ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1339 วันรำลึกสงครามโลกครั้งที่สอง

บทที่ 1339 วันรำลึกสงครามโลกครั้งที่สอง

ท้ายที่สุดฉินสือโอวก็ขายปะการังสีแดงให้กับฮิลตันคนน้องในราคาพิเศษลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์จริงๆ โดยมีเงื่อนไขคือฮิลตันคนน้องจะต้องคอยเป็นเส้นสายให้เขา หลังจากนี้เขาจะได้พบกับคนที่คุมอำนาจของตระกูลฮิลตันในปัจจุบันเพื่อพูดคุยถึงความร่วมมือสำหรับแผนงานนี้

ฮิลตันคนน้องตัดสินใจเรื่องความร่วมมือในระดับลึกแบบนี้ไม่ได้ เธอไม่มีอำนาจในการจัดการเรื่องนี้ ถึงแม้ว่าเธอจะถือครองหุ้นส่วนหนึ่งของตระกูล ทว่าหากพูดกันตามความเป็นจริงก็นับว่าเป็นหุ้นเพียงจำนวนน้อยนิด เธอแค่ถือนามสกุลของตระกูลฮิลตันก็เท่านั้น

อย่าว่าแต่ฮิลตันคนน้องเลย แม้แต่พ่อกับบรรดาคุณลุงของเธอที่เป็นผู้ถืออำนาจที่แท้จริงของตระกูลฮิลตันในอเมริกาก็ยังมีอิทธิพลต่อกลุ่มโรงแรมฮิลตันในระดับนานาชาติเพียงผิวเผินเท่านั้น พวกเขาถือครองหุ้นแค่ส่วนหนึ่งในกลุ่มเครือค่ายนี้

แต่ถ้าตระกูลฮิลตันยอมร่วมงานกับอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉิน โครงการนี้ก็จะสามารถเข้าสู่กลุ่มเครือข่ายของโรงแรมฮิลตันในระดับนานาชาติได้แล้ว ดังนั้นฮิลตันคนน้องจึงมีประโยชน์กับเขามาก เธอคือตัวเชื่อมโยงสำหรับโครงการการร่วมมือในครั้งนี้

ฉินสือโอวหวังว่าจะได้ทำงานร่วมกับพวกเขา ต้องรู้ว่าโรงแรมฮิลตันในระดับนานาชาติเป็นหนึ่งในยักษ์ใหญ่แห่งอุตสาหกรรมการบริการของโลก พวกเขาดำเนินธุรกิจโรงแรมระดับไฮเอนด์ 403 แห่งทั่วโลก รวมถึงโรงแรมในเครือฮิลตันอีกกว่า 261 แห่ง

นอกจากนี้ยังร่วมกันกับบริษัทฮิลตันโฮเทลแมเนจเม้นท์ก่อตั้งเครือข่ายพันธมิตรด้านการตลาดเพื่อการโรงแรมระดับโลกโรงแรมที่ ทั้งสองฝ่ายมีการลงทุนในโรงแรมมากกว่า 2,700 แห่งทั่วโลก ในจำนวนนั้นมีโรงแรมมากกว่า 500 แห่งที่ใช้แบรนด์ฮิลตันร่วมกัน อีกทั้งยังมีพนักงานกว่าแปดหมื่นคนในแปดสิบประเทศ

ถ้าหากอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินสามารถยืมชื่อเสียงจากแบรนด์ของพวกเขาเพื่อเป็นลู่ทางในการค้าขาย แบบนั้นฉินสือโอวก็จะสามารถนำแบรนด์ของพวกเขาเข้าสู่ตลาดได้โดยตรง ใช้เวลามากที่สุดแค่สี่ห้าปีก็จะสามารถยึดครองตลาดอาหารทะเลระดับไฮเอนด์ในหลายประเทศทั่วโลกได้สำเร็จ

เมื่อคุยกันเรื่องธุรกิจ ฮิลตันคนน้องก็เปลี่ยนท่าทีเป็นจริงจังขึ้นมา เธอบอกกับฉินสือโอวอย่างชัดเจนว่าเรื่องนี้เธอไม่สามารถตัดสินใจได้เอง ญาติของเธอก็ไม่มีอำนาจในการตัดสินใจเช่นกัน

ฉินสือโอวจึงไหวไหล่แล้วพูดว่า “ไม่เป็นไรครับ ขอแค่คุณช่วยแนะนำผมให้รู้จักกับพ่อของคุณก็พอแล้ว ไม่ว่าจะสำเร็จหรือไม่สำเร็จ ผมก็จะขายปะการังสีแดงชิ้นนั้นครึ่งชิ้นให้กับคุณในราคาลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์เหมือนเดิม”

ฮิลตันคนน้องหัวเราะออกมา “ฉันว่าฉันได้กลิ่นแปลกๆ ล่ะ แต่ใครใช้ให้ฉันชอบปะการังสีแดงชิ้นนั้นกันล่ะ? ฉันยินดีรับข้อเสนอนี้ของคุณ แต่ถ้าคุณยอมมอบมันให้ฉันฟรีๆ ฉันก็คงจะช่วยคุณจัดการเรื่องนี้ได้เยอะมากขึ้นอีกหน่อย”

ฉินสือโอวโน้มตัวเข้าไปตรงหน้าเธอแล้วพูดว่า “คนสวย ผมไม่ใช่คนโง่นะ ถ้าคุณคิดจะหลอกคน ผมว่าคุณไปหลอกพวกตะวันออกกลางจะดีกว่า คนที่นั่นรวยแต่ไม่ค่อยมีสมอง ให้ราคาพิเศษลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ก็เพียงพอสำหรับการแสดงความบริสุทธิ์ใจของผมแล้วไม่ใช่เหรอ?”

ฮิลตันคนน้องถอยไปข้างหลังครึ่งก้าวแล้วพูดว่า “คุณนี่เป็นผู้ชายที่ไม่รู้จักความโรแมนติกเอาซะเลย”

ฉินสือโอวยิ้มพร้อมกับปัดมือ เขาวางแก้วกาแฟราคาหนึ่งร้อยดอลลาร์สหรัฐลง หลังจากนั้นก็หยิบเสื้อผ้าขึ้นมาแล้วเดินจากไป

เธอมองตามแผ่นหลังของเขาไป ฮิลตันคนน้องขมวดคิ้วเหมือนกับกำลังคิดอะไรสักอย่าง แต่ก็ไม่รู้ว่าเป็นเรื่องอะไร

หลังจากออกมาจากร้านกาแฟฉินสือโอวก็โทรหาบัตเลอร์แล้วเล่าความคิดของเขาเกี่ยวกับเรื่องที่จะเป็นพันธมิตรกับโรงแรมฮิลตันให้บัตเลอร์ฟัง

บัตเลอร์ก็พูดกับเขาว่า “นี่เป็นความคิดที่ดีมาก แต่มันก็อาจจะไม่สำเร็จ เงื่อนไขข้อแรกของการร่วมมือกันคือทั้งสองฝ่ายจะต้องมีศักยภาพเท่ากัน แต่ตอนนี้เมื่อเทียบกับมังกรยักษ์ใหญ่อย่างฮิลตันแล้ว พวกเรายังเป็นเพียงหนอนตัวเล็กๆ ที่น่าสงสารเท่านั้น”

ฉินสือโอวจึงตอบกลับไปว่า “มีโอกาสให้ลองดูแล้ว จะลองสักหน่อยก็ไม่เสียหายไม่ใช่เหรอ?”

บัตเลอร์ยอมรับความคิดของเขา “โอเค ตอนนี้นายยังอยู่ที่นิวยอร์กไหม? พวกเรามาเจอกันเพื่อคุยรายละเอียดเกี่ยวกับเรื่องนี้สักหน่อยไหม ถ้าได้ร่วมงานกับโรงแรมฮิลตัน พวกเราทั้งคู่ก็จะไปได้สวยแล้ว”

ฉินสือโอวพูดว่า “ไว้ค่อยคุยกันดีกว่า ฉันต้องกลับแล้ว เดี๋ยวจะต้องไปร่วมกิจกรรมด้วย เป็นกิจกรรมที่สำคัญมาก”

กิจกรรมสำคัญที่ว่าก็คือกิจกรรมวันรำลึกการยุติสงครามโลกครั้งที่สองนั่นเอง

ในแคนาดาระยะเวลาเวลาของสงครามโลกครั้งที่สองที่เป็นที่ยอมรับกันโดยทั่วไปคือการปะทุของสงครามในวันที่ 1 กันยายน 1939 และสิ้นสุดลงเมื่อวันที่ 2 กันยายนในปี 1945 เมื่อเทียบกับประเทศจีนแล้ว ประเทศที่อยู่ห่างไกลจากยุโรปและเอเชียอย่างประเทศแคนาดาถือว่าได้รับความเสียหายจากสงครามน้อยมาก

แต่ชาวแคนาดาก็ให้ความสำคัญกับสงครามครั้งนี้เป็นอย่างมาก ทุกๆ ปีจะมีกิจกรรมการรำลึกที่เกี่ยวข้องกับสงครามครั้งนี้อยู่เป็นจำนวนมาก รัฐบาลในทุกระดับต้องจริงจังกับเรื่องนี้ เป็นเพราะพวกเขาคำนึงถึงผลลัพธ์จากสร้างมาตรการป้องกันร่วมกันนั่นเอง

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองประเทศแคนาดาก็ส่งกองกำลังทหารไปต่อสู้กับพวกนาซีเช่นกัน ทั้งยังสูญเสียไปไม่น้อย แต่แน่นอนว่า ‘ไม่น้อย’ ในที่นี้เปรียบเทียบตามความสามารถในการเข้าร่วมสงครามของแคนาดา ถ้าเทียบกับจีนแล้ว ความสูญเสียของพวกเขามันเทียบกันไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

กิจกรรมรำลึกของนครเซนต์จอห์นในปีนี้ตั้งใจเพิ่มประเด็นหลักในการจัดกิจกรรมขึ้นมาอีกสองอย่าง ประเด็นแรกคือ ‘การอุทิศตนของสตรี’ ส่วนอีกหนึ่งหัวข้อก็คือ ‘การอุทิศตนของชาวจีน’ แฮมเล็ตเป็นผู้เสนอให้เพิ่มสองประเด็นนี้อย่างแข็งขัน โดยมีจุดประสงค์คือการเพื่อเพิ่มสิทธิ์และเสียงของชาวจีนในนครเซนต์จอห์นและยกสถานะของชาวจีนในนครเซนต์จอห์น

แท้ที่จริงแล้ว พูดกันตามจริงเขาต้องการจะใช้วิธีนี้เพื่อเอาใจฉินสือโอวมากกว่า ถึงอย่างไรฉินสือโอวก็เป็นผู้สนับสนุนเงินทุนอันดับหนึ่งในการเลือกตั้งของเขา

จากกลับมาที่ฟาร์มปลาได้ไม่ถึงสองวัน เช้าของวันที่สอง ฉินสือโอวกับวินนี่ก็ต้องรีบเดินทางไปที่นครเซนต์จอห์นแล้ว เนื่องจากกิจกรรมจะจัดต่อเนื่องกันทั้งวัน

ตอนที่ขึ้นมาบนเรือ ชาร์คก็เข้ามารายงานกับเขาว่า “บอส พยายามกลับมาภายในวันนี้ให้เร็วที่สุดนะครับ เมื่อสักครู่เพิ่งจะได้รับข้อความจากกรมอุตุนิยมวิทยา ศูนย์กลางหย่อมความกดอากาศต่ำโคโลราโดจากฝั่งตะวันตกของอเมริกาเริ่มเคลื่อนตัวไปยังทางตอนเหนือของรัฐออนแทรีโอแล้ว นครเซนต์จอห์นจะได้รับอิทธิพลจากขอบของหย่อมความกดอากาศต่ำด้วย อาจจะทำให้มีพายุฝนตกหนัก”

ฉินสือโอวลองถามเขาถึงความเร็วลม ชาร์คจึงบอกว่าความเร็วลมสูงที่สุดอาจจะสูงถึง 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ถ้าโดยเฉลี่ยก็ 50 กิโลเมตร

ฉินสือโอวแสยะปาก ความเร็วลมเท่านี้นับว่าไม่น้อยเลย ตามมาตรฐานการจำแนกระดับพลังงานลม 12 ระดับ ความเร็ว 90 กิโลเมตรต่อชั่วโมงก็เท่ากับลมแรงระดับ 10 พบได้น้อยบนบกซึ่งจะสามารถถอนต้นไม้ขึ้นมาได้เลย คลื่นทะเลจะร้องคำรามซัดสาดอย่างรุนแรง จนอาจจะถึงขั้นสร้างความเสียหายให้กับอาคารและสิ่งก่อสร้าง

ขณะที่กำลังขับเรือเขาลองแหงนหน้ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า ตอนนี้ท้องฟ้าของนครเซนต์จอห์นยังไร้เมฆปกคลุม พระอาทิตย์ลอยสูงส่องแสงสว่างลงมา ไม่สามารถจินตนาการได้เลยว่าหลังจากนี้จะมีพายุลูกใหญ่พัดเข้ามาโจมตี

เรือยอชต์ออกเดินทางด้วยความรวดเร็ว ฉินสือโอวที่ยืนอยู่บนดาดฟ้าเรือสัมผัสได้ถึงกระแสลมเย็นสายหนึ่ง ลมทะเลพัดเข้ามาอย่างเอื่อยๆ ในตอนนี้เริ่มมีกระแสลมอากาศหนาวติดมาด้วยแล้ว

ทางเทศบาลเมืองส่งรถที่จัดขึ้นพิเศษเพื่อมารับพวกเขาทั้งสองคนโดยเฉพาะ แล้วพาพวกเขาตรงไปที่มหาวิหารเซนต์จอห์นเดอะแบ๊พติสท์ทันที ส่วนใหญ่กิจกรรมงานรำลึกแบบนี้มักจะถูกจัดขึ้นในโบสถ์เป็นประจำอยู่แล้ว

แฮมเล็ตพาบรรดาบุคคลสำคัญของในส่วนการปกครองของเมืองไปต้อนรับแขกที่มาร่วมงาน เมื่อฉินสือโอวกับวินนี่เดินทางมาถึง คนแรกที่เข้ามาต้อนรับพวกเขาก็คือซิมมอนส์ผู้ช่วยของแฮมเล็ต พร้อมกับพาพวกเขาไปเดินชมรอบๆ งาน

ห้องหนึ่งของโบสถ์ถูกตกแต่งจนกลายเป็นห้องจัดนิทรรศการ ภายในมีการจัดแสดงนิทรรศการในหัวข้อ โลก สงคราม สตรี เพื่อบอกเล่าถึงการอุทิศตนของผู้หญิงแคนาดาในช่วงสงคราม

ซิมมอนส์กล่าวว่า “พวกเราต้องระลึกถึงทหารที่เสียชีวิตระหว่างการสู้รบในการทำสงคราม แต่จะมองข้ามอาการบาดเจ็บทางความรู้สึกของเหล่าสตรีผู้ยิ่งใหญ่ในช่วงสงครามไม่ได้ กิจกรรมรำลึกที่พวกเราจัดขึ้นในครั้งนี้ จึงมุ่งความสนใจมาที่ด้านนี้ ซึ่งถือเป็นครั้งแรกในนิวฟันด์แลนด์”

วินนี่แอบไหวไหล่ใส่เขาพร้อมกับพูดว่า “ครั้งแรกเหรอ? พวกคุณเอาแต่พูดถึงความเป็นอิสระของสิทธิสตรี คุณดูสิว่าพวกเรามีอิสระแล้วหรือยัง?”

หลังจากที่ซิมมอนส์นำเสนอข้อมูลต่างๆ ให้เขาฟัง ฉินสือโอวถึงได้จะรู้ว่า ถึงแคนาดาจะอยู่ห่างไกลจากสงคราม ทว่าในระหว่างสงครามโลกครั้งที่สอง ยังมีผู้หญิงชาวแคนาดากว่าหมื่นคนที่ต้องสูญเสียสามี ลูกชายหรือไม่ว่าจะเป็นน้องชาย ให้กับสงคราม สงครามในครั้งนั้นไม่ได้สร้างความเสียหายให้กับประเทศแคนาดาเพียงเล็กน้อยอย่างที่เขาเคยคิดไว้

………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท