอ? ตอนนี้เขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เลยยิ่งไม่รู้เรื่องนี้เข้าไปใหญ่

……………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท