แบรนดอนเป็นคนที่มีอายุมากที่สุดในบรรดาพวกเขาทั้งสี่คน ตอนที่ไปจัดการเรื่องสมบัติใต้น้ำ เขาไม่ได้แสดงท่าทีอะไรออกไปมากนัก ถึงอย่างไรหน้าที่เรื่องการโอนเงินและขั้นตอนการชำระภาษีที่เขาเป็นผู้รับผิดชอบก็ไม่เคยเกิดปัญหามาก่อน
ทว่าคราวนี้เขาได้เผยบุคลิกแบบพี่ใหญ่ที่น่านับถือออกมาให้เห็นแล้ว “จัดการแร่ทองคำเป็นเรื่องที่ทำได้ไม่ยาก ก็แค่แร่ทองคำสกัดอย่างหยาบๆ หนึ่งพันตันเองไม่ใช่เหรอ? ลองฟังวิธีของฉันดู ฉันคิดไตร่ตรองมานานแล้ว”
ทั้งสามคนมองไปที่เขา เขาชะงักไปพักหนึ่งแล้วพูดขึ้นมาว่า “แร่ทองคำหนึ่งพันตันที่งมขึ้นมาได้จากเรือหนึ่งลำดูไม่น่าเชื่อถือเกินไป พวกเราสามารถขยายให้มันใหญ่กว่านี้ได้อีก ด้วยการหากลุ่มเรือที่จมอยู่ใต้มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือหนึ่งกอง! แล้วพวกเราก็ยังต้องปล่อยข่าวออกไปด้วย พอถึงเวลานั้นก็ค่อยทิ้งแร่ทองคำสักสิบตันลงไป แล้วให้บริษัทกู้สมบัติใต้น้ำเข้ามาจัดการ”
ฉินสือโอวไหวไหล่ “ทำไมต้องทำอย่างนั้น? นี่ก็เป็นเงินหลายล้านดอลลาร์สหรัฐอยู่เหมือนกันไม่ใช่เหรอ?”
“ขยายกลุ่มคนที่ได้รับผลประโยชน์ให้ใหญ่ขึ้น เพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือให้กับเรื่องนี้ และเป็นการลดความเสี่ยงที่พวกเราจะถูกตรวจสอบ” แบรนดอนกล่าว
ทั้งสามคนพยักหน้ารับเพื่อบอกเป็นนัยว่าพวกเขาเข้าใจแล้ว แบรนดอนก็พูดต่ออีกว่า “แต่เรื่องที่ฉันยังต้องคิดอยู่คือ เราควรจะจัดการเรื่องนี้ที่อเมริกา ทำไมถึงต้องมาจัดการที่แคนาดา? การเก็บภาษีของแคนาดาน่ากลัวเกินไป อย่าจัดการเรื่องเงินๆ ทองๆ ที่นี่เลย”
แคนาดาถูกเรียกว่า “ประเทศแห่งภาษีหลักหมื่น” ระบบงานที่เกี่ยวกับการเก็บภาษีของพวกเขามีความซับซ้อนเป็นอย่างมาก ยากที่จะใช้ตัวเลขเพียงจำนวนเดียวมาอธิบายว่าผู้คนต้องชำระภาษีเป็นจำนวนเงินเท่าไร
แต่ว่าก็ยังมีวิธีคิดคำนวณอย่างง่ายๆ อยู่หนึ่งวิธี นั่นก็คือแคนาดามีวันหยุดที่ได้รับการยอมรับเนื่องจากการปฏิบัติมาอย่างยาวนานที่เรียกว่า “วันอิสรภาพจากภาษี” เป็นวันหยุดตามเทศกาลที่ประชากรแคนาดาเกลียดชังที่สุด
แค่เห็นชื่อก็ทราบได้ถึงความหมายของมัน วันหลังจากวันอิสรภาพจากภาษีรายรับของทุกๆ คนก็จะเป็นอิสระแล้ว เงินที่หามาได้หลังจากวันนี้จึงจะเป็นเงินของพวกเขาอย่างแท้จริง แต่ก่อนหน้าวันนี้หนึ่งวัน เงินส่วนใหญ่ที่ผู้คนหามาได้ล้วนแต่ต้องนำมาชำระภาษีทั้งสิ้น เงินที่หามาได้หลังจากวันนี้ถึงจะเข้ากระเป๋าเงินของพวกเขาเอง
วันอิสรภาพจากภาษีของปีนี้คือวันที่ 8 เดือนมิถุนายน ซึ่งสามารถพูดได้อีกอย่างหนึ่งว่า เงินที่ชาวแคนาดาหามาได้ก่อนที่จะถึงวันนี้ เงินที่หามาได้ทั้งหมดก็เพิ่งจะเพียงพอสำหรับชำระภาษีของปีนี้พอดี
แน่นอนว่า วันหยุดนี้มีไว้สำหรับชนชั้นคนทำงานกินเงินเดือนเพียงอย่างเดียวเท่านั้น สำหรับคนที่ร่ำรวยเป็นอันดับต้นๆ อย่างฉินสือโอวกับคนเร่ร่อนพวกนั้น วันหยุดพวกนี้ก็ไม่ใช่สิ่งจำเป็นแล้ว
แต่จากจุดนี้ก็สามารถเห็นได้แล้วว่าการเก็บภาษีของแคนาดาน่ากลัวมากแค่ไหน ชาวต่างชาติมองเห็นเพียงสวัสดิการพิเศษของประเทศนี้ จึงพากันอพยพย้ายถิ่นฐานมาที่นี่ รอจนย้ายถิ่นฐานเข้ามาปักหลักอยู่ที่นี่เรียบร้อยแล้วถึงจะรู้ว่าจริงๆ แล้วตัวเองถูกหลอก ภาษีที่ต้องจ่ายจะทำให้พวกเขาตกใจจนฉี่แทบราดเลยล่ะ
นอกจากนี้แล้ว สถาบันเฟรเซอร์ที่มีชื่อเสียงก็ได้สร้างวิธีรวบรวมสถิติขึ้นมาหนึ่งวิธี พวกเขาเลียนแบบ “ดัชนีราคาผู้บริโภค” ในดัชนีราคารวมของสำนักงานสถิติ ในการสร้าง “ดัชนีชี้วัดภาษีผู้บริโภคของแคนาดา” ขึ้นมา
แคนาดามีการเก็บภาษีที่หลากหลาย รวมไปถึงภาษีประเภทต่างๆ ที่ต้องจ่ายให้กับสหพันธรัฐ และรัฐบาลท้องถิ่นของแต่ละรัฐ อย่างเช่น ภาษีเงินได้ ภาษีเงินเดือน ภาษีสุขภาพอนามัย ภาษีการค้า ภาษีอสังหาริมทรัพย์ ภาษีน้ำมันเชื้อเพลิง ภาษีรถยนต์ ภาษีนำเข้าและภาษีเหล้า-บุหรี่เป็นต้น
หลังจากนำภาษีพวกนี้มารวมกันแล้ว การเก็บภาษีรวมของครอบครัวชาวแคนาดาในปีที่แล้ว รวมแล้วอยู่ที่ 33,272 ดอลลาร์แคนาดา ครองอัตราส่วน 42.1% ของรายได้เฉลี่ย 79,010 ดอลลาร์ ต่อครอบครัว ตามผลการวิจัยของสถาบันเฟรเซอร์ นี่สามารถจัดอยู่ในสิบอันดับแรกของโลกได้เลย
ยังมีบางประเทศที่สุดยอดยิ่งกว่านี้ อย่างเช่นตัวเลขดัชนีของสวีเดนที่สูงถึง 56.6% เดนมาร์ก 55% อารูบา แน่นอนว่าประเทศเหล่านี้มีความเหลื่อมล้ำระหว่างคนจนและคนรวยน้อยที่สุด อีกทั้งประชากรในประเทศก็ยังมีสวัสดิการที่ดีที่สุดอีกด้วย
ฉินสือโอวควักมือถือออกมาลองคำนวณ ‘ติ้กๆ ติ้กๆ’ ดูอยู่สักพัก จากนั้นก็ถอนหายใจพูดว่า “เวรเอ๊ย เมื่อก่อนฉันคิดมาตลอดเลยว่าคราวนี้จะได้กลายเป็นมหาเศรษฐีจากทรัพย์สมบัติที่เพิ่มเป็นสองเท่า แต่ที่จริงแล้วเงินที่ฉันจะได้ก็มีอยู่ไม่เท่าไรเองไม่ใช่เหรอ? อย่างน้อยๆ ก็ต้องจ่ายภาษีตั้ง 50% ต่อให้ฉันจะได้ส่วนแบ่งถึงสองร้อยล้าน แต่ก็ต้องจ่ายภาษีตั้งหนึ่งร้อยล้านน่ะเหรอ?!”
เมื่อพูดจบ เขาก็เริ่มรู้สึกไม่แน่ใจ “ครั้งที่แล้วๆ มาไม่ได้จ่ายเยอะขนาดนั้นไม่ใช่เหรอ?”
พวกเขาเคยนำผลงานศิลปะไปประมูลหลายครั้งแล้ว เมื่อก่อนฉินสือโอวก็เคยลองคำนวณดูแล้ว ทุกๆ ครั้งที่จ่ายภาษีก็ไม่ถึง 20% และไม่มีทางถึง 50% อย่างแน่นอน
แบรนดอนกล่าวว่า “ใช่แล้ว ที่ผ่านมาไม่ได้จ่ายเยอะขนาดนั้น เมื่อก่อนฉันใช้บริษัทจำลองเพื่อทำการหลบเลี่ยงภาษีทุกครั้ง นายต้องรู้ด้วยว่าหลายๆ แห่งบนโลกใบนี้ที่มีการเก็บภาษีที่ค่อนข้างต่ำ อย่างเช่นที่มาเก๊า ที่มีการเก็บภาษีแค่ 12% เท่านั้น ต่อให้รวมเงินติดสินบนทั้งหมดแล้ว ก็ไม่มีทางถึงครึ่งหนึ่งของ 50%”
“แต่ถ้านำแร่ทองคำมาจัดการที่แคนาดา หากคิดจะทำการเลี่ยงภาษีในต่างประเทศอีกมันก็ไม่ง่ายอย่างนั้นแล้วล่ะ แคนาดามีการบังคับใช้กฎหมายเกี่ยวกับภาษีที่เข้มงวดกว่าที่อเมริกา โดยเฉพาะเรื่องตามจับภาษีนอกประเทศนะ ฟัค แม่งเอาจริงเอาจังสุดๆ ไปเลย!”
เมื่อปรึกษากันอย่างนี้แล้ว ฉินสือโอวกับบิลลี่ก็ตกตะลึงไปเลย ดูท่าว่าถ้าจัดการแร่ทองคำที่อเมริกาคงจะคุ้มทุนที่สุด ภาษีกว่าครึ่งหนึ่ง นี่นับว่ามีมูลค่าที่สูงเกินไปแล้ว
“หรือพวกเราจะทำเรื่องนี้ที่อเมริกา?” ฉินสือโอวถอนหายใจแล้วถามออกมา น่าหดหู่จริงๆ “ฉันกังวลว่าถ้าพวกที่วอร์ชิงตันรู้เรื่องแร่ทองคำของพวกเรา แล้วจะส่งกองทัพเรือมาปล้นไปจากเรา”
ตามกฎหมายว่าด้วยการค้นพบที่กำหนดใช้ทั่วโลก หากพวกเขางมแร่ทองคำพวกนี้ขึ้นมาแล้วนำขึ้นฝั่งที่อเมริกา พวกเขาก็ต้องประกาศเรื่องนี้ผ่านทางสื่อก่อนเป็นอันดับแรก
กฎหมายว่าด้วยการค้นพบเป็นกฎหมายระหว่างประเทศเกี่ยวกับการงมสมบัติที่มีผลบังคับใช้มานานกว่าครึ่งศตวรรษ เดิมทีกฎหมายข้อนี้ไม่ได้ถูกบัญญัติขึ้นเพื่อคุ้มครองเรือหรือสมบัติที่อับปางลงใต้น้ำ แต่ใช้สำหรับทรัพย์สมบัติที่ไม่เคยมีเจ้าของมาก่อนอย่างวาฬ ปลา และสัตว์ทะเลชนิดต่างๆ
ต่อมาเนื่องจากการงมสมบัติในทะเลต่างประเทศเป็นที่นิยมขึ้น กฎหมายว่าด้วยการค้นพบจึงค่อยๆ ถูกนำมาใช้กับซากเรืออับปาง บรรดานักกฎหมายจึงเชื่อว่า นั่นเป็นเพราะเวลาผ่านมาหลายปีแล้ว เรือที่อับปางลงก็หมายถึงสิ่งที่เจ้าของเดิมทิ้งไว้ กลายเป็นของที่ไม่มีเจ้าของเหมือนกันกับสัตว์ทะเล
เกี่ยวกับเรื่องบริษัทกู้ซากเรือ กฎหมายว่าด้วยการค้นพบถือเป็นสิ่งที่ดี สามารถอธิบายกฎหมายข้อนี้อย่างง่ายๆ ได้ว่า “ใครหาเจอก็ให้คนนั้น” ดังนั้นในปัจจุบันเรือที่งมขึ้นมาได้จากน่านน้ำนานาชาติจึงเป็นไปตามระเบียบปฏิบัติแบบนี้แทบจะทั้งหมด ใครค้นพบจุดที่มีซากเรืออับปางแล้วกู้มันขึ้นมาสมบัติที่ได้ก็จะเป็นของคนนั้น
ด้วยเหตุนี้ ภายใต้สถานการณ์ปกติการป่าวประกาศข่าวเรื่องนี้จึงไม่เป็นปัญหา ใครเป็นคนค้นพบ คนนั้นเป็นคนกู้ขึ้นมา และของที่ได้ก็จะตกเป็นของผู้นั้น นี่มีการคุ้มครองจากกฎหมายระหว่างประเทศ ผู้ขุดค้นธรรมดาๆ จะไม่สามารถแย่งชิงไปได้ ต่อให้จะประกาศข่าวที่มีความเกี่ยวข้องกันออกไปก็ไม่เป็นปัญหา
ทว่า รัฐบาลอเมริกามีความสามารถในการทำเรื่องนี้ ถ้าพวกมันได้ข่าวแล้วรีบทำตัดหน้าไปก่อน แล้วจะทำอย่างไรกันล่ะคราวนี้?
หลังจากที่ฉินสือโอวพูดถึงความวิตกกังวลของเขาออกไปแล้ว แบรนดอนกับเบลคก็ส่ายหัว แล้วพูดว่า “นายกังวลจนเกินเหตุแล้ว ไม่ต้องห่วงเรื่องนี้หรอก ทองคำแค่สิบตัน ไม่มีค่าพอให้รัฐบาลอเมริกาต้องลงมือเองหรอก”
บิลลี่ก็พยักหน้าพูดเสริมว่า “ใช่แล้ว ไม่ต้องกังวลเรื่องนี้เลย รัฐบาลอเมริกาไม่ได้ชั่วร้ายถึงขั้นนั้นหรอก”
ฉินสือโอวมองหน้าเขาพร้อมกับพูดขึ้นมาว่า “ถ้าอย่างนั้นทำไมก่อนหน้านี้นายถึงได้เห็นด้วยกับฉันที่บอกให้เอาแร่มาจัดการที่แคนาดาล่ะ?”
บิลลี่ทอดถอนใจด้วยความเศร้าแล้วกล่าวว่า “เราสองคนไม่ได้คำนึงถึงเรื่องเดียวกัน ปกติแล้วพวกนายไม่ได้ติดตามข่าวคราวด้านนี้ เลยไม่รู้ว่าสถานการณ์เป็นอย่างไร ไอ้พวกวอชิงตันพวกนั้นไม่ได้แค่กำหนดกฎหมายว่าด้วยเรืออับปางที่ถูกละทิ้งขึ้นมาเอง แต่พวกมันยังคิดที่จะยกเลิกกฎหมายว่าด้วยการค้นพบที่เป็นที่ยอมรับของนานาชาติ ไปใช้ร่างอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองมรดกทางวัฒนธรรมใต้น้ำของยูเนสโกแทนอีกต่างหาก”
“นี่มันเรื่องบ้าอะไรอีก?” ฉินสือโอวไม่ได้ติดตามข่าวในด้านนี้จริงๆ เบลคก็พอจะได้ยินเรื่องนี้มาบ้าง ทว่าไม่ได้ติดตามอย่างจริงจัง ส่วนแบรนดอนน่ะเหรอ? ตอนนี้เขาเอาแต่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องรักๆ ใคร่ๆ เลยยิ่งไม่รู้เรื่องนี้เข้าไปใหญ่
……………………………………………..