ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1338 เสนอให้เป็นพันธมิตร

บทที่ 1338 เสนอให้เป็นพันธมิตร

เมื่อบอกลาลีฟเสร็จแล้ว ฉินสือโอวก็โทรศัพท์ไปหาฮิลตันคนน้อง เพื่อบอกเธอว่าตอนนี้เขาอยู่ที่นิวยอร์กแล้ว ถ้าเธอจะคุยเรื่องการซื้อขายปะการังน้ำลึก ก็ให้เธอมาคุยกันวันนี้เลย

แต่จริงๆ แล้วในใจของเขาไม่ได้คิดถึงเรื่องปะการังน้ำลึกเท่าไร เรื่องที่เขาอยากคุยกับฮิลตันคนน้องคือเรื่องการขยายกำลังการค้าของอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินในต่างประเทศต่างหาก

หลังจากฮิลตันคนน้องได้รับสายโทรศัพท์จากเขา เธอก็รีบมาที่นี่ด้วยความเร่งร้อน ในฐานะที่เป็นสาวสังคมผู้มีชื่อเสียงกว้างขวางของอเมริกา เสื้อผ้าหน้าผมของฮิลตันคนน้องย่อมต้องใช้ของที่ดีที่สุด เธอเป็นผู้หญิงสูงหุ่นบอบบางแต่มีส่วนเว้าส่วนโค้ง ทั้งยังมีใบหน้างดงามและบุคลิกที่โดดเด่น หลังจากได้เจอเธอฉินสือโอวก็รู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่เชิญเธอมาที่ร้านกาแฟ

ทีแรกมันยังเป็นร้านกาแฟเงียบๆ แต่หลังจากฮิลตันคนน้องเดินเข้ามาเสียงของผู้คนที่กระซิบกระซาบกันก็เริ่มดังขึ้น พวกผู้ชายส่วนใหญ่ที่นั่งอยู่ในร้านต่างก็วางสายตาไว้ที่เธอกันทั้งนั้น

“ถ้ามีที่นั่งส่วนตัวก็คงจะดีใช่ไหมล่ะครับ?” ฉินสือโอวพูดด้วยรอยยิ้ม

ฮิลตันคนน้องถอดแว่นกันแดดที่ปิดบังใบหน้าของเธอเอาไว้ถึงครึ่งหนึ่งออก แล้วพูดกับเขาด้วยรอยยิ้มอย่างเป็นกันเอง “ที่นี่ก็ไม่เลวนะคะ ฉันไม่ได้นั่งจิบกาแฟคุยกันกับเพื่อนมานานแล้ว”

ฉินสือโอวเห็นว่ามีคนสองคนที่ยกโทรศัพท์มือถือหันมาทางพวกเขาทั้งสองคน คาดว่าน่าจะรู้แล้วว่าฮิลตันคนน้องเป็นใคร ดังนั้นเขาจึงรีบตัดเข้าประเด็นที่จะคุยกันทันที “คุณต้องการปะการังสีแดงชิ้นใหญ่ขนาดไหนเหรอครับ?”

หลังจากไตร่ตรองอยู่สักพัก หลังจากนั้นฮิลตันคนน้องก็พูดพร้อมกับทำท่าทางประกอบให้เขาดู “ฉันอยากทำเครื่องประดับศีรษะให้เพื่อนสนิทของฉันสักชุด มีต่างหู กิ๊บติดผมแล้วก็ปิ่นปักผม ดังนั้นอาจจะต้องใช้ปะการังขนาดใหญ่หน่อย ฉันเคยเห็นปะการังสีแดงชิ้นนั้นที่คุณฝากไว้ที่ทิฟฟานี่แอนด์โค อาจจะต้องใช้ประมาณครึ่งหนึ่งของก้อนนั้นนะคะ”

ฉินสือโอวพยักหน้ารับแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ง่ายเลย ผมกังวลว่าปะการังของผมชิ้นนั้นจะไม่เพียงพอสำหรับคุณเสียอีก ถ้าอย่างนั้นเดี๋ยวผมจะโทรไปบอกลีฟ แล้วคุณค่อยไปหาเธอ เธอจะขายให้คุณเอง”

ฮิลตันคนน้องใช้มือจับผมที่ร่วงลงมาปรกกรอบหน้าของเธอไปทัดไว้ที่หู แล้วก็หันมามองเขาด้วยใบหน้าที่เหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้ม เธอจ้องเขาตาแป๋วพูดแล้วเขาอย่างสบายๆ “แล้วเรื่องราคาละคะ? พวกเราต้องตกลงเรื่องราคาด้วยใช่ไหมล่ะ”

เขามองภาพนี้ด้วยสายตาชื่นชม ฉินสือโอวพูดกับเธอว่า “ผมคิดว่าบริษัททิฟฟานี่แอนด์โคน่าจะตั้งราคาให้มันแล้วไม่ใช่เหรอครับ? แล้วผมก็เชื่อว่าทิฟฟานี่แอนด์โคคงไม่ตั้งราคาที่สูงเกินไปหรอก น่าจะไม่ต่างกับราคาในตลาดค้าขายสักเท่าไร”

“โน!” ฮิลตันคนน้อง เบะปากขึ้นมาทันที เธอยื่นมือออกไปจับข้อมือของฉินสือโอวพร้อมกับส่ายหัวเบาๆ “พวกเราเป็นเพื่อนกันแล้วนะคะ คุณขายมันในราคามิตรภาพไม่ได้จริงๆ เหรอ? คุณก็รู้ว่าปะการังสีแดงมันแพงมากๆ”

ฉินสือโอวลองคิดๆ ดูหลังจากนั้นก็บอกกับเธอว่า “โอเค ให้ราคามิตรภาพก็ได้ครับ ถึงยังไงคุณก็ช่วยผมจองโรงแรม ผมก็ต้องทำอะไรเพื่อตอบแทนคุณบ้างใช่ไหมล่ะ? ถ้าอย่างนั้นก็ลดราคาให้ห้าเปอร์เซ็นต์ดีไหมครับ?”

ราคาของปะการังแดงอากะค่อนข้างสูง อีกทั้งปะการังของฉินสือโอวชิ้นนี้ยังมีคุณภาพดีที่สุดของที่สุดสินค้าคุณภาพยอดเยี่ยม ราคาที่บริษัททิฟฟานี่แอนด์โคช่วยเขาตั้งอยู่ที่กรัมละ 6,200 ดอลลาร์สหรัฐ ถึงแม้ว่าราคาจะแตกต่างกับเพชรอยู่มาก แต่มันก็นับว่าเป็นอัญมณีที่มีราคาสูงชนิดหนึ่ง

อย่าคิดแค่ว่าปะการังสีแดงที่ฉินสือโอวขายมีขนาดใหญ่แค่ประมาณฝ่ามือ แค่ครึ่งหนึ่งของมันก็หนักราวๆ สองร้อยกรัมแล้ว อีกทั้งราคายังสูงถึงล้านดอลลาร์สหรัฐ!

นี่คือราคาของอัญมณีชั้นหนึ่ง แต่แน่นอนว่านี่ไม่ได้หมายความว่าการที่มีปะการังสีแดงผืนนั้นจะทำให้เขาเป็นมหาเศรษฐีที่รวยเป็นอันดับหนึ่งของโลก ราคาของอัญมณีพวกนี้ขึ้นอยู่กับการเก็งกำไรเท่านั้น ต้องเก็งกำไรให้ได้ราคา หากทำไม่ได้ก็ไม่มีทางที่จะได้ราคาสูงขนาดนั้น

และถ้าต้องการเก็งกำไร ก็ต้องเป็นของหายาก ถ้าฉินสือโอวนำปะการังแดงอากะกี่สิบกี่ร้อยตันที่อยู่ใต้ทะเลขึ้นมาขายทั้งหมด ราคาของอัญมณีชนิดนี้ก็จะตกต่ำลงอย่างรุนแรงทันที

รายละเอียดข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้สามารถอ้างอิงได้จากราคาของหยกเขียวบริสุทธิ์ในปัจจุบันที่นับวันก็ยิ่งต่ำลงไปเรื่อยๆ แน่นอนว่าเพชรก็เป็นตัวอย่างที่ตรงกันข้ามได้เช่นกัน ถึงแม้ว่าราคาของเพชรจะไม่ได้ตกต่ำลง แต่ก็ไม่ได้เพิ่มสูงขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว และด้วยอัตราเงินเฟ้อที่เพิ่มสูงขึ้นในปัจจุบัน จึงเท่ากับว่ามันเสื่อมราคาลงนั่นเอง

ปะการังสีแดงใต้ก้นทะเลผืนนั้น ถูกกำหนดให้เป็นความมั่งคั่งอันล้ำค่าให้กับครอบครัวของเขา ตลอดชีวิตนี้เขาจะขุดขึ้นมาเพียงไม่กี่ครั้งเท่านั้น

ฮิลตันคนน้องเบะปากเล็กๆ ของเธอพร้อมกับเขย่าข้อมือของฉินสือโอวอย่างแรง เธอจ้องมองเขาด้วยดวงตาที่ใสแจ๋ว ท่าทางของเธอทั้งดูอ้อนวอนและเขินอาย ทำให้หัวใจของคนเหล็กละลายได้เลย

ฉินสือโอวรีบดึงข้อมือกลับมา เขาไม่ใช่นักบวชทั้งยังรู้จักอาการหวั่นไหว และวิธีที่ดีที่สุดในการต่อสู้กับสิ่งดึงดูดใจ ก็ต้องไม่ไปเผชิญหน้ากับมัน

ดังนั้นเขาจึงตั้งหน้าตรงแล้วพูดว่า “อย่าทำท่าทางที่ทำให้คนอื่นเข้าใจผิดได้ง่ายๆ อย่างนี้สิครับ คุณก็รู้ว่าผมกำลังจะแต่งงานแล้ว แต่เกรงว่าคุณจะไม่รู้ว่าภรรยาของผมเป็นคนขี้หึงมาก”

ฮิลตันคนน้องหัวเราะคิกคัก “แล้วยังไงละคะ? เป็นเพื่อนกันจะใกล้ชิดสนิทสนมกันสักหน่อยไม่ได้เลยเหรอคะ?”

ฉินสือโอวไหวไหล่พูดว่า “จริงจังหน่อยเถอะครับ คุณอยากให้ผมขายปะการังสีแดงให้คุณเท่าไร?”

ฮิลตันคนน้องรีบยื่นมือขวาออกไป เธอทำมือชูห้านิ้วพร้อมกับพูดว่า “ลดห้าสิบเปอร์เซ็นต์ค่ะ!”

ฉินสือโอวหัวเราะออกมาแล้วยื่นมือออกไปบีบคางของเธอ “คนสวย ผมชอบท่าทางของคุณตอนล้อเล่นแต่ทำเหมือนจริงจังจริงๆ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์เหรอ? ผมให้คุณฟรีๆ ไม่ดีกว่าเหรอครับ?”

ตอนนี้ถึงคราวของฮิลตันคนน้องต้องถอยบ้างแล้ว เธอปัดมือของฉินสือโอวที่ยื่นเข้ามาทิ้งแล้วพูดด้วยความขุ่นเคืองว่า “คราวนี้คุณไม่กลัวว่าว่าที่ภรรยาจะหึงคุณแล้วเหรอคะ?”

ฉินสือโอวพูดอย่างยิ้มๆ ว่า “ผมถูกคุณแกล้งจนอดเอาคืนไม่ไหวแล้วน่ะ จริงจังหน่อยครับ ห้าสิบเปอร์เซ็นต์อะไรกัน คุณคิดว่านี่คือตลาดขายผักหรือไง? เห็นแก่ที่คุณช่วยผมจองโรงแรมผมจะลดให้คุณยี่สิบเปอร์เซ็นต์แล้วกันนะครับ”

ลดราคายี่สิบเปอร์เซ็นต์ก็จะเท่ากับห้าพันดอลลาร์สหรัฐต่อหนึ่งกรัม ถือว่าใกล้เคียงกับปะการังน้ำลึกอากะเลย ราคาที่ฉินสือโอวเสนอให้เป็นราคาพิเศษแล้วจริงๆ

ฮิลตันคนน้องยังอยากจะพูดอะไรสักอย่าง ฉินสือโอวจึงยกกาแฟขึ้นดื่มทันที หลังจากนั้นเขาก็ลุกยืนขึ้นสวมเสื้อโค้ตแล้วพูดว่า “นี่คือราคาต่ำสุดแล้ว ถ้าคุณยอมรับได้ก็ไปหาลีฟได้เลย แต่ถ้ารับไม่ได้ผมก็ไม่มีอะไรจะพูดแล้วละครับ”

พอเห็นแบบนี้ ฮิลตันคนน้องก็จ้องมองเขาแบบคนที่ไม่ทุกข์ไม่ร้อน พร้อมกับพูดเสียงเบาว่า “ฉิน คุณเป็นเหมือนไอรอนแมนจริงๆ ด้วย”

“แต่ไอรอนแมนเป็นคนเจ้าชู้มากไม่ใช่เหรอครับ?” ฉินสือโอวย้อนถามเธอกลับ

ฮิลตันคนน้องชี้ไปที่หน้าท้องของเขา “ฉันหมายถึงตรงนี้ของคุณต่างหากล่ะที่เหมือน”

ฉินสือโอวหัวเราะฮ่าๆ แล้วนั่งลงอีกครั้ง “คุณคิดว่าราคาเท่านี้ยังแพงไปอีกเหรอครับ?”

ฮิลตันคนน้องพูดว่า “แน่นอนสิ แค่หินก้อนเดียวแต่ราคาแพงเป็นล้านเลยเหรอ? พระเจ้า ฉันต้องบ้าไปแล้วแน่ๆ”

ฉินสือโอวจึงตอบกลับไปว่า “ที่จริง มันก็ไม่ใช่ว่าผมจะลดราคาให้คุณสักห้าสิบเปอร์เซ็นต์ไม่ได้หรอกนะ จริงๆ แล้วผมจะให้คุณฟรีๆ เลยก็ยังได้”

พอได้ยินเขาพูดแบบนี้ ฮิลตันคนน้องก็ตาเป็นประกาย มือสองประสานกันแล้วค้ำไว้ที่ใต้คางพร้อมกับพูดด้วยความตื่นเต้นว่า “หมายความว่ายังไงคะ? คุณคงไม่ใช้เรื่องนี้เพื่อขอเดตกับฉันหรอกใช่ไหม? โอ้ อย่าทำอย่างนั้นเลยค่ะ ฉิน ฉันคิดแค่ว่าคุณเป็นเพื่อนที่ดี แต่คุณกลับคิดที่จะ คิดที่จะ…”

พอพูดจบ สีหน้าท่าทางของเธอก็เริ่มเปลี่ยน แล้วเผยท่าทางเหมือนน้ำตาจะไหลออกมา

ฉินสือโอวแอบด่าในใจว่าผู้หญิงตัวแสบแสดงละครเก่งจริงๆ หลังจากนั้นเขาก็กระแอมไอแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ครับ วางใจเถอะ รสนิยมความชอบของผมยังปกติดีครับ ผมหมายถึงว่า ถ้าคุณยอมโน้มน้าวคนในตระกูลของคุณ เพื่อให้โรงแรมฮิลตันของพวกคุณร่วมมือกับอาหารทะเลแบรนด์ต้าฉินของผมด้วยการเป็นพันธมิตรที่แข็งแกร่งในการสร้างแบรนด์ ถึงตอนนั้นผมจะมอบปะการังสีแดงให้คุณทั้งชิ้นก็ไม่มีปัญหา”

รอยยิ้มซุกซนบนใบหน้าของฮิลตันคนน้องถูกดึงกลับไปทันที เธอพูดกับเขาว่า “คุณว่ายังไงนะ?”

ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วพูดว่า “ถ้าร่วมมือกันไม่ได้ก็ไม่เป็นไรครับ แต่ก็ไม่เห็นกับต้องโมโหเลยไม่ใช่เหรอ?”

“ฉันหมายถึงประโยคแรกที่คุณพูด คุณว่ายังไงนะ? รสนิยมของคุณยังปกติดีอยู่อย่างนั้นน่ะเหรอ? พูดอย่างนี้หมายความว่ายังไง?” ฮิลตันคนน้องยกแก้วกาแฟไว้ในมือขึ้นมา แต่ฉินสือโอวคิดว่าเธอไม่ได้อยากดื่มมันเข้าไปหรอก คงอยากจะสาดใส่เขามากว่า

“ผมแค่ล้อเล่นน่ะ” ฉินสือโอวหัวเราะออกมาเสียงดัง “แล้วข้อเสนอของผมเป็นยังไงบ้างครับ?”

…………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท