ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1327 ไหนใครพูดไม่ฟัง

บทที่ 1327 ไหนใครพูดไม่ฟัง

หลังจากการก่อสร้างโดยรวมเสร็จ ก็ยังเหลือเตียงพับสองเตียง บูลหัวเราะฮ่าๆ และพูดว่า “ชิท เพื่อน อย่าบอกนะว่าพวกเราต้องเตรียมเตียงไว้ให้ม้าพวกนี้ด้วยน่ะ”

แอร์แบ็คใช้สายตาเวทนาคนโง่มองไปที่บูลแล้วพูดว่า “พูดบ้าอะไรของนาย? เตียงนี่มีไว้ให้คนนอนต่างหากเล่า!”

ชาร์คเองก็พูดอย่างไม่พอใจว่า “ไอ้โง่ อย่าเอาสติปัญญาที่มีอยู่น้อยนิดของนายไปโชว์ให้คนอื่นเห็นนะ แบบนี้จะทำให้ภาพลักษณ์ฟาร์มปลาของพวกเราดูแย่เอาได้!”

ประตูคอกม้าทั้งสองฝั่งยังมีที่ห้องเล็กที่ถูกกั้นไว้อีกสองห้อง พอแอร์แบ็คนำเตียงเข้าไปวาง หลังจากนั้นก็จะใช้เป็นที่นอนของคาวบอยได้

อย่างที่เขาว่ากันว่าม้าที่ไม่ได้กินหญ้ามื้อดึกไม่มีทางอ้วนพี การให้อาหารและการเลี้ยงม้าเป็นงานที่ยากลำบากมาก หากเป็นการเลี้ยงม้าอย่างมืออาชีพ จะต้องมีคนเข้ามานอนอยู่ในคอกม้าเพื่อทำงานกะกลางคืน

สำหรับฉินสือโอวแล้วนี่ไม่ใช่สิ่งจำเป็น เนื่องจากเขาเลี้ยงม้าแค่สองตัว อีกทั้งยังเลี้ยงไว้เพื่อความเพลิดเพลินเป็นการสำคัญ และเขาก็ไม่ได้คิดว่าจะฝึกม้าสองตัวนี้ให้กลายเป็นม้าแข่งระดับสุดยอดอะไรเลยด้วย ดังนั้นจึงไม่จำเป็นต้องลำบากมาดูแลม้าตอนกลางคืน

เมื่อเป็นเช่นนี้ห้องที่กั้นไว้สองห้องจึงสามารถใช้เป็นห้องอเนกประสงค์กับห้องเก็บของได้ ใช้ห้องหนึ่งเก็บอุปกรณ์ต่างๆ อย่างขลุมขี่พร้อมสายบังเหียนกับอานม้า ส่วนอีกห้องหนึ่งก็เอาไว้เก็บหญ้าและอาหารสำหรับเลี้ยงม้า

นอกจากนี้แล้วยังต้องสร้างส้วมหลุมไว้ในคอกม้าอีกด้วย แอร์แบ็คเองก็มีประสบการณ์เกี่ยวกับเรื่องนี้ เขาพูดอย่างจนปัญญาว่า “ก่อนฉันจะสิบห้า เงินค่าขนมส่วนใหญ่ก็มาจากการขุดส้วมหลุมนี่แหละ ชิท หนึ่งหลุมได้สองดอลลาร์ แม่งเอ๊ย ตอนนั้นฉันโคตรคึกเลยล่ะ!”

หลุมส้วนถูกสร้างไว้ด้านหลังคอกม้า ห่างจากคอกม้าประมาณสองร้อยเมตร อยู่ในที่ร่มหันหน้าไปทางทิศเหนือ แอร์แบ็คพาอีวิลสันไปช่วยกันจัดการเรียบร้อยแล้ว ขุดส้วมหลุมมีความลึก 1 เมตร และใช้ปูนซีเมนต์โบกบริเวณรอบๆ

เมื่อจัดการเสร็จการสร้างคอกม้าก็เป็นอันเสร็จสิ้นดีแล้ว ฉินสือโอวลองทดสอบน้ำกับไฟฟ้าดูแล้วพบว่าไม่มีปัญหาอะไร ต่อจากนั้นจึงพาเปากงกับตี้หลูเข้ามาข้างใน

อาศัยอยู่ในคอกม้าย่อมไม่มีความสุขเท่าได้อยู่ในทุ่งหญ้ากว้างใหญ่ หลังจากที่พวกลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ถูกพามาถึงทางเข้าคอกพวกมันก็หยุดเท้าไม่ยอมก้าวไปข้างหน้า พยายามใช้กีบเท้าไถพื้นสนามหญ้าทำการประท้วงแบบเงียบๆ

พวกหู่เป้าฉงหลัวกับลูกแมวป่าที่เดิมทีกำลังเล่นกันอยู่กับลูกม้า เมื่อเห็นว่าเพื่อนของพวกมันถูกลากเข้ามาที่นี่จึงพากันตามมาด้วย ทุกตัวกำลังมองภาพเหตุการณ์นี้ด้วยความสนอกสนใจ

เชอร์ลี่ย์เห็นแบบนี้แล้วก็ใจอ่อน เธอพูดว่า “ฉิน ช่างมันเถอะค่ะ ไม่อย่างนั้นก็เลี้ยงพวกมันแบบปล่อยดีไหมคะ? คุณดูสิ พวกหู่จือฉงต้าก็ไม่เห็นจะถูกขังเลย”

ฉินสือโอวหันไปมองลูกม้าอเมริกัน เพนต์ที่ไม่ยินยอมให้ตัวเองถูกขัง แล้วจึงหันไปมองเหล่าสัตว์เลี้ยงที่เรียงตัวเป็นแถวเดียวกันอยู่ทางด้านหลัง หลังจากนั้นเขาก็ครุ่นคิดอยู่สักพัก ในขณะที่เชอร์ลี่ย์กำลังคิดว่ามีโอกาสที่จะพลิกสถานการณ์ เขาก็พูดขึ้นมาว่า “ที่จริง ให้พวกมันเล่นอยู่ข้างนอกก็ไม่น่าจะมีปัญหาอะไร”

เมื่อได้ยินอย่างนี้เชอร์ลี่ย์ก็ดีใจขนาดหนักขึ้นมาทันที เธอยื่นแขนออกไปกอดตี้หลูเอาไว้ แต่หลังจากนั้นฉินสือโอวก็พูดต่ออีกว่า “แต่ ฉันซื้อคอกม้ามาแล้วนี่สิ จะไม่ใช้เลยก็คงไม่ได้หรอกใช่ไหมล่ะ? เพราะอย่างนั้น พาพวกมันเข้าไปอยู่ในนั้นก็ดีแล้ว ใช้ของให้เกิดประโยชน์อย่างเต็มที่ไง”

เชอร์ลี่ย์ “…”

ลูกม้าขัดขืน ฉินสือโอวจึงหันไปพยักหน้าให้กับอีวิลสัน คนหลังถอดเสื้อผ้าออก แล้วเดินเข้ามาอุ้มเปากงที่มีหัวสีดำเหมือนถ่านขึ้นมา หลังจากนั้นก็หอบฮืดฮาดพามันเข้าไปอยู่ในคอกม้า

ภาพเหตุการณ์นี้ทำให้ลูกม้าตกใจจนฉี่แทบราด เปากงถึงกับไม่กล้าดิ้นตัวออกจากอ้อมแขนของอีวิลสัน ส่วนตี้หลูก็ยิ่งเสียอาการมันฉี่เร็ดออกมาแล้วเล็กน้อย

สำหรับอีวิลสัน การอุ้มลูกม้าก็เหมือนกับการที่คนทั่วไปอุ้มลูกแกะนั่นเอง ไม่มีอะไรลำบากเลยแม้แต่นิดเดียว

อีวิลสันเดินออกมาจากคอกม้าอีกครั้ง คราวนี้ไม่จำเป็นต้องให้เขาจัดการตี้หลูก็รีบสับเท้าวิ่งเข้าไปในคอกม้าด้วยตัวเอง

ฉินสือโอวหันกลับไปเรียกปอหลัวให้เข้ามาหา หลังจากนั้นก็ให้มันมาดูลูกม้าที่ถูกขังไว้ในคอก พื้นที่ในคอกม้ามีขนาดพอดี ลูกม้าอเมริกัน เพนต์ที่ยืนอยู่ข้างในก็ยืนมองเพื่อนๆ ที่มีอิสระเป็นของตัวเองด้วยท่าทางน่าสงสาร

ฉงต้าตบประตูคอกม้า มันร้องคร่ำครวญอยู่ที่สองทีพร้อมกับเบิกตาโตจ้องมองฉินสือโอว

ฉินสือโอวไหวไหล่ เขาเคาะหน้าผากของมันแล้วพูดว่า “เห็นแล้วใช่ไหม ต่อไปนี้ถ้าใครไม่เชื่อฟัง ก็จะถูกขังไว้ในนี้ เข้าใจไหม?”

สัตว์เลี้ยงทั้งฝูงมองดูเขาด้วยท่าทางทึ่มทื่อ หลังจากนั้นหู่จือกับเป้าจือก็รีบเข้ามาเลียฝ่ามือออดอ้อนเขาทันที ลูกแมวป่าเองก็ขยับเข้ามาใกล้อย่างรักใคร่สนิทสนมพยายามทำตัวให้น่ารักเพื่อออดอ้อน

ในเวลาอาหารค่ำ พอวินนี่นำอาหารมาเทใส่ชามอาหารของบรรดาสัตว์เลี้ยง พวกมันก็พากันกินอาหารของตัวเองอย่างว่ายง่าย เมื่อกินเสร็จก็คาบชามอาหารของตัวเองเข้าไปในครัว หลังจากนั้นก็กลับไปนั่งอยู่ในห้องรับแขกอย่างเชื่องๆ

วินนี่รู้สึกประหลาดใจ เธอพูดขึ้นมาว่า “เอ๊ะ เกิดอะไรขึ้นกันแน่นะเนี่ย? ทำไมเย็นวันนี้พวกเด็กๆ ถึงว่าง่ายนักล่ะ?”

ปกติเวลากินอาหารพวกสัตว์เลี้ยงเหล่านี้จะต้องทะเลาะกันให้ได้สักครั้ง อันดับแรกฉงต้าจะเป็นฝ่ายแย่งอาหารของหู่จือกับเป้าจือก่อน แล้วหู่จือกับเป้าจือก็จะไปแย่งลูกหมาป่าขาวกินอีกที ส่วนหลัวปอก็จะแย่งของกินของลูกแมวป่า ลูกแมวป่าเองก็แย่งเฟอเรทสองพี่น้อง รังแกกันตามน้ำหนักและขนาดตัวเป็นทอดๆ

หลังจากทะเลาะกันเสร็จแล้ว กินอาหารเสร็จแล้ว การต่อสู้ก็จะถูกยกระดับขึ้น พวกมันทุกตัวจะเริ่มเล่นกัน ตีกันวุ่นวายตั้งแต่ห้องรับแขกไล่ไปจนถึงริมชายหาด ทุกๆ ครั้งก็จะมีเศษหญ้าเศษทรายติดตัวกลับมาเสมอ แต่วันนี้กลับเป็นเหมือนกับคนละคน

ฉินสือโอวหัวเราะพร้อมกับเล่าเรื่องเมื่อตอนบ่ายให้เธอฟัง วินนี่พอได้ฟังอย่างนั้นก็หัวเราะออกมาบ้าง เธออุ้มเสี่ยวเถียนกวาที่มีน้ำมันติดอยู่เต็มมือขึ้นมาแล้วพูดกับเขาว่า “พรุ่งนี้คุณพาเธอไปแถวๆ นั้นบ้างสิคะ ตอนนี้ก็มีแต่ลูกสาวของพวกเราที่ดื้อที่สุดแล้วล่ะค่ะ”

ฉินสือโอวรับลูกสาวมาอุ้ม หลังจากนั้นก็ถามเธอว่า “คนสองคนเมื่อเที่ยงที่ผมส่งไปให้ไม่ได้สร้างความวุ่นวายให้คุณใช่ไหม?”

วินนี่ไหวไหล่พูดว่า “วุ่นวายแล้วยังไงล่ะคะ? คุณเป็นสามีของฉัน ฉันก็ต้องฟังคำของคุณใช่ไหมล่ะ? มีปัญหาก็ต้องแก้ปัญหา ถ้าไม่มีปัญหาก็สร้างมันขึ้นมาจะได้ช่วยกันแก้ไข”

ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม “อืม เป็นภรรยาที่ดีจริงๆ เดี๋ยวผมจะออกใบประกาศสำหรับการเป็นแม่ที่ดีกับภรรยาที่น่ารักให้ก็แล้วกัน พูดจริงๆ เลยนะ สองคนนั้นที่ถูกส่งไปไม่ได้สร้างปัญหาอะไรใช่ไหม?”

วินนี่พูดกับเขาว่า “ไม่ได้มีปัญหาอะไรค่ะ ฉันให้พวกเขาเซ็นสัญญาแล้ว สัญญาที่เซ็นก็สอดคล้องกับกฎหมายมาตรฐานแรงงาน เงินเดือนสี่พันแปดร้อยดอลลาร์ ทำงานสัปดาห์ละสี่สิบแปดชั่วโมง มีค่าล่วงเวลาแล้วก็จ่ายค่าประกันให้ด้วย พวกเขาก็ดูเต็มใจดีนะคะ”

ที่วินนี่ทำแบบนี้ถือว่าใจดีมากๆ ปัจจุบันนี้บริษัทจัดหางานทั่วๆ ไปในแคนาดามักจะกดขี่ผู้ย้ายถิ่นฐานใหม่ เนื่องจากส่วนใหญ่เป็นผู้ที่มีการศึกษาต่ำ ทั้งยังไม่รู้กฎหมายมาตรฐานแรงงาน

เหตุการณ์ประเภทนี้เกิดขึ้นอย่างกว้างขวางโดยเฉพาะในช่วงสองปีก่อน ซึ่งเป็นช่วงที่แคนาดายอมรับผู้อพยพมากที่สุด ธุรกิจที่ไม่เป็นไปตามกฎหมายบางแห่ง จะบีบแรงงานอพยพใหม่ด้วยวิธีนี้ แม้กระทั่งงานนั่งโต๊ะก็ยังถูกเอารัดเอาเปรียบ

แต่ต่อมาหลังจากการต่อสู้ของสหภาพแรงงาน รัฐบาลพรรคเสรีนิยมจึงต้องจัดทำร่างพระราชบัญญัติฉบับที่ 18 โดยกำหนดให้หน่วยงานจัดหาแรงงานชั่วคราวและบริษัทที่เป็นลูกค้าของพวกเขาต้องรับรองค่าจ้าง ค่าจ้างงานในวันหยุดราชการและค่าล่วงเวลาของพนักงานตามกฎหมาย

แต่ถึงแม้จะมีข้อกำหนดทางทางกฎหมายแล้ว แต่ก็ยังมีบริษัทขนาดเล็กบางแห่งที่กดขี่แรงงานอพยพใหม่อยู่ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับงานในชนบท ดังนั้นแม้ว่าแคนาดาจะมีสวัสดิการที่ดี แต่ก็ไม่ใช่สวรรค์ ยิ่งเป็นผู้อพยพย้ายถิ่นฐานใหม่ที่ไม่มีความรู้ความเข้าใจแล้ว ก็เรียกได้ว่านี่คือนรกดีๆ นี่เอง

เมื่อวานนี้ตอนที่ฉินสือโอวกำลังค้นหาข่าวเกี่ยวกับบริษัทนายหน้าผิดกฎหมาย เขาเห็นข่าวมากมายที่เกี่ยวข้องกับการกดขี่เอารัดเอาเปรียบแรงงานที่เพิ่งอพยพย้ายถิ่นฐานมาใหม่ โดยเฉพาะผู้อพยพชาวจีนที่ต้องพบกับการกดขี่ครั้งแล้วครั้งเล่า

ผู้อพยพชาวจีนมักจะมีจิตสำนึกในการรักษาสิทธิของตนที่ค่อนข้างต่ำ อีกทั้งยังมีโอกาสน้อยมากที่ชาวจีนจะลาออกหรือฟ้องร้องผู้ว่าจ้างเพราะไม่ได้รับค่าล่วงเวลาหรือค่าจ้างในวันหยุดราชการ พวกเขามักจะจัดการปัญหาเรื่องการไม่ได้รับค่าจ้างด้วยการลาออกเพื่อหลีกเลี่ยงปัญหา โดยจะไม่เอาตัวเองไปพบกับความยุ่งยากแค่เพราะเพื่อเงินค่าจ้างสำหรับหนึ่งถึงสองสัปดาห์

และก็เป็นเพราะเห็นข่าวพวกนี้ ฉินสือโอวจึงตัดสินใจช่วยซ่งชิงซานกับคาปาไล ก็เหมือนกับที่เขาคุยโทรศัพท์กับวินนี่นั่นแหละ สำหรับเขาแล้วนี่เป็นเรื่องที่ง่ายดายราวกับพลิกฝ่ามือ แต่สำหรับคนที่ไม่มีความสามารถ ไม่มีคอนเน็คชั่นอย่างซ่งชิงซานกับคาปาไลแล้ว นี่เป็นความยากลำบากที่ไม่มีอะไรมาเปรียบเทียบได้เลย

…………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท