ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1340 เพื่อนร่วมรบของปู่สอง

บทที่ 1340 เพื่อนร่วมรบของปู่สอง

บรรยากาศในโบสถ์ค่อนข้างเงียบขรึม ในห้องแสดงนิทรรศการมีรูปภาพขาวดำอยู่เป็นจำนวนมาก โดยใช้ช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเป็นหลัก ยุคปีห้าศูนย์หกศูนย์ก็มี แต่ยิ่งใกล้ยุคปัจจุบันภาพถ่ายก็น้อยลง

ฉินสือโอวมองดูรูปภาพพวกนี้ เพียงเพื่อที่จะเรียนรู้ประเทศแคนาดาในสมัยก่อนเท่านั้น เออร์บักเองก็ยิ่งรู้สึกซาบซึ้งใจ เขาถอนหายใจออกมาแล้วกล่าวว่า “ในนี้มีอะไรอยู่หลายอย่างเลย เป็นของที่ฉันไม่ได้เห็นมาหลายปีแล้วทั้งนั้น”

ฉินสือโอวแย้มยิ้มพูดว่า “เวลาผ่านไปเร็วมาก ใช่ไหมครับ?”

เออร์บักตบไหล่ของเขาแล้วพูดว่า “ดังนั้นนายต้องเห็นคุณค่าของวันเวลาในตอนที่ยังเยาว์วัย ฉันคิดว่าครั้งหน้าที่พูดประโยคนี้ บางทีตอนนั้นนายอาจจะมีอายุเท่าฉันในตอนนี้แล้วก็ได้ ฮ่าๆ”

หลังจากชมนิทรรศการในห้องแรกไปแล้ว ซิมมอนส์ก็พาพวกเขาไปยังห้องจัดแสดงนิทรรศการห้องที่สอง ในตอนนี้แฮมเล็ตก็เดินเข้ามาทักทายพวกเขาแล้ว “เฮ้ ฉิน คุณเออร์บัก วินนี่ที่รัก เมื่อสักครู่ไม่ได้เข้ามาต้อนรับทุกคนให้ดี ต้องขออภัยด้วยจริงๆ”

ฉินสือโอวจับมือกับเขา แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “ไม่จำเป็นต้องขอโทษเลย หลังจากนี้แค่ทำดีกับลูกน้องของคุณให้มากๆ ก็พอ”

ซิมมอนส์นึกว่าเขาหมายถึงตัวเอง เขากังวลว่าจะทำให้ฉินสือโอวเข้าใจผิด จึงรีบอธิบายว่า “ไม่นะครับ คุณแฮมเล็ตดีกับผมมาก”

ฉินสือโอวดึงวินนี่เข้ามาแล้วพูดว่า “คุณเข้าใจผิดแล้วละครับ คุณซิมมอนส์ ผมหมายถึงภรรยาของผมน่ะ เธอก็ถือว่าเป็นลูกน้องของคุณแฮมเล็ตเหมือนกันใช่ไหมใช่ไหมล่ะ?”

หลังจากมาพบกับแฮมเล็ตแล้ว หลังจากนั้นก็มีคนเข้ามาอีก ซึ่งก็คือเอี๋ยนตงเหล่ยผู้ควบคุมหางเสือของสมาคมช่วยเหลือชาวจีนในนิวฟันด์แลนด์นั่นเอง งานแบบนี้จะขาดเขาไปไม่ได้เลย

หลังจากที่เอี๋ยนตงเหล่ยได้พบกับฉินสือโอว พวกเขาทักทายกันเป็นช่วงเวลาสั้นๆ หลังจากนั้นเอี๋ยนตงเหล่ยก็พาพวกเขาไปที่ห้องจัดแสดงนิทรรศการอีกห้องหนึ่งซึ่งเป็นห้องเดียวกันกับที่ซิมมอนส์กำลังจะพาพวกเขาไป ห้องจัดแสดงนิทรรศการเพื่อรำลึกถึงการอุทิศตนในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองของชาวจีน

ในห้องนี้มีคนจีนผิวเหลืองตาดำอยู่หลายคน บางส่วนเป็นทหารเก่าที่สวมเครื่องแบบทหารกับห้อยเหรียญตรา มีชายชราแบบนี้อยู่ทั้งหมดห้าคน ทุกคนเป็นชายชราที่มีอายุอยู่ระหว่าง 70 ถึง 90 ปีที่มีคนคอยติดตามอยู่ข้างกาย

ฉินสือโอวค่อนข้างมีชื่อเสียงในนิวฟันด์แลนด์ คนเหล่านี้แทบจะรู้จักเขากันทุกคน และถึงจะไม่รู้จักเขาแต่ก็ยังรู้จักเอี๋ยนตงเหล่ย เและหมือนว่าคนหลังก็แทบจะรู้จักกับคนจีนทั่วทั้งแคนาดาแล้ว

คนเหล่านี้ค่อยๆ ทยอยกันเข้ามาทักทายพวกเขาทั้งสอง ฉินสือโอวก็แสดงการทักทายเป็นมารยาทตอบกลับไป ทำให้เขาได้รู้จักกับทุกๆ คนผ่านการแนะนำของเอี๋ยนตงเหล่ย

ตอนเขาเดินเข้ามาในห้อง ก็มีชายชราที่กำลังยืนพิงไม้เท้าหัวมังกรคนหนึ่งหันมาพินิจมองเขาอย่างละเอียด รอจนกระทั่งได้ยินเอี๋ยนตงเหล่ยแนะนำว่าเขาเป็นใคร ชายชราผู้นั้นก็ชิงเข้ามาถามเขาก่อนคนอื่นๆ “พ่อหนุ่ม นายใช้แซ่ฉินเหรอ?” เป็นลูกหลานของพี่ฉินหงเต๋อหรือเปล่า?”

ฉินสือโอวได้ยินเขาพูดแบบนี้ ก็รีบยืดตัวตรงแล้วปรับท่าทางให้ดูสุภาพ เห็นได้ชัดว่าชายชราคนนี้รู้จักกับคุณปู่สองของเขา เท่านี้ก็นับว่าเขาเป็นญาติผู้ใหญ่แล้ว “ใช่แล้วครับ คุณปู่ ผมเป็นหลานของเขาครับ”

ชายชราหัวเราะออกมา ดูท่าทางเขาน่าจะมีอายุประมาณเก้าสิบกว่าปี บนศีรษะมีเส้นผมสีขาวบางตา ทว่าเสียงพูดกลับยังก้องกังวานชัดเจน เพียงแต่ว่าสำเนียงจีนกลางของเขาไม่ค่อยลื่นไหลเท่านัก สำเนียงคล้ายกับคนทางเหนือมากกว่า ซึ่งฉินสือโอวเองก็ฟังรู้เรื่อง

ชายชราควานหากระเป๋าตังค์ออกมา ข้างในนั้นมีภาพถ่ายรูปหมู่อยู่หนึ่งใบ ในนั้นเป็นภาพของคนกลุ่มหนึ่งที่ยังหนุ่มยังแน่น เขาชี้ให้ดูชายหนุ่มตัวสูงที่อยู่ตรงกลางพร้อมกับพูดว่า “คนนี้ นายจำได้ไหมว่าคนนี้คือใคร?”

ฉินสือโอวเคยเห็นรูปถ่ายของปู่สองมาหลายครั้ง พวกเขาทั้งสองคนมีใบหน้าที่คล้ายคลึงกันมาก ซึ่งอาจจะเกี่ยวกับการถ่ายทอดทางพันธุกรรมระหว่างรุ่น ดังนั้นแค่มองแวบเดียวเขาก็จำได้แล้ว คนที่ชายชรากำลังชี้ให้ดูก็คือปู่สองของเขานั่นเอง

ฉินสือโอวประคองชายชราเพื่อไปหาที่นั่ง หลังจากนั้นก็ถามเขาว่า “สมัยสงครามโลกครั้งที่สอง คุณปู่เป็นเพื่อนร่วมรบกันเหรอครับ?”

ชายชราหัวเราะออกมาแล้วพูดกับเขาว่า “ใช่แล้ว ถือว่าเป็นเพื่อนร่วมรบกันนั่นล่ะ ถึงจะไม่เคยเข้าร่วมสงครามด้วยกัน แต่ก็เคยร่วมฝึกด้วยกันมาก่อน”

เอี๋ยนตงเหล่ยเล่าให้เขาฟังว่า “ผู้อาวุโสเฉินเป็นวีรบุรุษในสงครามคราวนั้น ท่านเป็นนายทหารที่สมัครเข้าร่วมกับกองกำลังทหารเฉพาะกิจ 136 ของกองทัพอังกฤษ ในตอนนั้นมีนายทหารชั้นเยี่ยมอยู่แปดสิบนาย แต่ตอนนี้เหลือท่านแค่คนเดียวแล้ว”

ได้ยินอย่างนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกเคารพและเลื่อมใสในตัวชายชราขึ้นมา ก่อนจะมาที่นี่เขาตั้งใจศึกษาเรื่องเกี่ยวกับกองทัพลับ 136 มาโดยเฉพาะ กองกำลังหน่วยนี้จัดตั้งขึ้นโดยคนจีนทั้งหมด โดยมีภารกิจคือการเข้าไปสอดแนมข้าศึกในแนวลึกและก่อภารกิจทำลายล้าง ถ้าใช้คำแบบสมัยปัจจุบัน พวกเขาก็คือหน่วยรบพิเศษนั่นเอง

สาเหตุที่กองกำลังทั้งกองมีแต่ทหารชาวจีน ก็เพราะสนามรบเอเชียในตอนนั้นจำเป็นต้องใช้ทหารที่มีลักษณะแบบคนเอเชีย เพื่อให้ง่ายต่อการส่งไปปฏิบัติภารกิจในแนวหลังของกองทัพญี่ปุ่นที่เป็นศัตรู และในสมัยนั้นคนเอเชียส่วนใหญ่ที่อยู่ในแคนาดาส่วนมากก็มีแต่ชาวจีน

ชายชราตบลงไปบนมือของฉินสือโอวเบาๆ พร้อมกับพูดว่า “ฉันได้รู้จักกับปู่ของนายตั้งแต่ตอนนั้น พวกเราทุกคนถูกเกณฑ์เข้าไปอยู่ในกองกำลังทหารเฉพาะกิจ 136 กองฝึกแวนคูเวอร์ แต่ต่อมานายทหารชั้นผู้ใหญ่ของอังกฤษรู้ว่าพี่ฉินมีทักษะในการว่ายน้ำที่ดี จะให้ไปรบที่เอเชียตะวันออกก็จะเป็นการเสียเปล่าเกินไป ดังนั้นพวกเราก็เลยต้องแยกจากกัน”

เรื่องนี้ฉินสือโอวเคยได้ยินที่เออร์บักเล่าให้ฟังมาก่อนแล้ว ปู่สองของเขาไม่ได้สมัครเข้าร่วมกับกองทัพ แต่รับผิดชอบภารกิจด้านการขนส่งของกองกำลังพันธมิตรที่มหาสมุทรแอตแลนติกเหนือ ปู่ของเขาเคยมีเรือขนส่งอยู่ในมือถึงหนึ่งขบวนเรือ

ก่อนช่วงปีแปดศูนย์ เป็นช่วงที่ชาวจีนในแคนาดาใช้ชีวิตได้อย่างยากลำบาก พวกเขาถูกเหยียดหยามอย่างรุนแรง การที่ชาวจีนจะเปิดฟาร์มปลาส่วนตัวนั้นเป็นเรื่องที่แทบจะเป็นไปไม่ได้เลย แต่เพราะปู่สองของเขาเคยสร้างคุณูปการในช่วงสงคราม อีกทั้งยังมีขบวนเรือขนส่งที่ช่วยเก็บเงินตั้งตัว ปู่สองของเขาจึงสามารถสร้างฟาร์มปลาต้าฉินขึ้นมาได้

คนแก่ชอบพูดถึงเรื่องในอดีต ต่อจากนั้นชายชราจึงเริ่มเล่าเรื่องราวบางส่วนของเขากับฉินหงเต๋อในสมัยนั้นรวมถึงประสบการณ์ในสนามรบของตัวเองให้ฉินสือโอวฟัง

จากคำบอกเล่าของชายชราทำให้เขาสามารถสัมผัสได้ถึงการดูถูกเหยียดหยามที่คนจีนในสมัยนั้นต้องเผชิญได้เป็นอย่างดี ในช่วงแรกของการทำสงคราม คนหนุ่มชาวจีนที่อยากจะสมัครเข้าร่วมกับกองทัพล้วนแต่ได้รับการปฏิเสธกลับมาทั้งสิ้น โดยเฉพาะกับกองทัพทหารอากาศ ตลอดทั้งช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง กองทัพอากาศของแคนาดาไม่เคยรับชาวจีนเข้าไปในกองทัพเลยแม้แต่คนเดียว

แต่ด้วยสงครามที่ดำเนินไปอย่างต่อเนื่อง แนวหน้าจึงต้องการกำลังทหารมากยิ่งขึ้น ในปี 1940 ถึงเพิ่งจะเริ่มรับชาวจีนเข้าไปเป็นทหารให้กอง ในช่วงแรกพวกเขาส่วนใหญ่จะติดตามกองทัพแคนาดาไปเข้าร่วมสมรภูมิรบในยุโรป แต่หลังจากนั้นก็พบว่าพวกเขามีประโยชน์กับสมรภูมิรบในเอเชียมากกว่า ต่อแต่นั้นจึงจัดตั้งกองกำลังทหารเฉพาะกิจ 136 ขึ้นมา

“ตอนนั้นคุณปู่ทำหน้าที่อะไรเป็นหลักเหรอครับ?” ฉินสือโอวถาม

ชายชราจึงอธิบายให้เขาฟังด้วยรอยยิ้ม “ส่วนใหญ่ก่อนกองทัพใหญ่จะเริ่มปฏิบัติภารกิจ ก็จะต้องทำภารกิจสอดแนมแนวหลังของข้าศึก เพื่อตรวจดูการจัดวางแนวป้องกันของพวกญี่ปุ่น พอเริ่มปฏิบัติการแล้ว ถึงจะเริ่มภารกิจทำลายล้าง ฉันเคยไปพม่าเพื่อเป็นล่ามให้คนอเมริกากับกองทัพของนายพลไต้อันหลานด้วยนะ ก็ตอนนั้นพวกเราเป็นพันธมิตรกันใช่ไหมล่ะ”

พอพูดถึงตรงนี้ เขาก็เงียบไปพักหนึ่งแล้วพูดต่ออีกว่า “นายพลไต้อันหลานเป็นวีรบุรุษที่แท้จริง เขากล้าต่อสู้ในสงครามที่ดุเดือด ผู้บัญชาการชาวอเมริกาของเราในตอนนั้นให้ความเคารพเขาเป็นอย่างมาก น่าเสียดายจริงๆ”

ชายชราถึงกับส่ายหัวขึ้นมา ไต้อันหลานเป็นหนึ่งในผู้บัญชาการสูงสุดในกองกำลังเดินทัพทางไกลของพม่าในเวลานั้น กองกำลังเดินทัพทางไกลมีอัตราการเสียชีวิตในต่างประเทศที่สูงมาก แม้กระทั่งนายพลไต้อันหลานที่เป็นผู้บัญชาการกองพลที่ 200 ก็ไม่มีชีวิตรอดกลับบ้านเกิดเช่นกัน

เอี๋ยนตงเหล่ยอยากพาฉินสือโอวไปทำความรู้จักกับเพื่อนร่วมชาติชาวจีนที่มาร่วมกิจกรรมงานวันรำลึกต่อ ทว่าฉินสือโอวไม่ค่อยสนใจเท่าไรจึงบอกกับเขาว่าเดี๋ยวก็มีเวลาทำความรู้จักกันอยู่แล้ว ตอนนี้เขาขออยู่คุยกับผู้อาวุโสเฉินก่อน

คนเราพอแก่ตัวลงแล้วงานอดิเรกอย่างเดียวที่เหลืออยู่ก็คือการพูดคุย คาดว่าปกติชายชราก็คงจะไม่ใช่คนช่างพูดเท่าไรนัก ตอนที่ได้เจอกันเอี๋ยนตงเหล่ยก็เล่าให้ฉินสือโอวฟังว่า หลังจากปลดประจำการท่านก็ไม่ได้แต่งงาน อยู่ตัวคนเดียวมาตลอด

พอเอี๋ยนตงเหล่ยเดินจากไป ก็เหลือแค่ฉินสือโอวกับชายชราที่อยู่คุยกันเพียงลำพัง โดยที่เขาเป็นคนหาเรื่องคุย ซึ่งนี่ไม่ใช่เรื่องยากเลย แค่คุยกันเรื่องเหรียญตราที่อยู่บนตัวของชายชราก็พอแล้ว

คุยกันไปแล้วหนึ่งชั่วโมง คราวนี้เอี๋ยนตงเหล่ยก็เข้ามาหาเขาแล้วบอกว่ากิจกรรมจะเริ่มแล้ว ให้พวกเขาไปร่วมกิจกรรมด้วยกัน

ฉินสือโอวประคองชายชราให้ลุกยืนขึ้น ตอนที่กำลังจะเดินออกไป ชายชราก็ตบหน้าผากเขาเบาๆ แล้วพูดว่า “อั๊ยย๊า ตอนนี้หัวสมองของฉันมันเริ่มใช้การได้ไม่ดีแล้ว เมื่อก่อนฉันเคยเตรียมของขวัญชิ้นหนึ่งไว้ให้พี่ฉิน เฮ้อๆๆ ถ้ารู้ตั้งแต่แรกว่าจะได้เจอหลานของพี่ ฉันคงเอามันมาให้เขาด้วยแล้ว”

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท