ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1347 จัดหาที่อยู่ใหม่ให้ทหารผ่านศึก

บทที่ 1347 จัดหาที่อยู่ใหม่ให้ทหารผ่านศึก

เมื่อพยายามเข้าใจแล้วแต่ไม่เข้าใจก็เลิกทำมันเสียเลย ฉินสือโอวดึงจิตสำนึกแห่งโพไซดอนกลับมา ถึงจะแค่ช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับพลังที่เขามีอยู่แล้วแต่ก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี เขาพอใจกับจิตสำนึกแห่งโพไซดอนทั้งแปดสายที่เขามีอยู่ในตอนนี้เป็นอย่างมาก แบบนี้พลังในการควบคุมมหาสมุทรของเขาก็แข็งแกร่งยิ่งขึ้นแล้ว

ในอ่างอาบน้ำหลงเหลือเพียงน้ำสีขุ่นกับสภาพอ่างที่เละเทะ ฉินสือโอวดึงฝาอุดรูระบายน้ำในอ่างออกเพื่อให้น้ำสกปรกไหลลงไป ต่อจากนั้นจึงเอนตัวนอนลงบนเตียงด้วยความพึงพอใจจนถึงขีดสุด

พอเวลาอาหารเที่ยง เออร์บักโทรศัพท์มาหาเขาเพื่อบอกให้เขาไปทานข้าวกับนายทหารเก่า

ฉินสือโอวรีบจัดการแต่งตัวทันที ได้ประโยชน์จากนายทหารเก่ามากมายขนาดนี้แล้วก็ควรตอบแทนเขาด้วย และสิ่งตอบแทนนั้นก็ไม่ใช่แค่สิ่งของที่เป็นวัตถุ แต่ยังมีสิ่งตอบแทนทางความคิดรวมถึงจิตใจอีกด้วย นั่นคือเขาต้องให้ความเคารพกับทหารผ่านศึกคนนี้

ยิ่งไปกว่านั้นตัวตนของทหารผ่านศึกท่านนี้ก็ควรค่าแก่การเคารพ ถ้าเป็นเขา เขาคงไม่กล้ารับประกันเหมือนกันว่าจะเก็บของที่ไม่มีประโยชน์กับตัวเองเลยสักนิดไว้ได้หลายสิบปีแบบนี้ไหม ถ้าเป็นคนอื่น อำพันทะเลก้อนนี้น่าจะถูกโยนทิ้งไปนานแล้ว

ฉินสือโอวพานายทหารเก่าไปที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง เมื่อเห็นว่าเป็นร้านอาหารที่มีการตกแต่งอย่างหรูหรา ตอนที่เดินเข้าไปในร้าน ทหารเก่าก็บ่นพึมพำกับตัวเองว่า ตั้งแต่ย้ายมาเขายังไม่เคยมาทานอาหารในร้านแบบนี้เลย

ในขณะที่อาหารกำลังถูกนำมาเสิร์ฟ เมนูแรกที่นำมาขึ้นโต๊ะก็คือก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่ชามโต เคียงกับหมูสับและมีผักสีที่มีเขียวโรยหน้า ก๋วยเตี๋ยวเส้นใหญ่สีขาวราวกับหิมะ และด้านบนยังถูกแกะสลักลวดลายไว้อีกต่างหาก

ร้านอาหารจีนร้านนี้เป็นร้านที่ฉินสือโอวตั้งใจหาจากอินเทอร์เน็ต พวกเขาเชี่ยวชาญการทำอาหารประเภทหมี่ และได้รับการยอมรับว่าเป็นหนึ่งในร้านอาหารประเภทหมี่ที่ดีที่สุดในเมืองแวนคูเวอร์ แน่นอนว่าราคาของอาหารที่นี่ต้องไม่ถูก ก๋วยเตี๋ยวชามใหญ่ไซส์นี้มีราคาอยู่ที่หกสิบดอลลาร์กว่าๆ ราคาเท่ากับคนธรรมดาทานอาหารมื้อหนึ่งเลย

พอได้เห็นก๋วยเตี๋ยวชามนี้ ชายชราก็ถึงกับยิ้มออกมา พูดกับเขาด้วยความเกรงใจว่า “เสี่ยวฉินช่างจิตใจดีจริงๆ”

ตอนที่กำลังทานอาหารฉินสือโอวก็แอบกระซิบถามเออร์บักถึงเรื่องสถานดูแล ทนายอาวุโสจึงพยักหน้าแล้วบอกกับเขาว่า “ปู่เต็มใจจะไปที่นั่น เรื่องสถานดูแลทหารผ่านศึก ท่านรู้จักเรื่องนี้ดียิ่งกว่าพวกเราเสียอีก เห็นได้ชัดว่าท่านน่าจะเคยคิดที่จะเข้าไปอยู่ที่นั่นมาก่อนแล้ว”

ส่วนเรื่องที่ว่าทำไมสุดท้ายแล้วถึงไม่ได้ไป เหตุผลก็ไม่มีอะไรซับซ้อน ต้องเป็นเพราะท่านมีเงินไม่พออย่างแน่นอน

แคนาดามีสวัสดิการสังคมที่ดีเป็นหนึ่งในอันดับต้นๆ ของโลก อย่างเช่นการรักษาพยาบาลฟรีสำหรับทุกคน สาธารณูปโภคที่ครบครันและการยกเว้นค่าใช้จ่ายด้านการศึกษาฟรี 12 ปีเป็นต้น แต่การที่จะได้รับสวัสดิการพวกนี้ อย่างแรกก็ต้องเป็นบุคคลที่จ่ายภาษี ต้องมีประกันสังคม ไม่อย่างนั้นก็อย่าพูดถึงเรื่องพวกนี้เลย

ถ้าอย่างนั้นพูดถึงค่าเทอมฟรีดีกว่า ไม่ว่าจะเป็นลูกของใครก็คงจะได้รับการยกเว้นค่าเทอมใช่ไหมล่ะ? ที่จริงแล้วไม่ใช่เลย มีแค่ครอบครัวที่จ่ายภาษีเท่านั้นที่จะได้รับสิทธิสวัสดิการแบบนี้ ซึ่งจะอยู่ที่ปีละประมาณห้าร้อยดอลลาร์แคนาดา

นายทหารเก่าไม่มีประกันสังคม เขาไม่ได้รับเงินบำนาญ ไม่ใช่ว่าตอนเป็นหนุ่มเขาไม่ขยัน แต่เป็นเพราะเขาประสบกับความไม่เป็นธรรมที่มากเกินไปต่างหาก

ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สอง นายทหารเก่าเสี่ยงชีวิตเพื่อประเทศแคนาดา แต่พอสงครามสิ้นสุดลง พวกเขากลับถูกบีบให้ปลดประจำการ หลังจากออกจากการเป็นทหารพวกเขาก็มาหางานทำ แต่เพราะการเหยียดเชื้อชาติทำให้พวกเขาไม่สามารถหางานที่ดีได้เลย มีแต่งานที่ไม่มั่นคง ที่ไม่เพียงแต่ให้รายได้ต่ำแต่ยิ่งไปกว่านั้นคือไม่มีบริษัทไหนชำระค่าประกันสังคมให้กับพวกเขาเลย…

ทว่านายทหารผ่านศึกเฉินปล่อยวางเรื่องนี้ได้ดีมาก ขณะที่พูดคุยกันเรื่องนี้บนโต๊ะอาหาร เขาก็หัวเราะฮ่าๆ พร้อมกับเล่าว่า “แต่ต่อมาการดูถูกเหยียดหยามคนจีนในแคนาดาก็ไม่ได้หนักหนาเท่าไรแล้วล่ะ ความพยายามของเราก็ได้รับผลตอบแทนคืนมาเหมือนกัน พอคนจีนอย่างเราทำคุณประโยชน์ให้กับประเทศนี้ในช่วงสงคราม หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองจบลงได้ไม่กี่ปี รัฐบาลก็ยกเลิกนโยบายที่เป็นการดูถูกเหยียดหยามคนจีนแล้ว”

ไม่มีประกันสังคม ไม่มีเงินบำนาญ การที่ทหารผ่านศึกจะเข้าไปอยู่ในสถานดูแลจึงเป็นเรื่องที่ยากมาก เนื่องจากสถานดูแลไม่ใช่สวัสดิการขั้นพื้นฐานของรัฐ แต่มีลักษณะการดำเนินงานแบบองค์กรเอกชน จำเป็นต้องเสียค่าใช้จ่าย

ที่ดีหน่อยก็คือ ด้วยการคำนึงถึงความต้องการเกี่ยวกับสถานดูแลผู้สูงอายุที่เพิ่มมากขึ้น รัฐบาลประจำรัฐทุกรัฐในแคนาดาจึงเริ่มลงทุนและให้ทุนช่วยเหลือการบริการประเภทนี้ มหาวิทยาลัยและสถาบันการศึกษาต่างๆ ก็เปิดการเรียนการสอนในหลักสูตรเกี่ยวกับการดูแลผู้สูงอายุ ขณะนี้สถานดูแลผู้สูงอายุในแคนาดาได้กลายเป็นโอกาสในการพัฒนาแบบใหม่สำหรับองค์กรธุรกิจและการศึกษาไปแล้ว

ส่วนใหญ่แล้วสถานดูแลผู้สูงวัยในรัฐบริติชโคลัมเบียจะได้รับเงินช่วยเหลือจากรัฐบาลส่วนภูมิภาค หากเป็นของเอกชนจะต้องเสียค่าใช้จ่ายส่วนตัว โดยเฉลี่ยแล้วจะอยู่ที่ 1,100 ดอลลาร์ต่อเดือน แน่นอนว่าสถานดูแลในแต่ละที่ย่อมมีค่าใช้จ่ายที่แตกต่างกัน สถานดูแลทหารผ่านศึกของแวนคูเวอร์มีรัฐบาลเป็นผู้รับภาระค่าใช้จ่ายเป็นหลัก ทำให้มีค่าใช้บริการส่วนบุคคลอยู่ที่เดือนละ 600 ดอลลาร์โดยประมาณ

แต่ถึงจะเป็นเช่นนี้ แต่นายทหารเก่าก็รับภาระค่าใช้จ่ายไม่ไหว

แต่สำหรับฉินสือโอวแล้วเงินจำนวนเท่านี้ย่อมถือว่าเป็นเงินจำนวนน้อยนิด เช้าวันต่อมาเขาจึงขับไปที่เมืองแวนคูเวอร์ เพื่อติดต่อสถานดูแลทหารผ่านศึก

สถานดูแลแห่งนี้ตั้งอยู่ในเขตชานเมืองแวนคูเวอร์ มีบรรยากาศสวยงาม ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะธรรมชาติแห่งหนึ่ง อีกทั้งภายในสถานดูแลก็ถูกจัดแต่งให้เหมือนกับค่ายทหาร มีการขุดคูน้ำในบางพื้นที่ ที่ประตูทางเข้าก็มีทหารคอยยืนยามและมีแม้กระทั่งการจัดแสดงรถถัง

เออร์บักรับติดต่อสถานดูแลไว้ก่อนแล้ว หลังจากที่พวกเขาเดินทางมาถึงก็มีผู้หญิงสวมเครื่องแบบทหารคนหนึ่งเข้ามาพาพวกเขาไปเดินชมรอบๆ

ขณะที่กำลังแนะนำสิ่งอำนวยความสะดวกให้พวกเขาฟัง พนักงานคนนี้ก็นำเสนอจุดเด่นของพวกเขาไปด้วย “พวกเราให้การบริการได้หลายระดับแตกต่างกันไปตามค่าใช้จ่าย แต่ถึงจะเป็นบริการระดับต่ำที่สุด ก็สามารถสนองความต้องการด้านต่างๆ ในการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุท่านหนึ่งได้ อย่างเช่นการตัดผม คอยให้ความช่วยเหลือเวลาอาบน้ำ การจัดการขยะ ซักผ้า และการจัดกิจกรรมต่างๆ เป็นต้น”

ฉินสือโอวเดินดูบริเวณภายในไปแล้วหนึ่งรอบ เขาพบว่ากิจกรรมที่สถานดูแลแห่งนี้จัดให้มีอยู่หลากหลายมาก อย่างเช่นการโยนโบวลิ่ง กิจกรรมงานหัตถกรรม เกมหมากรุกและไพ่โป๊กเกอร์ การเยี่ยมชมสัตว์เลี้ยง การจับจ่ายและการท่องเที่ยวรวมถึงกิจกรรมทางกายภาพที่ออกแรงไม่มากบางส่วน

สิ่งที่เขาสนใจคือค่าบริการที่ต่างแบ่งตามระดับ จึงเอ่ยถามพนักงานว่า “ระดับสูงสุดมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่เท่าไรครับ? แล้วให้บริการอะไรบ้าง?”

พนักงานกล่าวว่า “ระดับสูงสุดมีค่าใช้จ่ายอยู่ที่ 2,800 ดอลลาร์ต่อเดือนค่ะ ให้บริการห้องพักเดี่ยว มีคนคอยดูแลโดยเฉพาะ อาหารสามารถปรับตามความชอบส่วนตัวและสุขภาพร่างกายได้ค่ะ มีการจัดงานวันเกิดส่วนตัวให้แบบนั้นเป็นต้น”

หลังจากเข้าใจชัดเจนแล้ว เขาก็ไปถามนายทหารเก่าว่ารู้สึกอย่างไรกับสถานดูแลแห่งนี้ นายทหารเก่าจึงพูดกับเขาด้วยความปลื้มอกปลื้มใจว่า “ดีมากๆ แล้ว ที่นี่ดีมากจริงๆ มีเพื่อนอยู่ด้วยกันเยอะขนาดนี้ ต้องดีกว่าอยู่คนเดียวอยู่แล้ว”

ในเมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว ฉินสือโอวจึงตรงไปชำระเงินเลยทันที เขาชำระค่าใช้จ่ายสำหรับหนึ่งปีแล้วก็ทิ้งช่องทางการติดต่อเอาไว้ ทุกๆ ปีหลังจากนี้สถานดูแลทหารผ่านศึกสามารถติดต่อเขาเพื่อเรียกเก็บค่าใช้จ่ายได้โดยตรง

“ด้วยการบริการระดับสูงที่สุด ถ้าคุณปู่ของผมมีปัญหาอะไรต้องติดต่อผมทันทีนะครับ” ฉินสือโอวกล่าว

คนมีเงินอยู่ที่ไหนก็เป็นที่ต้อนรับ พอได้ยินที่เขาพูดพนักงานก็ตอบเขากลับมาพร้อมกับแย้มรอยยิ้มกว้างจนแก้มปริ “ได้โปรดวางใจเถอะค่ะ คุณฉิน พวกเราจะดูแลทหารผ่านศึกที่น่าเคารพนับถือท่านนี้เป็นอย่างดี พวกเราจะส่งอีเมลไปให้คุณสัปดาห์ละหนึ่งฉบับทุกสัปดาห์ เพื่อรายงานสภาพร่างกายและทุกรายละเอียดต่างๆ ในการใช้ชีวิตของผู้สูงอายุท่านนี้ให้คุณทราบ”

ฉินสือโอวพยักหน้ารับ แล้วบอกกับนายทหารเก่าว่า หลังจากนี้เขาสามารถใช้ชีวิตอยู่ที่นี่และรับการบริการตามมาตรฐานระดับสูงได้อย่างสบายใจแล้ว

ดังนั้นจึงเหลือเพียงการขนย้าย แค่นำของบางอย่างที่นายทหารเก่าตัดใจทิ้งไม่ลงมาจากบ้านหลังเก่าของเขาก็เป็นอันเสร็จสิ้น เขาสั่งงานอยู่หนึ่งวันเต็มๆ จนบริษัทรับขนย้ายบ้านทำงานเสร็จเรียบร้อยแล้ว เขาก็เตรียมตัวกลับ

ขณะที่กำลังจะแยกย้าย นายทหารเก่าจับมือของฉินสือโอวแล้วหลังน้ำตาออกมาอีกครั้ง “ฉันต้องเคยทำความดีไว้ตั้งแต่ชาติที่แล้วแน่ๆ ชาตินี้ถึงได้รู้จักครอบครัวของพวกนาย พี่ฉินเคยช่วยฉันไว้หลายครั้ง มาคราวนี้นายก็ช่วยจัดหาที่อยู่ในช่วงบั้นปลายชีวิตให้ฉัน ฉันไม่รู้เลยว่าตัวเองควรจะพูดอะไรดี”

ฉินสือโอวสวมกอดนายทหารเก่าเอาไว้ แล้วพูดกับเขาว่า “ปู่เฉิน อย่าคิดมากเลยครับ นี่เป็นสิ่งที่ผมควรทำอยู่แล้ว การที่ปู่เก็บอำพันขี้ปลาก้อนนั้นไว้ให้ปู่ของผมก็ทำให้ผมซาบซึ้งใจจนไม่รู้จะขอบคุณยังไงเหมือนกัน”

………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท