ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1333 พระจันทร์สีเลือดกับกระแสน้ำทะเลที่ลดลง

บทที่ 1333 พระจันทร์สีเลือดกับกระแสน้ำทะเลที่ลดลง

ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ดาราศาสตร์ชมจันทร์เป็นครั้งแรกในชีวิต ฉินสือโอวคิดว่านี่เป็นเรื่องหนึ่งที่ควรค่าแก่การจดจำ ดังนั้นเขาจึงโอบกระบอกเลนส์เอาไว้แล้วถ่ายรูปคู่กับมัน หลังจากนั้นก็โพสต์รูปภาพอวดคนในเวยป๋อกับทวิตเตอร์

แต่ในความเป็นจริงแล้วเขากลับมองไม่เห็นอะไรเลย หรือจะพูดอีกอย่างว่า บนดวงจันทร์ไม่ได้มีสิ่งควรค่าให้ชมเลยสักอย่าง

แต่กลับกันเมื่อไม่ได้ใช้กล้องโทรทรรศน์ เพียงแค่เงยหน้าขึ้นไปมองดูพระจันทร์สีน้ำตาลอมแดงบนท้องฟ้าด้วยตาเปล่า แบบนั้นกลับมีความน่าสนใจยิ่งกว่า

พอเขาพูดกับบัตเลอร์แบบนี้ บัตเลอร์จึงตอบเขากลับมาด้วยความโมโห “นายอย่าตอบแทนน้ำใจกันแบบนี้เลย เพื่อน นี่เป็นกล้องโทรทรรศน์ของฉันแท้ๆ แต่ฉันดันใช้มันเพื่อดูปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดไม่ได้!”

พระจันทร์กับโลกกำลังอยู่ในวงโคจรเดียวกัน ปรากฏการณ์พระจันทร์สีเลือดเต็มดวงเกิดขึ้นแค่ราวๆ ยี่สิบนาทีเท่านั้น ในที่แห่งนี้มีผู้คนที่กำลังรอชมซูเปอร์มูนอยู่นับร้อย ทว่ากล้องโทรทรรศน์กลับมีอยู่แค่สองตัว คาดว่าพวกเขาคงจะแย่งชิงกันอย่างดุเดือด

ฉินสือโอวจึงถามด้วยความงงงวยว่า “ฉันให้นายตามชาร์คไปไม่ใช่เหรอ? พวกนายไปต่อแถวดูสิ”

บัตเลอร์พูดอย่างขุ่นเคือง “ใช่แล้ว ใช่ ไปกับชาร์ค ไปกับบูล ไปกับเบิร์ด ไปกับนีลเซ็น แต่มันมีประโยชน์ตรงไหนกัน? พอดูเสร็จพวกเขาก็ไป ไม่ได้จองที่ไว้ให้ฉันเลย! นายดูแลลูกน้องของนายให้มันดีๆ หน่อยเถอะ!”

นี่มันเกินไปจริงๆ ฉินสือโอวเรียกชาร์คและคนอื่นๆ เข้ามาหาด้วยท่าทางเคร่งขรึมจริงจัง พวกชาร์คจึงร้องขอความเป็นธรรมแล้วพูดกับเขา “ไม่ใช่ครับ บอส เมื่อสักครู่พวกเราตามหาคุณบัตเลอร์อยู่ตลอด แต่ก็หาเขาไม่เจอ เลยคิดว่าเขาไม่ได้ตามพวกเรามา”

“ฟัคยู ฉันตามก้นนายอยู่ตลอดเลยเหอะ!”

“ชิท คุณเปิดสกิลล่องหนหรือเปล่าเนี่ย? ผมหาคุณไม่เจอจริงๆ นะ”

“ผมก็เหมือนกัน”

ฉินสือโอวหันไปมองบัตเลอร์ แล้วพูดกับเขาอย่างคนไม่รู้ว่าจะพูดอะไร “เพื่อน ใครบอกให้นายใส่เสื้อผ้าสีดำมาคืนนี้กันล่ะ?”

บัตเลอร์ชี้นิ้วไปที่ทุกๆ คนแล้วพูดอย่างโกรธจัดว่า “พวกนายแม่งเหยียดเชื้อชาติ! ฉันจะบอกให้ว่าที่พวกนายพูดมันเป็นการดูถูกคนดำอย่างพวกเรา!”

ชาร์คแผ่มือทั้งสองข้างออกอย่างคนที่ไม่มีความผิด ฉินสือโอวจึงส่งสายตาบอกเป็นนัยว่าเขาเข้าใจ คืนนี้เป็นคืนจันทรุปราคาเต็มดวงทำให้ไม่มีแสงจันทร์ และเพื่อชมปรากฏการณ์ทางธรรมชาติเลยไม่ได้เปิดไฟ มีเพียงกองไฟที่สุมไว้อยู่ไม่กี่กองเท่านั้น แถมยังอยู่ห่างกันตั้งไกล ยิ่งคนดำแบบเขาสวมเสื้อผ้าสีดำแบบนี้ แล้วใครมันจะมองเห็นเขากันล่ะ?

เมื่อชมซูเปอร์มูนจนสมกับความปรารถนาไปแล้ว ฉินสือโอวก็ไปที่กลับบ้าน แล้วปล่อยจิตสำนึกแห่งโพไซดอนออกไปค้นหาหอยงวงช้างที่แถบชายฝั่งทะเลในบริเวณที่ค่อนข้างเป็นจุดศูนย์กลาง เขาจดจำไว้อย่างคร่าวๆ พรุ่งนี้พอมาขุดหาหอยงวงช้างก็ทำได้ง่ายแล้ว

จิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งสามสายท่องไปในบริเวณแถบชายฝั่งทะเล ส่วนจิตสำนึกแห่งโพไซดอนอีกสายหนึ่งก็ท่องไปตามแม่น้ำสายเล็ก ตอนนี้ถึงช่วงที่ปลาไส้ตันฟลอริดาจะฟักออกจากไข่แล้ว ลูกปลาไส้ตันจึงปรากฏตัวให้เห็นอยู่อย่างไม่ขาดสาย เขาต้องดูพวกมันสักหน่อย แล้วพาพวกมันกลับไปด้วยกัน

ตัวของลูกปลาไส้ตันฟลอริดาที่เพิ่งฟักตัวออกมาจากไข่ยังมีขนาดเล็กแค่นิดเดียวเท่านั้น ดวงตาของมนุษย์แทบจะไม่สามารถแยกออกได้เลย ฉินสือโอวใช้จิตสำนึกแห่งโพไซดอนค้นหาพวกมันได้อย่างยากลำบาก แต่เขาต้องพาพวกมันกลับไปให้ทันเวลา ถ้ายังทิ้งพวกมันไว้ในลำธาร พวกมันก็จะกลายเป็นอาหารของตัวหมัดน้ำสารพัดชนิด

การแพร่พันธุ์ถึงจะนับว่าเป็นวิธีขยายฝูงปลาที่ดี เมื่อลูกปลาไส้ตันฟลอริดาฟักตัวแล้ว ฉินสือโอวประมาณการไว้ว่าน่าจะสามารถขยายฝูงปลาได้ถึงหนึ่งร้อยเท่า! แบบนี้รอแค่ลูกปลาโตขึ้นก็สามารถจับขึ้นมาขายได้แล้ว

ฉินสือโอวคาดหวังกับปลาไส้ตันฟลอริดาเป็นอย่างมาก ตั้งแต่พาพวกมันกลับมาที่ฟาร์มปลา นานๆ ครั้งถึงจะตกพวกมันขึ้นมากินสักตัวสองตัว นอกเหนือจากนั้นเขาก็จะรักษาปลาชนิดนี้ไว้อย่างดี

นับตั้งแต่เกิดจันทรุปราคาเต็มดวงในครั้งนั้น น้ำทะเลบริเวณชายทะเลก็เริ่มลดระดับลง ทีแรกกระบวนการนี้ยังเป็นไปอย่างเชื่องช้า แต่พอถึงช่วงสิบเอ็ดโมงเป็นต้นไปน้ำทะเลก็จะลดระดับลงค่อนข้างเร็ว ซึ่งฉินสือโอวก็สามารถสัมผัสได้ถึงความเปลี่ยนแปลงของระดับน้ำทะเลทุกครั้งที่กลับไปตรวจตามบริเวณชายฝั่ง

เขาตื่นมาออกกำลังกายยามเช้า เมื่อออกไปยืนอยู่บนชายหาด สิ่งที่มองเห็นก็คือแนวปะการังหลากสีที่กำลังเปิดรับอากาศ ชายหาดแตกต่างกับโลกใต้ทะเลอย่างเห็นได้ชัด สิ่งหนึ่งเกิดขึ้นจากทรายเม็ดละเอียดสีเงินที่อยู่รวมตัวกัน ส่วนอีกสิ่งหนึ่งเป็นสีเขียวดั่งมรกต ก้นทะเลในบริเวณใกล้ชายฝั่งเต็มไปด้วยสาหร่ายทะเลสีเขียวเข้ม

ฉินสือโอวสูดหายใจเข้าลึกๆ กลิ่นคาวเค็มของน้ำทะเลก็ไหลเข้ามาตามหลอดลมลงมาจนลงไปถึงหลังจากสูดหายใจเข้าลึกๆ อยู่หลายครั้งก็รู้สึกสดชื่นขึ้นมา ราวกับว่าเขาได้ชำระล้างหลอดลมและปอดด้วยการสูดอากาศเข้าไป

หู่จือกับเป้าจือวิ่งเข้ามาหา พวกมันใช้อุ้งเท้าเขี่ยไปมาอยู่หลายครั้ง จนหมึกกระดองที่อยู่ใต้สาหร่ายทะเลก็โผล่หัวออกมา มันคิดจะหนีไปให้ไวแต่ก็ถูกหู่จือตะครุบไว้เสียก่อน ต่อจากนั้นก็คาบมันไว้ในปากแล้ววิ่งส่ายก้นกลับเข้ามาหาเขา

สุนัขแลบราดอร์จับสิ่งมีชีวิตจำพวกหมึกกระดองได้เป็นครั้งแรก ทั้งยังนึกว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตแปลกประหลาดชนิดใหม่ มันจึงนำมาวางไว้ตรงหน้าฉินสือโอวแล้วแหงนหน้ารอรับคำชมจากเขา

ฉินสือโอวหัวเราะออกมา แล้วขยี้ใบหูใหญ่ๆ ของหู่จือเพื่อเป็นรางวัล คราวนี้พอได้รับแรงเชียร์หู่จือและเป้าจือก็ยิ่งคึกคักยิ่งกว่าเดิม พวกมันวิ่งลงทะเลอีกครั้งแล้วเขี่ยสาหร่ายทะเลออก ของที่พวกมันหาได้ก็มักจะเป็นสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กที่ซ่อนตัวอยู่ข้างใต้

อย่างเช่นปูเสฉวนบก ปูก้ามดาบ ลูกปูหิมะ ลูกกุ้งมังกรกับพวกลูกหมึก สิ่งมีชีวิตเหล่านี้มักจะซ่อนตัวอยู่ในพื้นทราย เพียงไม่นานสุนัขแลบราดอร์ทั้งสองตัวก็สามารถรวบรวมพวกมันได้ถึงหนึ่งกอง

ฉินสือโอวลองตรวจดูแล้วก็อดแสยะปากออกมาไม่ได้ ท่าจะไม่ดีแล้วสิ สาหร่ายทะเลเพิ่งจะโตเต็มที่ทั้งยังเหี่ยวเฉาได้ไว น้ำทะเลลดระดับครั้งนี้ทิ้งสิ่งมีชีวิตเล็กๆ ไว้ไม่น้อยเลย

สาหร่ายทะเลมีความสามารถในการรักษาน้ำทะเล ดังนั้นเมื่อน้ำทะเลลดระดับลง สิ่งมีชีวิตที่ซ่อนตัวอยู่ในทรายบางส่วนจึงไม่สามารถตามน้ำทะเลที่ลดลงไปได้ทันเวลา ทำให้ถูกทิ้งไว้แบบนี้

ระดับน้ำทะเลที่ลดลงอย่างหนักครั้งนี้จะกินเวลาสิบสองชั่วโมง นี่เป็นน้ำทะเลลดระดับครั้งใหญ่ที่สุดในรอบปี ต้องรอให้ถึงตอนเที่ยงวันระดับน้ำทะเลถึงจะค่อยๆ กลับมาสูงขึ้น ในระหว่างนี้สิ่งมีชีวิตบางส่วนจะต้องตายลงอย่างแน่นอน อย่างเช่นพวกปลาลิ้นหมาพันธุ์เล็กเป็นต้น

หลังจากทานอาหารเช้าเรียบร้อยแล้วบรรดาชาวประมงก็ขนเอาอุปกรณ์มาขุดหอยงวงช้าง พวกเชอร์ลี่ย์ กอร์ดอนก็กระโดดโลดเต้นวิ่งตามมาด้วย พวกเขาถามฉินสือโอวด้วยความตื่นเต้นดีใจว่า “ฉิน พอจะมีงานให้รางวัลให้นักล่ามือทองได้ทำบ้างไหม?”

ฉินสือโอวยิ้มหัวเราะพร้อมกับพูดว่า “มาสิ มีงานให้ทำจริงๆ ล่ะ เอาเลยพวกนายไปแหวกสาหร่ายตามหาปลาชนิดนี้หน่อย ปลาลิ้นหมาพันธุ์เล็ก ถ้าเจอแบบที่ยังเป็นๆ อยู่ก็เก็บรวบรวมไว้ในถังใส่น้ำ สิบตัวหนึ่งดอลลาร์”

กอร์ดอนยืดอกขึ้นเตรียมตัวจะต่อราคา คราวนี้เสี่ยวชาร์คไม่ได้ขัดเขาแล้ว แต่คอยศึกษาวิธีอยู่ทางด้านหลังแทน

“ฉิน คุณก็รู้นี่ ผมว่าราคาเท่านี้ไม่ค่อยเหมาะเท่าไรนะ” กอร์ดอนเริ่มพูดประโยคเดิมเหมือนทุกครั้ง

ฉินสือโอวก็พูดยิ้มๆ ว่า “เหมือนว่าราคาน่าจะต่ำไปหน่อยใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นนายอยากได้เท่าไรล่ะ? หนึ่งตัวหนึ่งร้อยดอลลาร์เอาแบบนั้นไหมล่ะ?”

กอร์ดอนเกาจมูกด้วยความประหม่าแล้วพูดว่า “ไม่ต้องถึงกับตัวละร้อยหรอก ตัวละห้าสิบก็พอแล้ว…”

ฉินสือโอวกลอกตาใส่เขาหนึ่งที “ห้าสิบดอลลาร์บ้านนายน่ะสิ! อยากทำก็ทำไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำ ตัวละหนึ่งร้อยเซ็นต์ ถ้าไม่ทำก็กลับไปเขียนการบ้านนู้น!”

กอร์ดอนซึมลงไปทันที เขาทำอะไรไม่ได้แล้วจึงตอบกลับไปว่า “โอเค พวกเราจะทำครับ แต่ฉิน แบบนี้คุณกำลังทำผิดกฎหมายอยู่นะ ผมเคยเรียนเรื่องกฎหมายมาตรฐานแรงงานกับพี่วินนี่!”

ฉินสือโอวจึงตอบกลับไปว่า “อืม ถ้านายเรียนเรื่องกฎหมายมาตรฐานแรงงานมาแล้ว ถ้าอย่างนั้นนายก็น่าจะรู้แล้วใช่ไหมว่าสมาคมแรงงานกับศาลไม่อนุญาตให้พวกเราใช้แรงงานเด็ก?”

กอร์ดอนตอบว่า “พวกเราไม่ใช่เด็กสักหน่อย พวกเราคือนักล่าเงินรางวัลต่างหาก!”

“ถ้าเป็นนักล่าเงินรางวัลก็ไม่เหมาะที่จะใช้กฎหมายมาตรฐานแรงงานน่ะสิ ดังนั้นอย่าทำให้ฉันต้องเสียเวลา ถ้าจะทำก็ไปเริ่มงาน ทำเสร็จแล้วค่อยเอาปลามารับเงินรางวัล” ฉินสือโอวโบกมือปัดด้วยความรำคาญ

กอร์ดอนพูดอย่างท้อใจ “ฉิน คุณเผด็จการเกินไปแล้วนะ ทำไมไม่ปลูกฝังความกระตือรือร้นต่อการทำงานให้พวกเราสักหน่อยล่ะ?”

ฉินสือโอวโอบเขาไว้แล้วพูดด้วยรอยยิ้ม “ที่รัก ฉันกำลังช่วยให้พวกนายได้สัมผัสถึงด้านมืดของสังคมล่วงหน้า ดังนั้นรีบไปทำงานซะ ตอนนี้ฉันคือนายทุนหน้าเลือด เข้าใจหรือยัง?”

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท