ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1354 ล้วนเป็นแขกประจำ

บทที่ 1354 ล้วนเป็นแขกประจำ

พวกเพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนคนอื่นๆ เดินถือกระเป๋าเล็กกระเป๋าใหญ่ลงเครื่องมา ฉินสือโอวเข้าไปต้อนรับอย่างอบอุ่น พูดว่า “พี่น้องทุกท่าน ทุกคนเกรงใจเกินไปแล้ว ไม่ต้องเอาของขวัญมาให้มากมายขนาดนี้หรอก ที่บ้านของเราไม่ขาดอะไรทั้งนั้น”

เพื่อนสนิทสมัยมหาวิทยาลัยของเขาเฉินเหลยหัวเราะเหอๆ แล้วพูดว่า “นายคิดมากไปแล้ว พี่ฉินโซ่ว ของของพวกเราตรงนี้ล้วนเป็นเสื้อผ้าและของใช้ส่วนตัวทั้งนั้น นายนึกว่าพวกเรามาร่วมงานแต่งเสร็จแล้วก็จะกลับเลยเหรอ? ชิ! คนอื่นไม่รู้หรอกนะ แต่ฉันน่ะจะอยู่ต่ออย่างน้อยครึ่งเดือน!”

“พวกเราจะอยู่หนึ่งเดือน” ซ่งจวินเหมยพูดพร้อมรอยยิ้ม

“บังเอิญจริงๆ เลยนะ พรหมลิขิตจริงๆ ฉันเองก็จะอยู่ต่ออีกหนึ่งเดือนเหมือนกัน” เฉินเจี้ยนหนานพูดอย่างดีอกดีใจ

เยียนเฟยปัดมือแล้วพูดว่า “พอแล้วๆ พวกนายอย่าทำให้พี่ฉินโซ่วตกใจเลย ไม่เห็นว่าเหรอว่าเขาเหงื่อท่วมตัวแล้วน่ะ? วางใจได้ พี่ฉินโซ่ว ที่ภรรยาของฉันพูดเมื่อกี้แค่พูดไปงั้นนะ พวกเราจะมาอยู่ที่นี่กันยี่สิบวัน”

ฉินสือโอวกลอกตาไปทีหนึ่งแล้วพูดว่า “จริงหรือเปล่าเนี่ย? พวกนายลาออกไม่ทำงานกันแล้วเหรอ?”

เฉินเหลยพูดว่า “มีของอย่างหนึ่งที่เรียกว่าวันหยุดประจำปีนายเข้าใจไหม? แล้วก็มีอีกหนึ่งอย่างเรียกว่าทำงานจากที่บ้านนายเข้าใจไหม?”

ฉินสือโอวพูดด้วยน้ำเสียงแปลกใจว่า “ฟัค พวกนายคงไม่คิดว่าจะมาอยู่นานขนาดนั้นกันจริงๆ ใช่มั้ย?”

เฉินเหลยยักไหล่แล้วพูดว่า “คนอื่นฉันไม่รู้นะ พี่ฉินโซ่ว แต่ฉันกะว่าจะมาอยู่ที่แคนาดาสักครึ่งเดือน จริงๆ นะ ที่นายสิบวัน แล้วก็ที่โคโกโร่อีกห้าวัน”

เหมาเหว่ยหลงตบอกแล้วพูดว่า “วางใจได้ ไปที่ฉันนะเรื่องกินเรื่องดื่มมีให้เพียงพอแน่นอน ที่พักก็มีมากมาย ทุกคนเตรียมสุดเหวี่ยงกันได้เลย ฉันกับเสี่ยวซูจะต้องดูแลพวกนายทุกคนให้มีความสุขแน่นอน”

“พี่โกโร่ใจกว้าง พี่โกโร่สุดยอด!” คนทั้งกลุ่มพากันตะโกนโห่ร้องกันขึ้นมา

ฉินสือโอวกลอกตาให้เหมาเหว่ยหลงทีหนึ่ง แล้วพูดว่า “อย่ามาโห่ร้องกันตรงนี้นะ ฉันไม่ใจกว้างไม่สุดยอดหรือไงกัน? พี่ๆ น้องๆ ทุกคนวางใจได้ พวกนายพักกันที่นี่ก็พอแล้ว รับรองว่ามีเบียร์มีอาหารทะเลเพียงพอแน่นอน”

เหมาเหว่ยหลงรีบพูดอย่างร้อนรนว่า “แกทำอย่างนี้ไม่ได้นะ ฉันเป็นเพื่อนแกนะ แกต้องให้ทุกคนไปพักที่บ้านฉันช่วงหนึ่งด้วยสิ?”

การได้เห็นคนสองคนเพื่อที่จะดูแลพวกเขาถึงกับจะทะเลาะกันขึ้นมา เฉินเหลยก็พูดอย่างตื้นตันใจว่า “แหม ไม่เสียแรงที่เป็นเพื่อนตายกัน พวกพี่ชายน้องชายใจถึงจริงๆ มีคุณธรรมสุดๆ!”

ฉินสือโอวยิ้มแล้วพูดว่า “นั่นมันแน่นอนอยู่แล้ว ฉันไม่มีคุณธรรมแล้วใครจะมีคุณธรรมอีก?”

เหมาเหว่ยหลงพูดว่า “ได้ แกมีคุณธรรมใช่ไหม การมีคุณธรรมของแกต้องไม่ให้พวกพี่น้องต้องทำงานให้แกอีกนะ แกต้องบูชาพวกเขาเหมือนเป็นพ่อกับแม่เลย ได้หรือเปล่า? ”

ฉินสือโอวพูดพึมพำว่า “อย่าได้คิดได้ฝันเชียว พ่อแม่ฉันเองก็ทำงานในฟาร์มปลานะ ซักผ้าทำกับข้าวดูแลเด็ก ล้วนเป็นพ่อแม่ฉันรับผิดชอบทั้งนั้น แน่นอนว่าพวกพี่น้องต้องถูกใช้งานเหมือนชาวประมงสิ พอดีกับเป็นช่วงเก็บเกี่ยวปลาด้วย”

เมื่อได้ฟังคำนี้ คนทั้งกลุ่มก็ร้อนใจขึ้นมา รีบล้อมฉินสือโอวไว้ แล้วพูดว่า “ฉินนายหมายความว่าอย่างไร? ทำไมยังให้พวกเราทำงานอีกล่ะ? พวกเรามาเพื่อพักร้อนกันนะ”

ฉินสือโอวพูดอย่างกับคำพูดตัวเองสมเหตุสมผลว่า “พักร้อน? พักร้อนก็ได้นะ พวกนายเอาเงินมาเท่าไร? อย่างไรเสียมาอยู่ที่ฟาร์มปลาฉันไม่สามารถกินฟรีอยู่ฟรีได้นะ พวกนายจ่ายตามเห็นสมควรแล้วกัน วันหนึ่งรวมทั้งกินทั้งอยู่อย่างไรก็ต้องมีสามร้อยห้าร้อย”

“สามร้อยห้าร้อยก็ยังดี ยังจ่ายไหวอยู่” เฉินเหลยโล่งใจ “พอดีเลยที่ฉันเอาเงินมาด้วยหนึ่งหมื่นหยวน”

“ดอลลาร์แคนาดา ที่ฉันพูดคือดอลลาร์แคนาดา!” ฉินสือโอวพูดเสริม

เฉินเหลยรีบหันตัวไปกอดแขนของเหมาเหว่ยหลงไว้ แล้วพูดว่า “พี่โคโกโร่ พี่มีคุณธรรมที่สุด พวกเราตัดสินใจแล้วว่าหลังเสร็จจากงานแต่งจะไปบ้านพี่กัน เหอๆ ฟาร์มของนายก็ดีเหมือนกัน ยังสามารถขี่ม้าได้ด้วยใช่ไหม?”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ แล้วพูดว่า “โง่จริง พวกนายไม่รู้เหรอว่านี่ฤดูอะไร? ฟาร์มของโคโกโร่ ตอนนี้ไม่รู้ว่ามีงานกองอยู่ตั้งเท่าไร! พวกนายไปแล้วก็รอถูกแดดเผาจนกลายเป็นถ่านได้เลย”

คนทั้งกลุ่มพากันหยอกล้อคุยเล่นกัน ฉินสือโอวเหมือนได้กลับไปอยู่ในช่วงมหาวิทยาลัยที่ไร้ความกังวลอีกครั้ง ใจที่เหนื่อยล้าจากการจัดเตรียมงานแต่งงานก็รู้สึกโล่งขึ้นมาอีกครั้ง

บินมาจากประเทศจีน แม้ว่าคนทั้งกลุ่มจะนั่งเครื่องบินหรูมา แต่ระหว่างทางก็ไม่สามารถพักผ่อนได้ และไหนจะต้องเหนื่อยตอนเข้ามาในด่านตรวจคนเข้าเมืองของแวนคูเวอร์อีก ดังนั้นฉินสือโอวจึงเลือกที่จะให้พวกเขาไปพักกันที่โรงแรมในเมืองก่อน

ระหว่างงานแต่งงานมีแขกมากมาย ปริมาณการใช้รถจึงมากขึ้นตาม แบรนดอนหากลุ่มรถเบนซ์ให้เขามากลุ่มหนึ่ง เป็นรถเบนซ์เอสซีรีส์ทั้งหมด คนขับรถก็ล้วนใส่สูทผูกไทด้วย

เฉินเหลยบอกว่าพวกเขาอยากจะเดินเล่นในฟาร์มปลา จากนั้นค่อยไปตกปลาบนทะเล ฉินสือโอวบอกว่า “เอาน่า พวกนายไปพักผ่อนก่อนเถอะ ตั้งแต่พรุ่งนี้เป็นต้นไปมีเวลาให้เที่ยวเล่นอีกเยอะ อีกอย่างพวกนายจะมาอยู่กันหนึ่งเดือนเลยไม่ใช่เหรอ? เวลาพักร้อนจะน้อยได้อย่างไร?”

เมื่อได้ยินเขาพูดอย่างนี้แล้ว ทุกคนก็รู้สึกเห็นด้วย ระหว่างทางไปในเมือง เฉินเจี้ยนหนานถามว่า “ฉิน โคโกโร่บอกว่างานแต่งในครั้งนี้ ยังมีเจ้าชายจากอังกฤษกับเจ้าหญิงจากตะวันออกกลางมาด้วย จริงหรือเปล่า?”

ฉินสือโอวขับรถไปพลางพูดไปพลางว่า “แม้ว่าโคโกโร่จะชอบคุยโม้ แต่ครั้งนี้เป็นเรื่องจริง แต่ว่าพวกเขาก็แค่มาอวยพรเป็นพิธีเท่านั้น คิดว่าคงจะกลับกันวันนั้นเลย พวกนายไม่ต้องใส่ใจหรอก”

คู่สามีภรรยาเยียนเฟยกับซ่งจวินเหมยที่นั่งอยู่เบาะหลังพากันสูดหายใจด้วยความตกใจไปทีหนึ่งแล้วพูดว่า “ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นจริงเหรอ?”

ฉินสือโอวบอกว่า “ล้อเล่นอะไรกัน เดี๋ยวกลับไปจะส่งรายชื่อแขกให้พวกนายดู ยังมีประธานสภาการประมงของแคนาดา นายกเทศบาลและเจ้าพนักงานของเมืองเซนต์จอห์น แล้วก็อีกคนพวกนายน่าจะรู้จัก ผู้กำกับใหญ่คาเมรอน”

ตอนนี้ในรถเงียบสงัด จนถึงตอนที่เขาขับรถไปถึงในเมือง เพื่อนทั้งหลายก็ไม่มีใครพูดอะไรอีกเลย

ตอนฉินสือโอวจอดรถแล้วก็หัวเราะออกมา แล้วพูดว่า “พวกนายยังติดใจเรื่องนี้อีกเหรอ? ฉันเชิญพวกนายมาก็เพราะพวกเราเป็นเพื่อนสมัยเรียนกัน และก็เพราะพวกนายเป็นเพื่อนที่ดีของฉัน ที่พวกนายมาร่วมคืองานแต่งงานของเพื่อนสมัยมหาวิทยาลัย ไม่ต้องคิดมากอะไรหรอก?”

เยียนเฟยถอนหายใจแล้วพูดว่า “ถึงจะพูดแบบนี้ก็เถอะ แล้วเหตุผลก็ฟังดูสมเหตุสมผลจริง แต่ว่าฉิน พวกเรารู้สึกกดดันจริงๆ นะ”

“คนที่แต่งไม่ใช่นายสักหน่อย นายจะกดดันอะไร?” ฉินสือโอวจงใจพูดไปหัวเราะไป เพื่อเป็นการเปลี่ยนบรรยากาศ ไม่ให้บรรยากาศเคร่งขรึมแบบนี้

วินนี่รออยู่ในเมือง วันนี้เธอก็ยังต้องมาทำงาน หลังจากได้รับข่าวจากฉินสือโอวแล้วจึงมารออยู่หน้าโรงแรมก่อน

ฉินสือโอวพาทุกคนลงรถ เธอยิ้มหวานแล้วเข้ามาต้อนรับ อ้าแขนทั้งสองกอดทีละคน แล้วพูดว่า “ยินดีต้อนรับค่ะๆ ฉันกับฉินไม่ได้ไปต้อนรับด้วยตัวเอง ต้องขอโทษด้วยจริงๆ ค่ะ”

เมื่อได้เห็นบุคลิกที่สง่างามของวินนี่แล้ว ทุกคนก็เริ่มโห่ร้องขึ้นมา พวกเพื่อนผู้หญิงหลายคนพากันไล่พวกของเฉินเจี้ยนหนานเข้าไปในโรงแรมอย่างกับไล่เป็ด แล้วพูดอย่างไม่สบอารมณ์ว่า “พวกนายไม่มียางอาย แต่พวกเรายังมี อย่าทำให้เพื่อนของพวกเราขายหน้าสิ”

วันแต่งงานคืออาทิตย์ที่สองของเดือนตุลาคม หรือก็คือวันที่หกเดือนตุลาคม การมาของเพื่อนของเขายังถือว่ามาเร็วอยู่ เพราะว่ามีวันหยุดยาวประจำชาติจีน ทำให้มาก่อนเวลาเพื่อถือโอกาสมาเที่ยว อีกอย่าง อย่างไรเสียก็มีเศรษฐีบ้านนอกอย่างฉินสือโอวออกค่าใช้จ่ายให้อยู่แล้ว

แต่คนอื่นๆ ถือว่ามาช้าไป คนใหญ่คนโตทั้งสามล้วนสัญญาว่าจะมาวันงานเลย แต่ช่วงบ่ายหลังร่วมงานเสร็จแล้ว เจ้าชายทั้งสองจะกลับเลยทันที เรื่องนี้ฉินสือโอวเข้าใจได้ เพราะเขาก็ไม่ได้คาดคิดว่าเจ้าชายเฮนรีจะมาร่วมงานแต่งของเขาแต่แรกอยู่แล้ว

ความสัมพันธ์ระหว่างเขาสองคน ก็มีเพียงแค่เขาซื้ออัญมณีจากฉินสือโอวไปชุดหนึ่งเพื่อเป็นของขวัญวันแต่งงานให้พี่ชายเท่านั้น แต่ว่านั่นน่ะเจ้าชายเฮนรีออกเงินด้วย ทำให้เป็นธุรกิจไป ไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกแต่อย่างใด

ที่ฉินสือโอวคิดได้ก็คือ เจ้าชายเฮนรีเห็นแก่หน้าของเจ้าชายฮามานแดนจากตะวันออกกลาง มาที่นี่เพื่อรำลึกความหลังกันเท่านั้น ทั้งสองคนล้วนจบการศึกษาจากโรงเรียนนายร้อยทหารบกแซนด์เฮิสต์ด้วยกันทั้งคู่ และในระหว่างเรียนก็ยังเป็นเพื่อนกันด้วย

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท