ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1334 ความซาบซึ้งของเปากง

บทที่ 1334 ความซาบซึ้งของเปากง

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังพาพวกเด็กๆ เล่นกันวุ่นวายอยู่ทางนี้ วินนี่ก็กำลังเตรียมตัวไปเข้างาน ขับวนไปวนมาอยู่ๆ ก็มาถึงท่าเรือเสียแล้ว เธอตะโกนถามฉินสือโอวว่า “วันนี้คุณทำความสะอาดคอกม้าหรือยังคะ?”

ฉินสือโอวกะพริบตาปริบๆ แล้วถามเธอกลับไปว่า “ยังต้องทำความสะอาดคอกม้าอีกเหรอ?”

วินนี่ก็ไม่รู้จะพูดอย่างไรดี เธอจึงกะพริบตาปริบๆ แล้วถามเขากลับไปเหมือนกัน “คุณจะบอกว่าเปากงตี้หลูจะไม่อึไม่ฉี่ หรือจะบอกว่าพวกมันจะลงมือทำความสะอาดเองอย่างนั้นเหรอคะ?”

แอร์แบ็คที่อยู่ข้างๆ ไหวไหล่พูดว่า “บอส การเลี้ยงม้าไม่ใช่เรื่องง่ายนะครับ เชื่อผมเถอะ ต่อไปม้าสองตัวนี้จะทำให้คุณลำบากแน่ๆ!”

ฉินสือโอวเลี้ยงสัตว์มาหลายปีแล้ว ทั้งเป็ดไก่ห่าน หมูป่ากวางป่าก็มี ทว่าแต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยลำบากเรื่องนี้ เขารู้สึกว่าคอกของพวกมันก็ไม่ได้สกปรกอะไร

แต่เขากลับไม่ได้สังเกตว่าที่คอกเลี้ยงสัตว์ไม่สกปรกนั่นก็เป็นเพราะมีลำธารสายหนึ่งที่น้ำไหลได้เร็วพอไหลผ่าน พวกเป็ดไก่กวางนานๆ เข้าก็รู้จักแก้ปัญหาด้วยตัวเองด้วยการลงไปอาบน้ำในลำธาร

ซึ่งนี่ก็นับว่าเป็นประโยชน์จากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอย่างหนึ่ง

ฉินสือโอวให้แอร์แบ็คไปทำความสะอาด แอร์แบ็คจึงพูดกับเขาว่า “นั่นไม่เป็นปัญหาอยู่แล้วครับ แต่บอสครับ คุณต้องเข้าใจก่อนว่าการช่วยทำคอกสะอาดคอกและรักษาความสะอาดให้กับม้าเป็นวิธีเพิ่มพูนความผูกพันอย่างหนึ่ง แต่ถ้าผมเป็นคนไปทำความสะอาด ผมก็ไม่กล้ารับประกันว่าหลังจากนี้ม้าทั้งสองตัวจะคิดว่าผมเป็นเจ้านายของพวกมันไหม”

ฉินสือโอวกลอกตาอย่างจนปัญญา เขาทำได้แค่เปลี่ยนไปสวมรองเท้าบู๊ตแล้วขับรถคันเล็กไปจัดการปัญหาเรื่องความสะอาดให้ม้าทั้งสองตัว

ตลอดทั้งคืน ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวขับถ่ายไว้หลังก้นของพวกมันหนึ่งกอง อีกทั้งบนพื้นก็มีร่องรอยของปัสสาวะ เรื่องนี้เขาไม่จำเป็นต้องจัดการ คอกม้ามีพื้นรองคอกม้าที่มีความลาดเอียง ปัสสาวะจะไหลลงไปเอง

ฉินสือโอวลากม้าทั้งสองตัวออกมา แล้วใช้แปรงจุ่มน้ำอุ่นเช็ดขนบนร่างกายให้พวกมัน

นี่ไม่ใช่งานง่ายๆ เลย ต้องใช้แปรงหลายชนิดในการแปรงขนทำความสะอาด ทั้งแปรงขนนุ่ม แปรงขนแข็ง แปรงหัวสามเหลี่ยมเป็นต้น นี่เป็นครั้งที่สองที่ฉินสือโอวได้แปรงขนให้พวกมัน เลยยังติดขัดอยู่นิดหน่อย

เชอร์ลี่ย์เดินมือไขว้หลังเข้ามาหา เธอหรี่ตากลมโตแล้วถามเขาด้วยรอยยิ้มว่า “ฉิน อยากให้หนูช่วยไหมคะ?”

ฉินสือโอวเงยหน้าขึ้นไปมองเด็กสาวแวบหนึ่ง แล้วพูดว่า “ต้องจ่ายเงินหรือเปล่า? พูดมาเลยดีกว่า เธอจะเอาเท่าไร?”

เด็กสาวเบะปากเล็กๆ เธอพูดอย่างไม่พอใจว่า “คุณคิดว่าหนูเป็นพวกขี้เหนียวแบบกอร์ดอนเหรอคะ? หนูไม่ได้คิดแต่เรื่องเงินสักหน่อย มาเถอะค่ะ เดี๋ยวหนูช่วยคุณเอง”

ฉินสือโอวช่วยเปากง ส่วนเด็กสาวรับหน้าที่ดูแลตี้หลูต่อ เธอทำตามฉินสือโอวเริ่มแปรงตั้งแต่หน้าผาก ใช้แปรงขัดล้างตัวให้ตี้หลู

เมื่อแปรงขนให้เปากงตั้งแต่หัวจรดหางไปแล้วหนึ่งรอบ ก็เหมือนกับว่าติดตั้งระบบคอมพิวเตอร์ให้ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ใหม่อีกครั้ง จนดูราวกับเพิ่งจะยกเครื่องใหม่ทั่วทั้งตัว

ฉินสือโอวตบลงบนหน้าหน้าผากของเปากงเบาๆ แล้วถอนหายใจออกมา “โอเค เพื่อน ถือว่าช่วยทำความสะอาดให้แกเรียบร้อยแล้วนะ”

ในตอนนี้นี่เองอยู่ๆ เปากงก็ยื่นหัวเข้ามา มันใช้ริมฝีปากดันหน้าของฉินสือโอวอย่างขวยเขิน ตาดวงโตจ้องมองเขาด้วยสายตาไร้เดียงสา

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังจ้องตากับลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ ในขณะนั้นเขาก็อารมณ์ดีขึ้นมาซะเฉยๆ ความเหนื่อยล้าจากการทำงานที่เกิดขึ้นเมื่อสักครู่นี้หายไปอย่างรวดเร็ว เขาเข้าใจสิ่งที่แอร์แบ็คต้องการจะสื่อแล้ว เขาไม่ได้หลอกฉินสือโอว การช่วยดูแลความสะอาดให้ม้าเป็นวิธีการเพิ่มความผูกพันที่ดีมากจริงๆ

เขาใช้มือสางขนบนคอให้ลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ พอสางขนเสร็จแล้วฉินสือโอวก็ตบลงไปบนคอของมันเบาๆ แล้วพูดว่า “เอาล่ะ เด็กดี ออกไปเล่นเถอะ ตอนกลางคืนต้องเป็นเด็กดีแล้วกลับมาที่นี่นะ เข้าใจไหม?”

เด็กสาวทำงานด้วยความละเอียดและเอาใจใส่ เชอร์ลี่ย์ทำความสะอาดตัวให้ตี้หลูได้สะอาดกว่า ขนที่หลังคอของตี้หลูค่อนข้างยาว อายุยังน้อยแค่นี้แต่ขนกลับยาวจนห้อยลงมาข้างล่างแล้ว แบบนี้ไม่น่ามองเท่าไร เชอร์ลี่ย์จึงช่วยถักเปียสั้นแบบง่ายๆ เพื่อเก็บขนที่ห้อยลงมาให้มัน

ตี้หลูร้องออกมาอย่างร่าเริงอยู่สักพัก พอได้ใช้หน้าผากถูกับหน้าอกของเชอร์ลี่ย์แล้วมันถึงเพิ่งจะวิ่งตามเปากงไป ที่ขณะที่กำลังวิ่งก็ยังหันกลับมามองดูเชอร์ลี่ย์

นี่ทำให้เด็กสาวรู้สึกได้ถึงความสำเร็จอย่างที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน เธอจึงพูดกับเขาด้วยความดีใจ “ฉิน ต่อจากนี้ส่งตี้หลูให้หนูนะคะ หนูจะช่วยดูแลเรื่องความสะอาดให้เธอเอง”

ฉินสือโอวพยักหน้ารับพร้อมกับรอยยิ้ม หลังจากนั้นก็ส่งพลั่วให้เชอร์ลี่ย์พร้อมกับพูดให้กำลังใจเธอ “เอาเลย ช่วยดูแลความสะอาดให้มันอย่างดีเลยนะ นับตั้งแต่วันนี้ไปมันเป็นเพื่อนคู่ชีวิตของหนูแล้ว”

เชอร์ลี่ย์ถือพลั่ววิ่งเข้าไปในคอกม้าด้วยความกระตือรือร้น แต่หลังจากนั้นก็วิ่งกลับออกมาทันที เธอส่งพลั่วคืนให้ฉินสือโอว แล้วพูดว่า “หนูแค่จะช่วยเธอทำความสะอาดร่างกาย ส่วนความสะอาดของคอกม้าคุณต้องจัดการเองนะคะ”

มูลสัตว์ในคอกม้าทำความสะอาดได้ง่าย นั่นเป็นเพราะเวลานอนลูกม้าจะยืนอยู่นิ่งๆ ตำแหน่งที่ปล่อยอุจจาระจึงอยู่ในที่เดียวกัน แค่แป๊บเดียวฉินสือโอวก็เก็บกวาดจนสะอาด หลังจากนั้นเขาก็ลากสายยางฉีดน้ำแรงดันสูงเข้ามาแล้วฉีดล้างพื้นรองคอกม้าจนสะอาดหมดจด

เมื่อทำความสะอาดคอกม้าเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวจึงกลับไปขุดหอยงวงช้าง

พวกชาวประมงลงมือทำงานกันแล้ว หอยงวงช้างหาได้ไม่ยาก พวกมันมุดลงไปอาศัยอยู่ในทราย ในเวลาปกติพวกมันจะยื่นท่อส่วนที่เป็นจมูกออกมานอกพื้นทราย หลังจากน้ำทะเลลดระดับลง พวกมันก็จะหดท่อจมูกกลับไป และจะทิ้งรูเอาไว้บนพื้นทรายที่เรียบเสมอกัน

ความรู้ความเข้าใจและเทคนิคในการขุดหาหอยงวงช้างอยู่ที่ตรงนี้ พวกชาวประมงต้องตัดสินว่าหอยงวงช้างตัวที่อยู่ข้างใต้เหมาะที่จะเก็บขึ้นมาหรือไม่จากขนาดของรู

ตลอดทั้งชีวิตหอยงวงช้างจะใช้ชีวิตอยู่ในรูแค่รูเดียว ถ้าออกห่างจากรูเมื่อไรมันก็จะหยุดกินอาหารแล้วหลังจากนั้นก็ตายลงไปในที่สุด หอยงวงช้างที่ขายได้ราคาสูงในตลาดต้องมีขนาดพอดี และไม่เล็กหรือใหญ่จนเกินไป

จะจับหอยงวงช้างตัวใหญ่ขึ้นมาไม่ได้ ทั้งไม่มีราคารสชาติก็ไม่ดี แต่พวกมันมีความสามารถในการแพร่พันธุ์ที่ยอดเยี่ยมมาก จะต้องปล่อยทิ้งไว้ให้พวกมันขยายพันธุ์ต่อ ส่วนหอยงวงช้างตัวเล็กก็มีเนื้อไม่มาก ไม่เหมาะกับการนำมาประกอบอาหารเช่นกัน

หลังจากพวกชาวประมงตัดสินว่าหอยงวงช้างเหมาะที่จะจับขึ้นมาหรือไม่จากปากรูบนพื้นทราย พวกเขาก็จะใช้พลั่วอันเล็กๆ จ้วงลงไปจนถึงส่วนลึกของรูแล้วตักขึ้นมาเหมือนขุดรากของต้นไม้ขึ้นมาพร้อมกับดิน

ต้องดูแลหอยงวงช้างให้สมบูรณ์ เปลือกของพวกมันบางมากทำให้แตกได้ง่าย และถ้าหากเปลือกของหอยงวงช้างแตกเสียหายขึ้นมาพวกมันก็จะตาย เมื่อนำไปขายก็จะไม่ได้ราคา

พวกชาวประมงพกเอาหนังยางติดตัวมาด้วย หลังจากล้างหอยงวงช้างที่ขุดขึ้นมาจนพอจะสะอาดแล้ว พวกเขาก็จะใช้หนังยางรัดเปลือกของพวกมันเอาไว้

ฉินสือโอวรู้ว่าตรงไหนมีหอยงวงช้างอยู่เยอะที่สุด เขาจึงตรงไปยังบริเวณนั้น จนเจอรูที่ท่อจมูกของหอยงวงช้างตัวหนึ่งทิ้งเอาไว้ แต่พอพลั่วตักลงไปก็ได้ยินเสียงดัง ‘ปัก’ เขาจึงรู้ว่าตัวเองทำพลาดแล้วในทันที

เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากขุดหอยงวงช้างตัวนี้ขึ้นมา เปลือกข้างหนึ่งของมันก็ถูกพลั่วทุบจนแตกไปแล้ว

กอร์ดอนผ่านมาทางด้านข้าง เขามองดูแค่แวบเดียวก็หัวเราะออกมาเสียงดัง “ฉิน คุณนี่ทึ่มจริงๆ หอยงวงช้างถูกขุดขึ้นมาตั้งหลายตัวแล้ว มีแค่ของคุณคนเดียวที่เปลือกแตก”

ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม “กอร์ดอน เมื่อก่อนก็มีเด็กที่มาอวดดีกับฉันแบบนี้เหมือนกัน นายรู้ไหมว่าหลังจากนั้นเขาเป็นยังไง?”

“เป็นยังไงเหรอครับ?” เสี่ยวชาร์คถาม

กอร์ดอนจึงหันไปถลึงตาใส่เขาหนึ่งที “จุ้นจ้านจริงๆ”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดังพร้อมกับพูดว่า “ในอนาคตยังไม่รู้ แต่ฉันพอจะรู้สภาพของเขาในตอนนี้นะ ตอนนี้หญ้าบนหลุมศพของเขาสูงตั้งครึ่งเมตรแล้ว!”

“ไม่นะ ฉิน คุณแช่งผมนี่!” กอร์ดอนพูดอย่างไม่พอใจ “คุณทำร้ายผม”

ฉินสือโอวไหวไหล่พูดว่า “ถ้าอย่างนั้นนายจะหาวิธีเอาคืนฉันก็ได้นะ แต่ถ้านายแก้แค้นฉันไม่ได้ ก็อดทนต่อไปเถอะ”

ขุดหอยงวงช้างขึ้นมาอีกสองตัว ฉินสือโอวก็ยังขุดได้ไม่ดี ถ้าไม่เล็กเกินไปก็ใหญ่เกินไปหรือไม่ก็ขุดไปโดนเปลือกของพวกมันจนแตก จนทำให้หอยงวงช้างพวกนี้เสียของไปเปล่าๆ

แต่เขาก็ไม่ได้สนใจ ถือว่าเป็นค่าเรียนก็แล้วกัน เป็นบัตเลอร์เสียอีกที่รู้สึกเจ็บปวดใจ เขาร้องออกมาว่า “ฉิน นายพอได้แล้ว ปล่อยหอยงวงช้างพวกนี้ไปเถอะ ถ้าฉันเป็นนาย ฉันคงไม่ทำต่อแต่ไปพักผ่อนแทนแล้ว”

ฉินสือโอวยังไม่ยอมแพ้ จึงตอบกลับไปว่า “ให้ฉันลองไปฝึกกับชาร์คก่อน ถ้าเป็นแบบนั้นฉันต้องทำได้แน่ๆ”

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท