ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1342 ไม่รู้ว่ากลายเป็นผู้นำไปได้อย่างไร

บทที่ 1342 ไม่รู้ว่ากลายเป็นผู้นำไปได้อย่างไร

การเสนอราคาประมูลแสตมป์ดังขึ้นอย่างไม่ขาดสาย ฉินสือโอวรู้สึกประหลาดใจมาก เขาจึงกระซิบถามเออร์บักเสียงเบาว่าทำไมทุกคนถึงได้กระตือรือร้นขนาดนี้

เออร์บักตอบว่า “อาจจะมีเหตุผลอยู่สองอย่าง อย่างแรกคือทุกคนกระหายกิจกรรมประเภทนี้ อย่างที่สองอาจจะเป็นเพราะแสตมป์ชุดนี้มีมูลค่ามาก จากที่ฉันรู้มาตอนนี้ในตลาดของนักสะสม แสตมป์ออมทรัพย์เพื่อการสงครามที่สมบูรณ์ครบชุดมีราคาอย่างต่ำอยู่ที่ 5,000 ดอลลาร์”

เป็นอย่างที่คิดไว้ หลังจากราคาขึ้นมาถึง 5,000 ดอลลาร์ ระดับความดุเดือดของการแข่งขันก็เริ่มลดต่ำลง และเมื่อราคาประมูลขึ้นไปถึง 6,000 จำนวนของคนที่เสนอราคาประมูลก็ยิ่งลดน้อยลง

เป็นเช่นนี้ต่อไปเรื่อยๆ จนหลังจากนั้นก็มีคนเสนอราคาเพิ่มอีกสี่คน ราคาประมูลขึ้นมาอยู่ที่ 6,400 ดอลลาร์ พอถึงตอนนี้ก็ไม่มีใครเสนอราคาเพิ่มแล้ว

ฉินสือโอวมองดูวินนี่ที่กำลังดำเนินรายการอยู่บนเวที เขายิ้มพร้อมกับยกมือขึ้นพูดว่า “7,000 ดอลลาร์!”

ผู้เข้าร่วมการประมูลหันมามองเขาเป็นตาเดียว แสตมป์ชุดนี้ไม่คุ้มค่ากับราคาที่สูงขนาดนี้ด้วยซ้ำ ดังนั้นจึงไม่มีใครแข่งขันกับเขาอีก ต่างคนก็ต่างส่ายหัวแล้วล้มเลิกความคิดไป

วินนี่ประกาศราคาออกมาสามครั้ง ไม่มีใครเสนอราคาต่อแสตมป์ชุดนี้จึงตกเป็นของฉินสือโอว

ตามกฎของการประมูลเพื่อการกุศล ฉินสือโอวลุกขึ้นยืนแล้วโบกมือไปรอบๆ เพื่อเป็นการแสดงมารยาทให้กับทุกคน หลังจากนั้นทุกคนก็จะปรบมือให้เขากลับ

ที่ต้องทำแบบนี้ ก็เพื่อป้องกันไม่ให้เกิดความวุ่นวายขึ้นจากคนบางพวก ที่ประมูลสินค้าไปแล้วแต่สุดท้ายกลับปฏิเสธที่จะจ่ายเงิน ซึ่งแบบนี้เมื่อผู้ประมูลยืนขึ้นให้คนอื่นได้รู้จักตัวตนแล้ว หลังจากประมูลชนะก็จะเป็นฝ่ายไปชำระเงินเอง นอกเสียจากว่าจะเป็นพวกหน้าไม่อายจริงๆ

หลังจากนั้นสินค้าประมูลก็ถูกนำออกมาจัดแสดงทีละชิ้น คาดไม่ถึงว่าในนั้นจะมีปืนกลเบรนด้วยหนึ่งกระบอก รูปโฉมภายนอกของปืนรุ่นนี้ดูคล้ายคลึงกับปืนกลสาธารณรัฐเช็กที่คนจีนคุ้นชินกันดี เป็นปืนดีที่องอาจดุดันเป็นอย่างยิ่ง

วินนี่ประกาศราคาออกไป ปืนกลกระบอกนี้ถูกเก็บรักษาไว้ในพิพิธภัณฑ์สงครามแห่งชาติแคนาดาอีกทั้งยังได้รับการเก็บรักษาไว้เป็นอย่างดี และเป็นหนึ่งในสินค้าที่ถูกนำออกมาร่วมประมูลเพื่อสนับสนุนงานที่ระลึกในพื้นที่ต่างๆ โดยมีราคาขั้นต่ำเริ่มต้นที่ 22,000 ดอลลาร์แคนาดา

ฉินสือโอวให้ความสนใจกับการสะสมสิ่งของประเภทนี้ที่สุด เขาอ่านข้อมูลเกี่ยวกับปืนกลเบรนที่อยู่บนจอใหญ่อย่างพินิจพิจารณา คาดไม่ถึงว่าปืนกระบอกนี้จะยังมีกำลังในการสู้รบเหลืออยู่ อีกทั้งยังไม่เคยถูกดัดแปลงมาก่อน พูดได้ว่าแค่ใส่จานกระสุนเข้าไป ก็จะสามารถใช้ปืนกระบอกนี้เป็นปืนกลหนักได้เลย

ราคาประมูลของปืนกระบอกนี้จะเพิ่มขึ้นครั้งละ 500 ดอลลาร์ แต่ชาวแคนาดาที่ชอบของพวกนี้กลับมีอยู่แค่นิดเดียวเสียด้วยซ้ำไป เนื่องจากปกติทุกคนก็สามารถเข้าถึงปืนได้อยู่แล้ว สำหรับพวกเขาอาวุธปืนจึงไม่ได้มีความลึกลับน่าค้นหาและแรงดึงดูดแต่อย่างใด คนที่ร่วมแข่งขันประมูลจึงเป็นพวกนักสะสมยุทโธปกรณ์สมัยสงครามโลกครั้งที่สองเป็นเสียส่วนใหญ่

ฉินสือโอวเองก็ร่วมเสนอราคาเช่นกัน ไม่ว่าใครจะเสนอราคามา เขาก็จะเสนอราคาเพิ่มอีก 500 ดอลลาร์ทุกครั้ง หลังจากบวกเพิ่มไปแค่สี่ครั้ง ท้ายที่สุดเขาก็สามารถคว้าปืนกระบอกนี้มาได้ในราคา 26,500 ดอลลาร์

เออร์บักกระซิบบอกกับเขาว่า “ถือว่านายได้ของถูกแล้วนะ ปืนกลสมัยสงครามโลกครั้งที่สองแบบนี้เป็นที่ต้องการเป็นอย่างมาก ถ้าเป็นการประมูลระดับนานาชาติ จะขายในราคาห้าหมื่นดอลลาร์หรือขายราคาเป็นแสนก็ทำได้ง่ายๆ!”

ฉินสือโอวกะพริบตาแรงๆ แล้วพูดว่า “ที่ผมซื้อมันมา ไม่ใช่เพราะจะเก็บไว้เป็นของสะสมเพียงอย่างเดียวหรอกนะครับ”

ตามบทบัญญัติกองทัพบก กองกำลังพิทักษ์ชาติเรนเจอร์ที่เขาเป็นผู้บัญชาการ อาวุธยุทโธปกรณ์ที่พวกเขาถูกจำกัดให้สามารถใช้ได้เฉพาะอาวุธเบาในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองเท่านั้น ซึ่งได้แก่ ปืนพกลูกโม่เว็บเล่ย์ขนาด .445 ปืนไรเฟิลเอ็นและปืนกลเบรนฟิลด์รุ่นนี้

สินค้าประมูลชิ้นสุดท้ายคือเครื่องเพชรชิ้นหนึ่ง มันเป็นเครื่องประดับแบบจีนที่หญิงชราคนหนึ่งเป็นผู้จัดหามา เรียกว่าลูกปัดพู่ระย้ามรกตสีม่วงประดับเงินชุบสีเขียวมรกต

พู่ระย้าเส้นนี้ทำขึ้นจากเงินประสานและสร้อยไข่มุกที่ถูกย้อมเป็นสีม่วงสามเส้น ส่วนบนของเงินประสานถูกตกแต่งเป็นลายค้างคาวและชุบด้วยสีเงินสีเขียวมรกต ฝังทับทิมไว้ที่ส่วนปลายทั้งสองฝั่ง ตรงบริเวณลายค้างคาวถูกเจาะให้เป็นรูเพื่อเชื่อมติดกับลูกปัดไข่มุกทั้งสามเส้น ลูกปัดไข่มุกทุกเส้นมีลูกปัดตัวอักษรมงคลสองเม็ดที่ทำมาจากปะการัง และห้อยทับทิมไว้ที่ส่วนปลายด้านล่างของลูกปัดไข่มุก ดูสวยงามตระการตา

ขณะนำเสนอวินนี่ตั้งใจสวมมันให้ทุกคนดูเป็นกรณีพิเศษ ทันใดนั้น บรรยากาศในห้องโถงใหญ่ก็เปลี่ยนไปโดยพลัน ผู้ประมูลหลายคนเริ่มรู้สึกคันไม้คันมืออยากจะประมูลของชิ้นนี้อย่างดุเดือด

ถึงแม้ว่าวินนี่จะสวมชุดเดรสที่ดูทันสมัย แต่เธอมีความสง่างามอย่างหญิงยุคโบราณ ดังนั้นพู่ระย้าเส้นนี้จึงดูเหมาะสมกับเธอมาก ยามที่เธอหมุนตัวให้ทุกๆ คนได้ดู พวกผู้ชายทั้งหลายก็จ้องเธอเป็นตาเดียวจนแทบจะถลนออกมาอยู่แล้ว

ทว่าราคาของพู่ระย้าชิ้นนี้ก็ไม่ได้น้อยเลย ราคาเริ่มต้นอยู่ที่สองแสนดอลลาร์ ราคาประมูลเพิ่มครั้งละสองพันดอลลาร์ ราคาเริ่มต้นของสินค้าทุกชิ้นที่ผ่านมารวมกันแล้วก็ได้เท่ากับเงินจำนวนนี้

แต่แน่นอนว่าเครื่องประดับชิ้นนี้ก็มีมูลค่าสมกับราคาของมัน ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่วัตถุโบราณจากราชสำนักจีน แต่ข้อมูลนำเสนอบอกไว้ว่าเครื่องประดับชิ้นนี้มีอายุกว่าหนึ่งร้อยปีเป็นอย่างต่ำ ดังนั้นหากขายในราคาสามสี่แสนก็คงจะไม่เป็นปัญหา

รอบๆ ตัวเอี๋ยนตงเหล่ยมีคนกำลังมองวินนี่ที่กำลังดำเนินรายการประมูลอยู่บนเวทีด้วยสายตาร้อนแรงพร้อมกับกล่าวว่า “ผู้หญิงคนนี้ เอ่อไม่สิ พู่ระย้าชิ้นนี้สวยจริงๆ พี่ตงเหล่ยสนใจจะประมูลมันสักหน่อยไหม? เอากลับไปให้พี่สะใภ้ไงพี่ มันต้องเป็นของขวัญที่ดีมากแน่ๆ”

เอี๋ยนตงเหล่ยหัวเราะออกมา เขาชี้ไปหาฉินสือโอวที่อยู่อีกฝั่งแล้วพูดว่า “เห็นเขาหรือยัง? นายรู้จักเขาไหม?”

“รู้จักสิ เสี่ยวฉินไง ตอนนี้เขาเป็นที่รู้จักในบรรดาคนจีนแบบเราๆ แถมยังรวยที่สุดอีกต่างหาก”

“ผู้หญิงที่อยู่บนเวทีน่ะเป็นภรรยาของเขา เสี่ยวฉินคนนี้เป็นเศรษฐีที่ชอบซื้อของไร้สาระคนแรกตั้งแต่ที่ฉันเคยเจอมา ต่อให้ฉันอยากจะประมูล แต่นายคิดว่าฉันจะประมูลได้สำเร็จไหม?”

การแข่งขันประมูลเริ่มต้นขึ้นแล้ว ฝูงคนต่างก็กำลังเสนอราคาอย่างดุเดือด เออร์บักจึงพูดด้วยความตื่นตกใจว่า “ไม่ใช่ว่าตอนนี้เศรษฐกิจในนครเซนต์จอห์นไม่ค่อยดีเท่าไรหรอกเหรอ? ที่จริงแล้วทุกคนๆ ก็ยังมีเงินอยู่เยอะเลยนี่”

ฉินสือโอวเอนหลังพิงพนักเก้าอี้อย่างเกียจคร้าน แล้วพูดด้วยรอยยิ้มว่า “คนที่เสนอราคาประมูลได้ก็มีแต่ชนชั้นกลางขึ้นไปทั้งนั้นแหละครับ ต่อให้เป็นเรื่องเศรษฐกิจพวกเขาก็ได้รับผลกระทบไม่มากเท่าไรหรอก”

ราคาพุ่งสูงขึ้นถึงสามแสนดอลลาร์แล้ว แต่ก็ยังมีคนที่กำลังเตรียมตัวสู้ราคาอยู่ นั่นเป็นเพราะราคาประมูลในตอนนี้ยังไม่ถึงราคาปกติของเครื่องประดับชิ้นนี้ คาดว่าการแข่งขันประมูลคงยังดำเนินต่อไปเรื่อยๆ อีกสักพัก

ฉินสือโอวไม่อยากรอแล้ว เขาจึงยกมือขึ้นเสนอราคาทันที “สี่แสน!”

ราคาถูกปัดขึ้นหนึ่งแสนดอลลาร์ภายในชั่วพริบตาเดียว ทันใดนั้นภายในห้องโถงใหญ่ก็มีสูดหายใจด้วยความตกตะลึงดังขึ้นมาทันที เอี๋ยนตงเหล่ยหันไปมองผู้คนที่อยู่รอบตัวเขาพร้อมกับพูดว่า “เป็นไงล่ะ ไม่ได้ผิดจากที่ฉันพูดเลยใช่ไหม? เสี่ยวฉินตั้งเป้าไว้แล้วว่าจะต้องชนะ”

เครื่องประดับที่เหมาะกับวินนี่ถึงขนาดนี้ ฉินสือโอวจะปล่อยให้ตกไปอยู่ในมือของคนอื่นได้อย่างไรกัน?

ราคาสี่แสนไม่ถือว่าสูงมาก ต่อจากนั้นจึงมีคนประมูลเพิ่มอีกหนึ่งหมื่น ฉินสือโอวเลยเสนอราคาเพิ่มเป็นสี่แสนห้าหมื่นทันที จากเดิมที่เขาคิดไว้ว่าจะเดินเกมไวด้วยการประมูลเพิ่มครั้งละแสน เท่านี้ก็นับว่าเขาให้ความเกรงใจมากพอแล้ว

ราคาประมูลขึ้นมาอยู่ที่ห้าแสนแต่ก็ยังคงมีคนร่วมประมูลแข่งกับเขา ฉินสือโอวทนไม่ไหวแล้ว เขาจึงเพิ่มเงินไปอีกหนึ่งแสน “หกแสน!”

คราวนี้ทั่วทั้งห้องโถงจึงสงบลงแล้ว คนบางส่วนที่สนใจเครื่องประดับชิ้นนี้หันไปมองมันด้วยความอาลัยอาวรณ์ก่อนจะวางป้ายประมูลที่อยู่ในมือลง ถ้ายังสู้ต่อราคาก็จะสูงเกินไปแล้ว

วินนี่เคาะค้อนไม้สำหรับการประมูลพร้อมกับแย้มรอยยิ้มงดงาม การประมูลสิ้นสุดลงแล้ว จึงมีพนักงานบริกรเดินมาติดต่อผู้ชนะการประมูลให้เดินไปที่หลังเวทีเพื่อชำระเงินและรับของประมูลกลับไป

ฉินสือโอวไม่จำเป็นต้องจัดการเรื่องนี้ วินนี่พกบัตรเครดิตมาด้วย เธอจะเป็นคนจัดการเรื่องพวกนี้เอง

ต่อจากนั้นเป็นช่วงเวลาของกิจกรรมอิสระ เอี๋ยนตงเหล่ยพาชาวจีนกลุ่มใหญ่มาหาฉินสือโอว พอได้พบกันหนึ่งในคนกลุ่มนั้นก็คำนับให้เขาพร้อมกับพูดว่า “ยินดีด้วยๆ เสี่ยวฉินเป็นผู้ชนะใหญ่ในการประมูลครั้งนี้ ออกฝีมือได้องอาจผ่าเผยจริงๆ สมแล้วที่เป็นผู้นำชาวจีนในนิวฟันด์แลนด์ของพวกเรา”

พอได้ยินคำพูดประโยคแรกของเขา ฉินสือโอวก็หัวเราะออกมา ทว่าเมื่อได้ยินประโยคหลังเขากลับหัวเราะไม่ออกแล้ว ผู้นำชาวจีนอะไรกัน? เขาเป็นผู้นำชาวจีนในนิวฟันด์แลนด์ตั้งแต่เมื่อไร?

………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท