พระจันทร์สีเลือดปรากฏตัวขึ้นในเวลาหนึ่งทุ่ม ด้วยเวลาที่เคลื่อนคล้อยผ่านไปจนเข้าสู่จุดสูงสุดในตอนสองทุ่มครึ่ง ณ เวลานั้นพระจันทร์ก็กลายเป็นสีน้ำตาลอมแดงอย่างเต็มดวง
ฉินสือโอวขับรถกลับไปที่ฟาร์มปลาแล้วก็ขับกลับมาที่นี่อีกหนึ่งรอบ บนริมถนนรอบๆ สนามบาสมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่กำลังถือขวดเหล้าพร้อมกับหัวเราะพูดคุยกัน คราวนี้ไม่มีดีเจคอยเปิดแผ่นเล่นเพลงจังหวะหนักแน่นแล้ว ถึงแม้ว่าที่ตรงนี้จะกำลังครึกครื้นทว่าก็ไม่ได้มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจมากนัก
เขาลงจากรถแล้วทอดสายตามองออกไป ผู้คนที่มาร่วมงานปาร์ตี้ต่างก็แต่งกายอย่างแปลกประหลาด ส่วนใหญ่แล้วพากันแต่งเป็นมนุษย์หมาป่า แต่ฉินสือโอวกลับรู้สึกว่าคนพวกนี้กำลังสวมหน้ากากหัวหมามากกว่า
เมื่อมองเห็นฉินสือโอว ฮิวจ์ก็เข้ามาทักทายเขาทันที “เฮ้ เพื่อน ทำไมถึงเพิ่งมาล่ะ?” ขณะที่กำลังพูดเขาก็พินิจพิเคราะห์ไปด้วย แล้วจึงพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “นายจะมาปาร์ตี้ทั้งแบบนี้จริงๆ เหรอ? นี่มันเป็นธีมปาร์ตี้นะ”
ตอนนี้ฉินสือโอวเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ธีมของงานปาร์ตี้คล้ายกับการแต่งคอสเพลย์ ผู้จัดจะคิดธีมขึ้นมา ถ้าทุกคนอยากมาร่วมงานก็ต้องแต่งตัวให้ตรงตามธีม ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษ
ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วตอบเขาไปว่า “แล้วต้องทำยังไง? ต้องแต่งตัวเป็นมนุษย์หัวหมาแบบพวกนายน่ะเหรอ?”
ชาวเมืองคนหนึ่งที่เดินผ่านมาทางด้านข้างจึงพูดกับเขาอย่างไม่พอใจว่า “ชิท ฉิน ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหยามเลย! มนุษย์หัวหมาอะไรกัน? ฉันเป็นมนุษย์หมาป่าชัดๆ! บรู๋วๆๆ”
“ใครบอกว่าพวกเราเป็นมนุษย์หัวหมา?”
“ฟัค ดูไอ้ฉินเวรนั่นสิ เขาจะมาหาเรื่องให้มันระทึกใจเล่นหรือยังไง?”
“ไม่ต้องพูดแล้ว เข้าไปจัดการเขาเลยดีกว่า แล้วไอ้เวรฮิวจ์คนน้องล่ะ? เขาชอบเรื่องพวกนี้ที่สุดเลยไม่ใช่เหรอ?”
ผู้คนที่อยู่รอบข้างล้อมเข้ามาด้วยเจตนาที่ไม่ดี ฉินสือโอวชี้นิ้วไปที่พวกเขาแล้วพูดว่า “เฮ้ ฟังฉันนะ พวกนายอย่าล้อมเข้ามาตามใจแบบนี้สิ ฉันรู้ว่านี่คือธีมปาร์ตี้ แล้วฉันก็เตรียมตัวมาแล้วเหมือนกัน…”
ขณะที่กำลังพูดเขาก็เปิดประตูฝั่งที่นั่งด้านหลังออก เงาร่างสีขาวจึงกระโดดลงมาข้างล่าง มันสะบัดขนแหงนหน้าแล้วส่งเสียงร้องออกมา “อ๋าว บ๊อกๆๆ…”
รอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าของฉินสือโอวหายวับไปในทันที เขาหันกลับไปดึงหลัวปอไว้ แล้วเอ็ดมันว่า “เจ้าโง่ แกเป็นหมาป่านะ! แกเป็นหมาป่า! แกจะเห่าแบบนี้ไม่ได้เข้าใจไหม?”
หมาป่าขาวโตมากับหู่จือและเป้าจือ ถึงแม้ว่าสุนัขแลบราดอร์จะรังแกมันอยู่บ่อยๆ ทว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีลักษณะท่าทางคล้ายคลึงกัน ก่อนที่หลัวปอจะได้พบพ่อกับแม่ มันก็ถือว่าตัวเองเป็นหมาแลบราดอร์มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้มันจึงพากเพียรฝึกฝนเสียงเห่าแบบสุนัขแลบราดอร์อย่างหนัก
เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำตำหนิของฉินสือโอว ลูกหมาป่าขาวจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ มันม้วนหางสีขาวขึ้นมา ทั้งส่ายทั้งสะบัด…
ผู้คนที่อยู่โดยรอบพากันหัวเราะออกมา มีใครบางคนพูดขึ้นมาว่า “ฉิน หมาของนายเป็นแค่หมาธรรมดา ไม่ใช่หมาป่าสักหน่อย ฮ่าๆ นายพาหมามาด้วยทำไมละเนี่ย?”
“นี่คือหมาป่าโว้ย!” ฉินสือโอวถลึงตาใส่เขาหนึ่งที หู่จือกับเป้าจือก็มุดออกมาจากเบาะหลังแล้วเช่นกัน พอพวกมันเห็นว่าหลัวปอกำลังเลียมือของเขาด้วยความสนิทสนม จึงพากันตามเข้ามาเลียบ้าง
ฮิวจ์คนน้องที่กำลังเปลือยท่อนบนเข้ามาส่งเบียร์ให้ฉินสือโอวหนึ่งขวด แล้วพูดกับเขาว่า “นายตั้งใจจะมาป่วนปาร์ตี้ของพวกเราหรือเปล่าเนี่ย?”
ฉินสือโอวกล่าวว่า “ฉันก็เข้าธีมปาร์ตี้เหมือนกันนะโว้ย ไม่เห็นหรือไง? หมาป่าสามตัว ฉันคือคนเลี้ยงหมาป่ายังไงเล่า!”
ฮิวจ์คนยิ้มอย่างเหยียดหยาม เขากำลังจะไล่ต้อนเขาอย่างไม่ยอมเลิกรา ทว่าในตอนนี้ดันมีเสียงคนตะโกนขึ้นมาเสียก่อน “เฮ้ยพวกเรา ดูนั่นเร็ว พระจันทร์โผล่ออกมาแล้ว!”
“ไหนๆ? ส่งกล้องส่องทางไกลมาให้ฉันที เร็วๆๆ!” ฮิวจ์คนน้องสะบัดฉินสือโอวทิ้งแล้วพุ่งเข้าไปหากล้องส่องทางไกลที่ตั้งไว้ตรงกลางสนามทันที
ฉินสือโอวมองไปยังท้องทางด้านทิศตะวันออก ท้องฟ้ายังไม่ทันมืดสนิท ทางฝั่งทิศตะวันตกยังคงมีประกายแสงของพระอาทิตย์ในยามเย็น ทว่า ณ เวลานี้เป็นช่วงที่พระจันทร์จะเต็มดวงและอยู่ใกล้กับโลกที่สุด ทำให้ยังสามารถมองเห็นพระจันทร์ได้ดังเดิม
ตอนนี้พระจันทร์ยังไม่เข้าสู่บริเวณเงาโลก ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง จึงไม่ปรากฏให้เห็นร่องรอยของพระจันทร์สีเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว
หากจะดูพระจันทร์สีเลือดก็ต้องรอให้พระจันทร์เข้าสู่ส่วนกลางของเงาโลก นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระจายตัวของลำแสง
เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าแสงของพระอาทิตย์เกิดจากการรวมตัวกันของลำแสงสีสันต่างๆ เช่นแดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ครามและม่วง แต่สีเหลือง สีเขียวและสีฟ้ามีคลื่นแสงที่ค่อนข้างสั้น จึงได้รับผลกระทบของการกระจายแสงในชั้นบรรยากาศค่อนข้างมาก ลำแสงสีแดงมีระยะห่างของความยาวคลื่นที่ค่อนข้างยาว ทำให้ได้รับผลกระทบจากการกระจายตัวของแสงไม่มาก จึงสามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศออกไป จนเกิดการหักเหบนพระจันทร์ที่หลบอยู่หลังเงาโลก
แต่ไม่ใช่ว่าจันทรุปราคาเต็มดวงจะทำให้เกิดพระจันทร์สีเลือดได้ทุกครั้ง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับดัชนีหักเหแสงของชั้นบรรยากาศ มีเพียงช่วงเวลาพิเศษที่มีการกรองแสงอย่างเข้มข้นขนาดนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถมองเห็นพระจันทร์สีเลือดได้
ฉินสือโอวเจอวินนี่แล้ว ชาร์คและคนอื่นๆ กำลังนั่งอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม ขณะเดียวกันก็ดื่มเบียร์และทานอาหารที่ทุกคนนำมาเพื่อรอให้พระจันทร์สีเลือดปรากฏตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างช้าๆ
รอเพียงไม่นาน เงาค่อยๆ อับแสงลงตามการเคลื่อนที่ของพระจันทร์ หลังจากนั้นราวกับว่ามันถูกอาบด้วยสารเคมีสีแดง พระจันทร์หายตัวไปจากทางฝั่งนี้แล้วโผล่ออกไปอีกทาง ในตอนนี้มันถูกเคลือบด้วยสีน้ำตาลแดงแล้ว
“ว้าว สวยจัง” วินนี่กล่าว “มาเถอะ พวกเราชูแก้วขึ้นเถอะ ดื่มเพื่อพระจันทร์ที่งดงาม”
ขณะนี้ทุกๆ คนต่างก็ชูแก้วขึ้น พวกเขาแหงนหน้าแล้วหอนออกมาด้วยเสียงที่พยายามทำให้คล้ายกับหมาป่า พากันร้องบรู๋วๆๆ ออกมา
หลัวปอที่กำลังเดินเตร่อยู่รอบๆ ได้ยินเสียงเห่าหอนของหมาป่าที่สยดสยองราวกับเสียงร้องของวิญญาณ มันก็ตกใจจนตัวโยน แล้วรีบมุดเข้าไปหาอ้อมอกของฉินสือโอวทันที ฉินสือโอวดันมันออกมา แล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า “แกลองหอนสิ หอนน่ะ แกเป็นหมาป่านะ!”
เดิมทีหู่จือกับเป้าจือกำลังนอนหมอบอยู่บนพื้น แต่เมื่อมองเห็นพวกมนุษย์กำลังพากันแหงนคอเห่าหอน พวกมันจึงลุกขึ้นมาแล้วแหงนหน้าหอนใส่พระจันทร์อย่างโง่เซ่อ แน่นอนว่านี่ไม่เกี่ยวอะไรกันกับพระจันทร์สีเลือด พวกมันแค่รู้สึกคึกคักเพราะคนหมู่มากเลยอยากร่วมสนุกด้วยก็เท่านั้น
ทางด้านหลัวปอยังคงปิดปากเงียบ หู่จือกับเป้าจืออยากหอนก็หอนไป ส่วนตัวมันจะเอาแต่เกาะติดอ้อมกอดของวินนี่อยู่อย่างนี้นี่แหละ
วินนี่จึงกอดมันไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หลัวปอไม่หอนก็ดีเหมือนกัน ถ้ามีคนมองออกว่าหนูคือหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ แบบนั้นต้องแย่แล้วแน่ๆ”
โดยปกติแล้วหลัวปอมักจะแสดงออกอย่างเงียบเชียบ คนในเมืองนี้จึงนึกว่ามันเป็นเพียงสุนัขสีขาวตัวใหญ่มาโดยตลอด ถึงแม้ว่ามันจะมีหน้าตาเหมือนหมาป่าทุกอย่าง ทว่ากลับไม่มีกลิ่นอายความดุร้ายของหมาป่าอยู่เลย ชาวเมืองจึงไม่ได้นึกถึงร่างกายแบบหมาป่าของมัน
ฉินสือโอวรู้สึกผิดหวังขนาดหนัก เขากล่าวว่า “ผมนึกว่าช่วงที่พระจันทร์เต็มดวงหมาป่าจะหอนออกมานานๆ จริงๆ เสียอีก”
เบิร์ดที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ข้างๆ ไหวไหล่แล้วพูดกับเขาว่า “ต้องไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้ว หมาป่าแค่คุ้นชินกับการหอนในตอนกลางคืนเพื่อเรียกหมาป่าในฝูงให้มารวมตัวกันหรือหอนเพื่อหาคู่ หรืออาจจะข่มขู่ศัตรูด้วยการใช้เสียงหอนเพื่อไล่ศัตรูก็เท่านั้น ส่วนสาเหตุที่มีคนเล่าต่อกันมาว่าหมาป่าจะหอนเพราะพระจันทร์ นั่นก็เพราะว่าเมื่อก่อนยังไม่มีหลอดไฟ จึงมีแค่คืนที่แสงจันทร์สว่างมนุษย์ถึงจะสามารถมองเห็นภาพฝูงหมาป่าหอนออกมาอย่างยาวนาน ต่อมาพอรวมกับการแต่งแต้มศิลปะเล็กๆ น้อยๆ เลยกลายมาเป็นตำนานเรื่องมนุษย์หมาป่า”
คนหมู่มากพากันลากเสียงในลำคอส่งเสียงหอนออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เสียงร้อง ‘บรู๋วๆ’ ดังขึ้นมาไม่ขาด ในขณะเดียวกันเสียง ‘บ๊อกๆๆ’ ก็ดังประสานขึ้นมา นี่ย่อมต้องเป็นเสียงหู่จือกับเป้าจือที่ถือเอาช่วงเวลาชุลมุนตีเนียนร้องผสมโรงกับคนอื่นๆ อย่างแน่นอน
รอจนมีคนปรับกล้องส่องทางไกลอย่างแม่นยำ ฉินสือโอวก็รีบเบียดเข้าไปแย่งคนอื่นๆ ดูเป็นคนแรกทันที เขามีแรงกำลังเยอะทั้งยังเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ฮิวจ์คนน้องกับคนอื่นๆ เบียดเขาเข้าไปไม่ได้ จึงทำได้แค่สบถด่าเขาด้วยความโกรธเคือง
ฉินสือโอวไม่สนใจ เขาส่องดูพระจันทร์อย่างตั้งอกตั้งใจ บัตเลอร์บอกว่ากล้องส่องทางไกลของเขามีกำลังขยายหนึ่งร้อยเท่า สามารถมองเห็นรายละเอียดต่างๆ บนพระจันทร์ได้อย่างชัดเจน ในตอนนี้ที่ฉินสือโอวกำลังส่องขึ้นไปก็เป็นอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของเขาคือภูเขารูปวงแหวนผืนหนึ่ง ที่สามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัด
ทว่าหากกำลังขยายสูงเกินไป จะขยับเขยื้อนกล้องส่องทางไกลไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเลนส์ของกล้องส่องทางไกลจะมีแต่ภาพเลือนราง จนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ อีกต่อไป
……………………………………………….