ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1332 พระจันทร์สีเลือด

บทที่ 1332 พระจันทร์สีเลือด

พระจันทร์สีเลือดปรากฏตัวขึ้นในเวลาหนึ่งทุ่ม ด้วยเวลาที่เคลื่อนคล้อยผ่านไปจนเข้าสู่จุดสูงสุดในตอนสองทุ่มครึ่ง ณ เวลานั้นพระจันทร์ก็กลายเป็นสีน้ำตาลอมแดงอย่างเต็มดวง

ฉินสือโอวขับรถกลับไปที่ฟาร์มปลาแล้วก็ขับกลับมาที่นี่อีกหนึ่งรอบ บนริมถนนรอบๆ สนามบาสมีผู้คนจำนวนไม่น้อยที่กำลังถือขวดเหล้าพร้อมกับหัวเราะพูดคุยกัน คราวนี้ไม่มีดีเจคอยเปิดแผ่นเล่นเพลงจังหวะหนักแน่นแล้ว ถึงแม้ว่าที่ตรงนี้จะกำลังครึกครื้นทว่าก็ไม่ได้มีเสียงจ้อกแจ้กจอแจมากนัก

เขาลงจากรถแล้วทอดสายตามองออกไป ผู้คนที่มาร่วมงานปาร์ตี้ต่างก็แต่งกายอย่างแปลกประหลาด ส่วนใหญ่แล้วพากันแต่งเป็นมนุษย์หมาป่า แต่ฉินสือโอวกลับรู้สึกว่าคนพวกนี้กำลังสวมหน้ากากหัวหมามากกว่า

เมื่อมองเห็นฉินสือโอว ฮิวจ์ก็เข้ามาทักทายเขาทันที “เฮ้ เพื่อน ทำไมถึงเพิ่งมาล่ะ?” ขณะที่กำลังพูดเขาก็พินิจพิเคราะห์ไปด้วย แล้วจึงพูดขึ้นมาอย่างประหลาดใจ “นายจะมาปาร์ตี้ทั้งแบบนี้จริงๆ เหรอ? นี่มันเป็นธีมปาร์ตี้นะ”

ตอนนี้ฉินสือโอวเข้าใจชัดเจนแจ่มแจ้งแล้ว ธีมของงานปาร์ตี้คล้ายกับการแต่งคอสเพลย์ ผู้จัดจะคิดธีมขึ้นมา ถ้าทุกคนอยากมาร่วมงานก็ต้องแต่งตัวให้ตรงตามธีม ไม่เช่นนั้นจะถูกลงโทษ

ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วตอบเขาไปว่า “แล้วต้องทำยังไง? ต้องแต่งตัวเป็นมนุษย์หัวหมาแบบพวกนายน่ะเหรอ?”

ชาวเมืองคนหนึ่งที่เดินผ่านมาทางด้านข้างจึงพูดกับเขาอย่างไม่พอใจว่า “ชิท ฉิน ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองถูกหยามเลย! มนุษย์หัวหมาอะไรกัน? ฉันเป็นมนุษย์หมาป่าชัดๆ! บรู๋วๆๆ”

“ใครบอกว่าพวกเราเป็นมนุษย์หัวหมา?”

“ฟัค ดูไอ้ฉินเวรนั่นสิ เขาจะมาหาเรื่องให้มันระทึกใจเล่นหรือยังไง?”

“ไม่ต้องพูดแล้ว เข้าไปจัดการเขาเลยดีกว่า แล้วไอ้เวรฮิวจ์คนน้องล่ะ? เขาชอบเรื่องพวกนี้ที่สุดเลยไม่ใช่เหรอ?”

ผู้คนที่อยู่รอบข้างล้อมเข้ามาด้วยเจตนาที่ไม่ดี ฉินสือโอวชี้นิ้วไปที่พวกเขาแล้วพูดว่า “เฮ้ ฟังฉันนะ พวกนายอย่าล้อมเข้ามาตามใจแบบนี้สิ ฉันรู้ว่านี่คือธีมปาร์ตี้ แล้วฉันก็เตรียมตัวมาแล้วเหมือนกัน…”

ขณะที่กำลังพูดเขาก็เปิดประตูฝั่งที่นั่งด้านหลังออก เงาร่างสีขาวจึงกระโดดลงมาข้างล่าง มันสะบัดขนแหงนหน้าแล้วส่งเสียงร้องออกมา “อ๋าว บ๊อกๆๆ…”

รอยยิ้มพึงพอใจบนใบหน้าของฉินสือโอวหายวับไปในทันที เขาหันกลับไปดึงหลัวปอไว้ แล้วเอ็ดมันว่า “เจ้าโง่ แกเป็นหมาป่านะ! แกเป็นหมาป่า! แกจะเห่าแบบนี้ไม่ได้เข้าใจไหม?”

หมาป่าขาวโตมากับหู่จือและเป้าจือ ถึงแม้ว่าสุนัขแลบราดอร์จะรังแกมันอยู่บ่อยๆ ทว่าทั้งสองฝ่ายต่างก็มีลักษณะท่าทางคล้ายคลึงกัน ก่อนที่หลัวปอจะได้พบพ่อกับแม่ มันก็ถือว่าตัวเองเป็นหมาแลบราดอร์มาโดยตลอด ด้วยเหตุนี้มันจึงพากเพียรฝึกฝนเสียงเห่าแบบสุนัขแลบราดอร์อย่างหนัก

เมื่อต้องเผชิญหน้ากับคำตำหนิของฉินสือโอว ลูกหมาป่าขาวจึงยื่นหน้าเข้าไปใกล้ๆ มันม้วนหางสีขาวขึ้นมา ทั้งส่ายทั้งสะบัด…

ผู้คนที่อยู่โดยรอบพากันหัวเราะออกมา มีใครบางคนพูดขึ้นมาว่า “ฉิน หมาของนายเป็นแค่หมาธรรมดา ไม่ใช่หมาป่าสักหน่อย ฮ่าๆ นายพาหมามาด้วยทำไมละเนี่ย?”

“นี่คือหมาป่าโว้ย!” ฉินสือโอวถลึงตาใส่เขาหนึ่งที หู่จือกับเป้าจือก็มุดออกมาจากเบาะหลังแล้วเช่นกัน พอพวกมันเห็นว่าหลัวปอกำลังเลียมือของเขาด้วยความสนิทสนม จึงพากันตามเข้ามาเลียบ้าง

ฮิวจ์คนน้องที่กำลังเปลือยท่อนบนเข้ามาส่งเบียร์ให้ฉินสือโอวหนึ่งขวด แล้วพูดกับเขาว่า “นายตั้งใจจะมาป่วนปาร์ตี้ของพวกเราหรือเปล่าเนี่ย?”

ฉินสือโอวกล่าวว่า “ฉันก็เข้าธีมปาร์ตี้เหมือนกันนะโว้ย ไม่เห็นหรือไง? หมาป่าสามตัว ฉันคือคนเลี้ยงหมาป่ายังไงเล่า!”

ฮิวจ์คนยิ้มอย่างเหยียดหยาม เขากำลังจะไล่ต้อนเขาอย่างไม่ยอมเลิกรา ทว่าในตอนนี้ดันมีเสียงคนตะโกนขึ้นมาเสียก่อน “เฮ้ยพวกเรา ดูนั่นเร็ว พระจันทร์โผล่ออกมาแล้ว!”

“ไหนๆ? ส่งกล้องส่องทางไกลมาให้ฉันที เร็วๆๆ!” ฮิวจ์คนน้องสะบัดฉินสือโอวทิ้งแล้วพุ่งเข้าไปหากล้องส่องทางไกลที่ตั้งไว้ตรงกลางสนามทันที

ฉินสือโอวมองไปยังท้องทางด้านทิศตะวันออก ท้องฟ้ายังไม่ทันมืดสนิท ทางฝั่งทิศตะวันตกยังคงมีประกายแสงของพระอาทิตย์ในยามเย็น ทว่า ณ เวลานี้เป็นช่วงที่พระจันทร์จะเต็มดวงและอยู่ใกล้กับโลกที่สุด ทำให้ยังสามารถมองเห็นพระจันทร์ได้ดังเดิม

ตอนนี้พระจันทร์ยังไม่เข้าสู่บริเวณเงาโลก ด้วยเหตุนี้จึงยังไม่เกิดปรากฏการณ์จันทรุปราคาเต็มดวง จึงไม่ปรากฏให้เห็นร่องรอยของพระจันทร์สีเลือดเลยแม้แต่นิดเดียว

หากจะดูพระจันทร์สีเลือดก็ต้องรอให้พระจันทร์เข้าสู่ส่วนกลางของเงาโลก นี่เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นจากการกระจายตัวของลำแสง

เป็นที่รู้กันโดยทั่วไปว่าแสงของพระอาทิตย์เกิดจากการรวมตัวกันของลำแสงสีสันต่างๆ เช่นแดง ส้ม เหลือง เขียว น้ำเงิน ครามและม่วง แต่สีเหลือง สีเขียวและสีฟ้ามีคลื่นแสงที่ค่อนข้างสั้น จึงได้รับผลกระทบของการกระจายแสงในชั้นบรรยากาศค่อนข้างมาก ลำแสงสีแดงมีระยะห่างของความยาวคลื่นที่ค่อนข้างยาว ทำให้ได้รับผลกระทบจากการกระจายตัวของแสงไม่มาก จึงสามารถทะลุผ่านชั้นบรรยากาศออกไป จนเกิดการหักเหบนพระจันทร์ที่หลบอยู่หลังเงาโลก

แต่ไม่ใช่ว่าจันทรุปราคาเต็มดวงจะทำให้เกิดพระจันทร์สีเลือดได้ทุกครั้ง เพราะเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับดัชนีหักเหแสงของชั้นบรรยากาศ มีเพียงช่วงเวลาพิเศษที่มีการกรองแสงอย่างเข้มข้นขนาดนี้เท่านั้น ถึงจะสามารถมองเห็นพระจันทร์สีเลือดได้

ฉินสือโอวเจอวินนี่แล้ว ชาร์คและคนอื่นๆ กำลังนั่งอยู่ด้วยกันเป็นกลุ่ม ขณะเดียวกันก็ดื่มเบียร์และทานอาหารที่ทุกคนนำมาเพื่อรอให้พระจันทร์สีเลือดปรากฏตัวขึ้นสู่ท้องฟ้าอย่างช้าๆ

รอเพียงไม่นาน เงาค่อยๆ อับแสงลงตามการเคลื่อนที่ของพระจันทร์ หลังจากนั้นราวกับว่ามันถูกอาบด้วยสารเคมีสีแดง พระจันทร์หายตัวไปจากทางฝั่งนี้แล้วโผล่ออกไปอีกทาง ในตอนนี้มันถูกเคลือบด้วยสีน้ำตาลแดงแล้ว

“ว้าว สวยจัง” วินนี่กล่าว “มาเถอะ พวกเราชูแก้วขึ้นเถอะ ดื่มเพื่อพระจันทร์ที่งดงาม”

ขณะนี้ทุกๆ คนต่างก็ชูแก้วขึ้น พวกเขาแหงนหน้าแล้วหอนออกมาด้วยเสียงที่พยายามทำให้คล้ายกับหมาป่า พากันร้องบรู๋วๆๆ ออกมา

หลัวปอที่กำลังเดินเตร่อยู่รอบๆ ได้ยินเสียงเห่าหอนของหมาป่าที่สยดสยองราวกับเสียงร้องของวิญญาณ มันก็ตกใจจนตัวโยน แล้วรีบมุดเข้าไปหาอ้อมอกของฉินสือโอวทันที ฉินสือโอวดันมันออกมา แล้วพูดอย่างจนปัญญาว่า “แกลองหอนสิ หอนน่ะ แกเป็นหมาป่านะ!”

เดิมทีหู่จือกับเป้าจือกำลังนอนหมอบอยู่บนพื้น แต่เมื่อมองเห็นพวกมนุษย์กำลังพากันแหงนคอเห่าหอน พวกมันจึงลุกขึ้นมาแล้วแหงนหน้าหอนใส่พระจันทร์อย่างโง่เซ่อ แน่นอนว่านี่ไม่เกี่ยวอะไรกันกับพระจันทร์สีเลือด พวกมันแค่รู้สึกคึกคักเพราะคนหมู่มากเลยอยากร่วมสนุกด้วยก็เท่านั้น

ทางด้านหลัวปอยังคงปิดปากเงียบ หู่จือกับเป้าจืออยากหอนก็หอนไป ส่วนตัวมันจะเอาแต่เกาะติดอ้อมกอดของวินนี่อยู่อย่างนี้นี่แหละ

วินนี่จึงกอดมันไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “หลัวปอไม่หอนก็ดีเหมือนกัน ถ้ามีคนมองออกว่าหนูคือหมาป่าขาวนิวฟันด์แลนด์ แบบนั้นต้องแย่แล้วแน่ๆ”

โดยปกติแล้วหลัวปอมักจะแสดงออกอย่างเงียบเชียบ คนในเมืองนี้จึงนึกว่ามันเป็นเพียงสุนัขสีขาวตัวใหญ่มาโดยตลอด ถึงแม้ว่ามันจะมีหน้าตาเหมือนหมาป่าทุกอย่าง ทว่ากลับไม่มีกลิ่นอายความดุร้ายของหมาป่าอยู่เลย ชาวเมืองจึงไม่ได้นึกถึงร่างกายแบบหมาป่าของมัน

ฉินสือโอวรู้สึกผิดหวังขนาดหนัก เขากล่าวว่า “ผมนึกว่าช่วงที่พระจันทร์เต็มดวงหมาป่าจะหอนออกมานานๆ จริงๆ เสียอีก”

เบิร์ดที่กำลังดื่มเหล้าอยู่ข้างๆ ไหวไหล่แล้วพูดกับเขาว่า “ต้องไม่ใช่อย่างนั้นอยู่แล้ว หมาป่าแค่คุ้นชินกับการหอนในตอนกลางคืนเพื่อเรียกหมาป่าในฝูงให้มารวมตัวกันหรือหอนเพื่อหาคู่ หรืออาจจะข่มขู่ศัตรูด้วยการใช้เสียงหอนเพื่อไล่ศัตรูก็เท่านั้น ส่วนสาเหตุที่มีคนเล่าต่อกันมาว่าหมาป่าจะหอนเพราะพระจันทร์ นั่นก็เพราะว่าเมื่อก่อนยังไม่มีหลอดไฟ จึงมีแค่คืนที่แสงจันทร์สว่างมนุษย์ถึงจะสามารถมองเห็นภาพฝูงหมาป่าหอนออกมาอย่างยาวนาน ต่อมาพอรวมกับการแต่งแต้มศิลปะเล็กๆ น้อยๆ เลยกลายมาเป็นตำนานเรื่องมนุษย์หมาป่า”

คนหมู่มากพากันลากเสียงในลำคอส่งเสียงหอนออกมาอย่างไม่หยุดหย่อน เสียงร้อง ‘บรู๋วๆ’ ดังขึ้นมาไม่ขาด ในขณะเดียวกันเสียง ‘บ๊อกๆๆ’ ก็ดังประสานขึ้นมา นี่ย่อมต้องเป็นเสียงหู่จือกับเป้าจือที่ถือเอาช่วงเวลาชุลมุนตีเนียนร้องผสมโรงกับคนอื่นๆ อย่างแน่นอน

รอจนมีคนปรับกล้องส่องทางไกลอย่างแม่นยำ ฉินสือโอวก็รีบเบียดเข้าไปแย่งคนอื่นๆ ดูเป็นคนแรกทันที เขามีแรงกำลังเยอะทั้งยังเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่ว ฮิวจ์คนน้องกับคนอื่นๆ เบียดเขาเข้าไปไม่ได้ จึงทำได้แค่สบถด่าเขาด้วยความโกรธเคือง

ฉินสือโอวไม่สนใจ เขาส่องดูพระจันทร์อย่างตั้งอกตั้งใจ บัตเลอร์บอกว่ากล้องส่องทางไกลของเขามีกำลังขยายหนึ่งร้อยเท่า สามารถมองเห็นรายละเอียดต่างๆ บนพระจันทร์ได้อย่างชัดเจน ในตอนนี้ที่ฉินสือโอวกำลังส่องขึ้นไปก็เป็นอย่างที่เขาว่าไว้จริงๆ สิ่งที่ปรากฏสู่สายตาของเขาคือภูเขารูปวงแหวนผืนหนึ่ง ที่สามารถมองเห็นได้อย่างเด่นชัด

ทว่าหากกำลังขยายสูงเกินไป จะขยับเขยื้อนกล้องส่องทางไกลไม่ได้ ไม่เช่นนั้นแล้วเลนส์ของกล้องส่องทางไกลจะมีแต่ภาพเลือนราง จนมองไม่เห็นสิ่งต่างๆ อีกต่อไป

……………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท