ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1349 ไม่ได้รับการรักษากันถ้วนหน้า

บทที่ 1349 ไม่ได้รับการรักษากันถ้วนหน้า

“ขอบคุณกองทุนเงินช่วยเหลือเด็กของเถียนกวาน่ะครับ คุณฉิน กองทุนของคุณช่วยชีวิตลูกของเราเอาไว้” ชายคนนั้นพูดด้วยความรู้สึกซาบซึ้งในบุญคุณ ผู้หญิงที่กำลังอุ้มลูกอยู่ก็พยักหน้ากล่าวคำขอบคุณตามเขาด้วยเช่นกัน

ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว ลูกๆ ของทั้งคู่ได้รับความช่วยเหลือจากกองทุนช่วยเหลือเด็กเถียนกวา พวกเขาจึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อขอบคุณเขานั่นเอง

เป็นอย่างที่คิดไว้จริงๆ ต่อจากนั้นชายคนนั้นก็แนะนำตัวเองว่าชื่อของเขาคือไคลเซน แฟรงค์ ลูกชายของเขาเกิดเมื่อ 4 เดือนที่แล้ว แต่ปรากฏว่าทารกกลับมีอาการปอดล้มเหลว จึงจำเป็นต้องใช้ค่ารักษาพยาบาลเป็นจำนวนมาก

บางทีนี่อาจจะทำให้ใครหลายคนสับสน ไม่ใช่ว่าแคนาดาผลักดันนโยบายการรักษาพยาบาลฟรีหรอกเหรอ? ถ้าอย่างนั้นเวลาที่ต้องไปหาหมอโดยเฉพาะกับผู้ป่วยที่เป็นทารก ทำไมถึงต้องจ่ายค่ารักษาพยาบาลเองด้วยล่ะ?

นั่นเป็นเรื่องจริง สิ่งที่รัฐบาลแคนาดาผลักดันก็คือระบบการรักษาพยาบาลโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ตอนที่ลูกของบูลคลอดก็ไม่ได้เสียค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลเลย ทั้งยังรวมถึงค่าห้องพักและค่าอาหารด้วย แต่มีข้อกำหนดเบื้องต้นก็คือ เพื่อที่จะรับสิทธิสวัสดิการข้อนี้ คุณต้องจ่ายภาษีและต้องซื้อประกันการรักษาพยาบาลภาคบังคับ ซึ่งมีราคาประมาณ 500 ดอลลาร์แคนาดาต่อคนต่อปี

ตอนแรกฉินสือโอวนึกว่าไคลเซนและภรรยาไม่ได้จ่ายค่าประกันการรักษาพยาบาลประเภทนี้ เนื่องจากประกันประเภทนี้เชื่อมโยงกับสิทธิสวัสดิการโดยตรง หากมีงานทำบริษัทจะเป็นผู้จ่ายให้ แต่ถ้าไม่มีงานก็ต้องจ่ายเอง

หากไม่มีงานทำ ถ้าอย่างนั้นการซื้อประกันในแคนาดาก็ไม่ใช่เรื่องที่สอดคล้องกับความเป็นจริงเท่าไรแล้ว เนื่องจากประกันที่ต้องซื้อไม่ได้มีแค่ประเภทเดียว แต่มีอยู่เป็นกอง อย่างเช่นประกันสุขภาพ ประกันการศึกษา ประกันการว่างงาน ประกันบำนาญ ประกันรถยนต์ประกันที่อยู่อาศัยและอื่นๆ อีกหลายประเภท 500 ดอลลาร์ต่อหนึ่งกรมธรรม์ไม่นับว่ามาก แล้วถ้าสิบกรมธรรม์ล่ะ?

ดังนั้นตามที่ฉินสือโอวได้รู้จักประเทศแคนาดามากขึ้นเรื่อยๆ เขาก็ยิ่งคิดว่าที่นี่ไม่ใช่สวรรค์สำหรับคนธรรมดา แน่นอนว่า ถ้าเพียงแต่มีทักษะด้านใดด้านหนึ่งติดตัวและมีงานให้ทำ ก็จะสามารถใช้ชีวิตอยู่ในประเทศนี้ได้อย่างสบายๆ ได้รับสิทธิสวัสดิการของประเทศนี้ หากเป็นเช่นนี้ ชีวิตที่นี่ก็นับว่าสุขสบายอยู่มาก

แต่หลังจากทั้งสองคนอธิบายให้เขาฟังอย่างคร่าวๆ เขาก็ได้รู้ว่านั่นไม่ใช่สาเหตุของเรื่องนี้ พวกเขาจ่ายค่าประกันสุขภาพ และคนทั้งคู่ก็มีงานที่สามารถรับประกันรายได้ได้ แต่สาเหตุที่ทำให้พวกเขาต้องการเงินสนับสนุนจากกองทุนช่วยเหลือเด็กเถียนกวา เป็นเพราะระบบการรักษาพยาบาลของแคนาดาต่างหาก

เรื่องนี้ต้องกลับไปพูดถึงระบบการรักษาพยาบาลของแคนาดาอีกครั้ง ฉินสือโอวเคยปรึกษาปัญหานี้มาก่อน เมื่อปีที่แล้วโอมาร์ ชาวประมงในเมืองนี้ป่วยเป็นมะเร็งในกระเพาะปัสสาวะ พวกเขายังเคยไปประท้วงเรื่องนี้ที่นครเซนต์จอห์นอยู่เลย แถมในตอนนั้นเขายังซวยจนถูกเลือกให้เป็นแกนนำอีกต่างหาก

ลูกของไคลเซนก็ประสบปัญหาเดียวกันกับโอมาร์ ซึ่งก็คือจำนวนผู้ป่วยที่เนืองแน่น พวกเขาจำเป็นต้องทำการนัดหมายล่วงหน้า

แต่นี่มันไร้สาระมากไม่ใช่หรืออย่างไร? ทารกมีอาการปอดล้มเหลว ถ้าถอดเครื่องช่วยหายใจก็ไม่รอด แล้วจะให้นัดหมอจะให้รอได้อย่างไร? แต่ระบบการรักษาพยาบาลก็เป็นอย่างนี้ เมื่อก่อนมีเด็กที่ต้องได้รับการผ่าตัดอย่างเร่งด่วน แต่พวกเขาก็ยังต้องนัดหมายล่วงหน้า

เห็นได้ชัดว่า พวกเขาคงทำการนัดหมายล่วงหน้าไม่ได้ ไคลเซนกับภรรยาเลยคิดหาวิธีอื่น นั่นก็คือเชิญให้แพทย์จากโรงพยาบาลเอกชนมาทำการรักษา

แต่ปัญหาก็ตามมาอีกเช่นกัน แพทย์เอกชนสามารถดำเนินการผ่าตัดล่วงเวลาได้ แต่ค่าผ่าตัดและค่ายาจะแพงมาก หากขอการรักษาจากแพทย์เอกชน ก็จะไม่สามารถใช้สวัสดิการจากรัฐได้ หากจะให้ลูกได้รับการผ่าตัดจะต้องใช้เงินเกือบ 20,000 ดอลลาร์ และสองสามีภรรยาไม่ได้มีเงินมากขนาดนั้น…

สุดท้ายพวกเขาจึงยื่นคำร้องขอความช่วยเหลือจากกองทุนช่วยเหลือเด็กเถียนกวา ซึ่งเป็นกองทุนที่ฉินสือโอวได้มาหลังจากคว้าแชมป์ในการแข่งขันว่ายน้ำข้ามช่องแคบนอร์ทัมเบอร์แลนด์ ซึ่งที่จริงแล้วเขาแค่ได้รับสิทธิ์ในการตั้งชื่อเท่านั้น เงินในกองทุนนี้ส่วนใหญ่แล้วได้มาจากบริจาคของภาคสังคม ส่วนทุนที่ได้จากเขามีอยู่แค่สองแสนดอลลาร์แคนาดา

หลังจากได้รับการผ่าตัดจนลูกของพวกเขาหายดีแล้ว ตอนนี้สองสามีภรรยาจึงตั้งใจมาที่นี่เพื่อขอบคุณฉินสือโอว

เขาเชิญไคลเซนกับภรรยาเข้ามาในบ้าน ฉินสือโอวเล่าเรื่องเกี่ยวกับโครงสร้างของกองทุนให้พวกเขาฟังอย่างคร่าวๆ ในตอนท้ายก็พูดกับพวกเขาอย่างจริงใจว่า “ดังนั้นพวกคุณไม่ต้องขอบคุณผมหรอกครับ ควรจะขอบคุณคนในสังคมเรามากกว่า”

ไคลเซนกล่าวว่า “ใช่แล้วครับ คุณฉิน พวกเราต้องขอบคุณผู้มีจิตใจดีทุกคนในสังคม แต่คนที่ช่วยเหลือพวกเราไว้มากที่สุด ก็คือกองทุนที่อยู่ภายใต้ชื่อของคุณนะครับ คุณช่วยพวกเราไว้ ผมรู้สึกซาบซึ้งมากจริงๆ”

พอพูดจบ เขาก็เปิดกระเป๋าเป้ออก ข้างในมีของขวัญที่พวกเขาซื้อมา

ถ้าฉินสือโอวยังมัวแต่มีพิธีรีตองต่ออีกก็คงจะเสแสร้งเกินไปแล้ว เขาตบไหล่ไคลเซนพร้อมกับพูดว่า “โอเค ผมขอรับคำขอบคุณของพวกคุณไว้ แต่ถึงยังไงผมก็จะไม่รับของขวัญอย่างแน่นอนครับ แต่ผมมีเรื่องที่จะขอให้พวกคุณทำ ผมหวังว่าถ้าในอนาคตพวกคุณได้พบกับคนที่ต้องการความช่วยเหลือ ได้โปรดยื่นมือเข้าไปช่วยพวกเขาด้วยนะครับ”

ไคลเซนกับภรรยาอยากให้เขารับของขวัญเอาไว้ แต่ไม่ว่าอย่างไรฉินสือโอวก็ไม่ยอมทำอย่างนั้น เขาโทรไปหาวินนี่ เพื่อให้เธอกลับมาทานอาหารเที่ยงที่นี่ หลังจากนั้นก็ทำการต้อนรับแขกทั้งสองคนด้วยอาหารทะเลสักมื้อ

นี่ทำให้ไคลเซนกับภรรยารู้สึกเกรงใจมากจริงๆ ตั้งใจจะมาแสดงความขอบคุณ เขาไม่รับของขวัญไม่พอ แต่ยังเลี้ยงอาหารพวกเขามื้อใหญ่อีกต่างหาก

ด้วยชื่อเสียงของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินที่โด่งดังขึ้นเรื่อยๆ แบรนด์ก็ยิ่งเป็นที่รู้จักตามไปด้วย ไคลเซนกับภรรยาจึงรู้ว่าวัตถุดิบของอาหารมื้อนี้ที่พวกเขาจะได้ทานมีราคาแพงแค่ไหน

เมื่อถึงเวลาทานมื้อเที่ยง วินนี่ก็อุ้มเสี่ยวเถียนกวาให้ขึ้นไปนั่งบนเก้าอี้ทานอาหารสำหรับเด็ก ตอนนี้หนูน้อยสามารถนั่งแล้วใช้มือหยิบจับอาหารกินเองได้แล้ว ไม่จำเป็นต้องอุ้มเธอตลอดเวลา

เด็กหญิงตัวน้อยหมอบอยู่กับโต๊ะ ดวงตากลมโตจ้องมองไปที่ทารกน้อยในอ้อมแขนภรรยาของไคลเซน พร้อมกับเผยสีหน้าแสดงความสนอกสนใจออกมา

ภรรยาของไคลเซนอุ้มลูกชายเข้าไปเล่นกับเธอ เด็กหญิงจึงยื่นมือออกไปเพื่อที่จะจับ นี่เป็นความเคยชินของเธอ เวลาเจอของที่น่าสนใจหรือของที่ชอบเธอก็จะยื่นมือออกไปหาทันที

วินนี่รีบจับแขนลูกสาวของเธอไว้ เธอเดาได้ตั้งแต่แรกแล้ว ไม่อย่างนั้นด้วยความว่องไวอย่างน่าทึ่งของหนูน้อย วันนี้ภรรยาของไคลเซนคงต้องเจออิทธิฤทธิ์ของเธอเข้าให้แล้ว

ดึงมือของหนูน้อยกลับมา วินนี่ก็พูดกับเธออย่างอ่อนโยนว่า “จับไม่ได้นะคะ นี่คือน้องชายนะ”

เสี่ยวเถียนกวาหันมามองวินนี่ หลังจากนั้นก็หันกลับไปมองทารกน้อยด้วยสายตาเคลือบความสงสัย ต่อจากนั้นก็ดีใจขึ้นมาอย่างประหลาด พร้อมกับตบมือแล้วตะโกนว่า “น้องชาย น้องชาย…”

วินนี่กับฉินสือโอวทั้งดีใจและประหลาดใจมาก ช่วงก่อนหน้านี้ ตั้งแต่เด็กหญิงตัวน้อยเรียกปะป๊าหม่ะม๊าเป็นแล้ว เธอก็ไม่พูดคำอื่นอีกเลย คิดไม่ถึงว่าวันนี้จะพูดคำว่าน้องชายได้อีกคำ

หลังจากทานอาหารเสร็จ พ่อของฉินสือโอวก็มาอุ้มหนูน้อยไป แล้วหลอกล่อให้เธอพูดคำว่า ‘ปู่กับย่า’ หนูน้อยยังอยู่ในอารมณ์คึกคักดีใจ หลังจากนั้นเธอก็ยังตะโกนคำว่า ‘น้องชาย’ ออกมาไม่หยุด

ทานมื้อเที่ยงเสร็จแล้ว พอได้มานั่งพูดคุยกับไคลเซนและภรรยาฉินสือโอวถึงเพิ่งจะได้เล่าเรื่องของทั้งสองคนให้วินนี่ฟัง หลังจากฟังจนจบแล้ววินนี่ก็พยักหน้าและพูดว่า “พระเจ้า นับวันปัญหาเรื่องระบบการรักษาสุขภาพถ้วนหน้าของแคนาดาก็ยิ่งมีมากขึ้นเรื่อยๆ ช่วงนี้ฉันก็กำลังจัดการกับปัญหาที่แก้ได้ยากเรื่องหนึ่งอยู่เหมือนกัน”

ฉินสือโอวจึงถามเธอว่า “อะไรเหรอ? เกิดเรื่องอะไรขึ้นเหรอ?”

“เป็นเรื่องของบาทหลวงกริมม์กับภรรยาของท่านนะคะ” วินนี่พูดด้วยท่าทีที่ดูค่อนข้างกลัดกลุ้ม “เกิดเรื่องวุ่นวายขึ้นกับพวกเขา”

เดิมทีบาทหลวงกริมม์กับภรรยาก็ร่างกายไม่ค่อยแข็งแรงอยู่แล้ว ทั้งสองคนต้องใช้รถเข็นถึงจะสามารถเดินทางได้ ฉินสือโอวรู้อยู่แล้วว่ามีสุขภาพร่างกายของบาทหลวงชราค่อนข้างมีปัญหา ตอนที่บูรณะโบสถ์เมื่อไม่กี่ปีก่อน สุขภาพของท่านก็ไม่ค่อยดีแล้ว แต่ไม่คิดว่าจะร้ายแรงขนาดนี้

วินนี่เล่าว่า “คุณหมอโอดอมคิดว่าสภาพร่างกายของบาทหลวงกับภรรยาไม่เหมาะที่จะอยู่กันตามลำพัง เลยแนะนำให้ทั้งสองคนไปพักในสถานดูแลผู้สูงอายุ ทั้งสองคนยอมรับเรื่องนี้แล้ว หลังจากนั้นก็พากันไปลงทะเบียนเข้าพักที่สถานดูแลผู้สูงอายุในนครเซนต์จอห์น ตอนแรกภรรยาของท่านไปที่นั่นก่อน เพราะบาทหลวงกริมม์ยังต้องรับการรักษาจากคุณหมอโอดอมต่อ”

……………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท