ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1353 แขกผู้มีเกียรติมาถึง

บทที่ 1353 แขกผู้มีเกียรติมาถึง

ความจริงสิ่งที่ฉินสือโอวอยากทำคือซื้อเครื่องบินสักลำ

ตั้งแต่เมื่อหนึ่งปีก่อน หลังจากฉินสือโอวเก็บสะสมเงินในมือได้ถึงหนึ่งร้อยล้านเหรียญแคนาดาแล้ว ก็คิดอยากจะซื้อเครื่องบินส่วนตัวสักลำ เครื่องบินลำใหญ่แบบจริงจัง

เหตุผลที่มีความคิดแบบนี้ ก็เพราะเก็บเงินสดไว้ในมือก็ไม่มีประโยชน์ สู้เอาไปใช้จะดีกว่า แถมยังสามารถนำมาหลีกเลี่ยงภาษีกับลดหย่อนภาษีได้ด้วย อย่างไรเสียช้าเร็วเขาก็ต้องซื้อเครื่องบินส่วนตัวอยู่แล้ว เพราะฟาร์มปลามีรากฐานที่มั่นคงแล้ว ทำให้ฉินสือโอวมีเวลาว่างมาก เขาคิดอยากจะพาวินนี่ไปเที่ยวรอบโลกตามที่ใจปรารถนา

แต่ว่าการซื้อเครื่องบินไม่ใช่การซื้อรถยนต์ จำเป็นต้องพ่วงด้วยงานอีกมากมาย อย่างน้อยก็ต้องมีนักบินสองคน ถึงขั้นว่าต้องจ้างพนักงานแอร์โฮสเตสจำพวกนี้ด้วย ค่อนข้างวุ่นวาย เขาจึงยังไม่ได้ซื้อ

งานแต่งงานครั้งนี้เขาต้องรับผิดชอบค่าเดินทางไปกลับของคนจำนวนมาก ถ้าเป็นแบบนี้สู้เช่าเครื่องบินยังดีซะกว่า แต่ว่าค่าเช่าเหมาลำก็ไม่ได้ถูก ถือโอกาสซื้อเครื่องบินลำหนึ่งไปเลยดีกว่า เป็นการจ่ายเงินครั้งเดียวที่ภายหลังสามารถประหยัดเงินแถมยังประหยัดเวลาได้อีกด้วย

เสียดายที่ปัญหาคือ ซื้อเครื่องบินไม่ใช่การซื้อรถยนต์ ที่จ่ายเงินแล้วนำรถกลับก็ได้แล้ว แต่ต้องใช้เวลากว่าหนึ่งสัปดาห์ บริษัทเครื่องบินล้วนเป็นแบบได้รับออเดอร์จากลูกค้าแล้ว ค่อยทำการต่อเครื่องบินตามความต้องการและความชอบของลูกค้าทั้งนั้น อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลากว่าครึ่งปีถึงจะสามารถนำมาใช้ได้

เมื่อเป็นแบบนี้เป็นธรรมดาที่จะไม่ทันงานแต่ง ฉินสือโอวจึงทำได้แต่วางความคิดนี้ไว้ก่อน แล้วติดต่อเช่าเหมาลำเครื่องบินสองลำโดยผ่านบริษัทเอ็กซ์เพรสแทน

เครื่องบินสองลำนี้ล้วนเป็นแบบหรูหรา ลำหนึ่งเล็กลำหนึ่งใหญ่ เครื่องบินลำใหญ่คือเครื่องบินไอพ่นโกลบอล 7000 ที่ใช้ทางธุรกิจ สามารถรับผู้โดยสารได้ 18 ที่นั่ง ความเร็ว 0. 85 มัค สามารถบินได้ไกลกว่าหนึ่งหมื่นสองพันกิโลเมตร เป็นเครื่องบินส่วนตัวรุ่นท็อประดับโลก

เครื่องบินเล็กคือ TBM900 ที่ผลิตโดยบริษัทโซคาตาร์ เครื่องบินสามารถรับผู้โดยสารได้หกคน ความเร็วคือหกร้อยกิโลเมตรต่อชั่วโมง บินได้ไกลสามพันกิโลเมตร

เครื่องบินลำใหญ่ใช้สำหรับรับส่งผู้โดยสารที่มาไกล ส่วนเครื่องบินเล็กไว้ใช้สำหรับการเดินทางระยะใกล้

ค่าใช้จ่ายที่ฉินสือโอวเช่าเครื่องบินสองลำนี้รวมกันอยู่ที่แปดแสนห้าหมื่นดอลลาร์แคนาดา ระยะเวลาการเช่าคือเจ็ดวัน เริ่มตั้งแต่ห้าวันก่อนเริ่มงานแต่งงานจนถึงสองวันหลังเสร็จงานแต่งแล้ว แค่ค่าเช่าเครื่องบินแต่ละวันก็ต้องใช้ถึงหนึ่งแสนกว่าดอลลาร์แคนาดาแล้ว

หากว่ามีเวลาเหลือแล้วล่ะก็ ฉินสือโอวอยากซื้อเครื่องบินสักลำมากกว่า แน่นอนว่าหลังจากงานแต่งเสร็จสิ้นแล้ว เขาคงเลือกที่จะซื้อเครื่องบินอย่างแน่นอน

อาทิตย์สุดท้ายของเดือนกันยายน เวลารัดตัวเข้ามา ฉินสือโอวเตรียมงานในฟาร์มปลา ผู้คนที่มีอยู่ในมือก็เรียกมาใช้ทั้งหมด

นอกเหนือจากนั้น ตอนนี้เขายังประสบกับปัญหาเล็กๆ อีกอย่าง นั่นก็คือคนที่จะมาเป็นผู้ประกอบพิธีในงานแต่งงาน

ตามกำหนดการแล้ว สถานที่จัดงานแต่งจะจัดขึ้นในตัวเมือง ถึงเวลาตอนที่เขากับวินนี่แลกแหวนกันในโบสถ์ แน่นอนว่าต้องเป็นบาทหลวงกริมม์อยู่แล้วที่เป็นพิธีกรในงาน

แต่ว่าตอนนี้บาทหลวงกริมม์เกิดไม่สบายขึ้นมา งั้นก็ต้องเปลี่ยนคน เออร์บักแนะนำว่าให้เป็นมุขนายกคาบ็อท ศรัณหะ เขาเป็นเพื่อนสนิทของคุณปู่รองของเขา และเป็นผู้นำของศาสนาคริสต์ในนิวฟันด์แลนด์ด้วย

ตอนแรกฉินสือโอวนึกว่ามุขนายกจะเชิญยาก แต่พอเขากับเออร์บักไปหาผู้ดูแลของมหาวิหารเซนต์จอห์นเดอะแบ๊พติสท์ และหลังจากพวกเขารู้ถึงสาเหตุการมาของเขาแล้ว มุขนายกคาร์บ็อทก็ตอบตกลงด้วยใบหน้ายิ้มแย้มทันที บอกว่าถึงเวลาเขาจะไปร่วมงานแน่นอน

ทางฝั่งวินนี่ก็ได้เตรียมการไว้แล้วเหมือนกัน หากว่าทางมุขนายกคาร์บ็อทไม่ตกลงมา ก็จะเชิญบาทหลวงจากโบสถ์ที่บ้านเกิดของวินนี่มาเป็นผู้ทำพิธี แต่การที่พวกเขาเชิญมุขนายกได้สำเร็จยิ่งดีกว่า

การที่ได้มุขนายกมาเป็นผู้ประกอบพิธีย่อมมีเกียรติกว่าให้บาทหลวงมาประกอบพิธีกว่ามากอย่างไม่ต้องสงสัย

ปลายเดือนกันยายน บริษัทจัดงานแต่งงาน OK-KNOT ก็เข้ามาถึงในเมืองแล้ว และได้เริ่มเตรียมสถานที่ โดยการเริ่มจัดเตรียมตั้งแต่ฟาร์มปลาไปจนถึงโบสถ์ในเมือง

พวกเขาพาเจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยมาด้วยกลุ่มหนึ่ง หลังจากคนเหล่านี้มาถึงแล้วก็เริ่มทำการติดตั้งกล้องวงจรปิดให้ฟาร์มปลาใหม่ และบังคับเฮลิคอปเตอร์สองลำตั้งแต่งานแต่งงานเริ่มขึ้นจนจบงาน เฮลิคอปเตอร์สองลำนี้จะทำการบินอยู่บนฟ้าตลอดเวลา

หลังจากบริษัท OK-KNOT มาถึง บิลลี่ก็มาถึงแล้วเช่นกัน ฉินสือโอวถามเขาว่า “เป็นอย่างไรบ้าง แร่หินทองคำถูกส่งมาถึงพื้นดินหรือยัง?”

บิลลี่ถามอย่างแปลกใจว่า “นายรู้ได้อย่างไรว่าเรือของเราเทียบท่าแล้ว?”

ฉินสือโอวคอยเฝ้าสังเกตการณ์เรือลำเลียงแร่หินทองคำผ่านคราเคนและเหล่างูเหลือมทะเลมาตลอด แน่นอนที่เขาต้องรู้ว่าเรือลำนี้เข้าเทียบท่าแล้ว

แต่ว่าเรื่องนี้ไม่สามารถพูดออกไปได้ เขายักไหล่แล้วพูดว่า “แค่ถามดูเฉยๆ น่ะ เรือเข้าเทียบท่าแล้วเหรอ? เพื่อน ไม่ยอมรับไม่ได้นะว่า นายทำได้ดีมาก”

หลังจากถูกชม บิลลี่ก็ฉีกยิ้มออกมา จากนั้นก็ยื่นหนังสือพิมพ์ให้ฉินสือโอวฉบับหนึ่ง “เตรียมดูข่าวได้เลย ไม่นานบริษัทงมเรืออับปางของเราจะได้เป็นเรื่องเด่นในข่าวแล้ว”

ฉินสือโอวดูหนังสือพิมพ์ฉบับนี้สักพัก หนังสือพิมพ์ชื่อ ‘ขุมทรัพย์ของโลก’ ภาพบนนั้นคือรูปที่บิลลี่อุ้มแร่หินแล้วเงยหน้าหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พาดหัวข่าวคือ ‘สุดยอดขุมทรัพย์ถูกเผย เขาได้กลายเป็นเศรษฐีพันล้านในชั่วข้ามคืน’

บิลลี่อธิบายว่า “การกระจายของหนังสือฉบับนี้ไม่มากนัก เพราะจะพิมพ์ออกมาให้นักล่าขุมทรัพย์และนักสะสมของเก่าทั่วโลกเห็นเท่านั้น ฉันแจ้งข่าวให้กับพวกเขาล่วงหน้า ผู้อำนวยการของหนังสือพิมพ์ฉบับนี้สนิทกับพี่ชายของฉันมาก การแพร่ข่าวสารผ่านเขาจะทำให้ดูน่าเชื่อถือมากกว่า”

ฉินสือโอวพลิกดูหนังสือพิมพ์รอบหนึ่ง แล้วพูดว่า “ขอแค่รัฐบาลอเมริกาของพวกนายไม่มาเล่นงานสมบัติของเราก็พอแล้ว”

บิลลี่หัวเราะอย่างได้ใจว่า “ฉันมีความคิดหนึ่ง แร่หินส่วนใหญ่ฉันลำเลียงกลับไปซ่อนไว้ที่ท่าเรือแล้ว มีบางส่วนก็ถูกนำไปกระจายไว้ในน่านน้ำแถบนี้ จากนั้นก็ให้คนอื่นไปงมก็ได้แล้ว”

ฉินสือโอวตบบ่าเขาเบาๆ อย่างพอใจ แล้วพูดว่า “ไม่เลวเลยนี่นา เพื่อน เป็นกลยุทธ์ที่ทำให้ศัตรูสับสนสินะ หัวไวใช้ได้เลย!”

บิลลี่ทำท่าโค้งคำนับแบบสุภาพบุรุษ แล้วพูดว่า “นี่เป็นของขวัญงานแต่งของนาย เศรษฐีพันล้าน”

หลังจากจัดการแร่หินทองคำ และหลังจากที่ฉินสือโอวหักค่าใช้จ่ายออกแล้ว เงินที่เขาได้รับจะสูงถึงหนึ่งร้อยห้าสิบล้านดอลลาร์อเมริกา หรือก็คือเกือบพันล้านหยวน!

การมาของบิลลี่ในครั้งนี้ก็นั่งเครื่องบินลำเล็กมาด้วยเหมือนกัน เป็นเครื่องบินรุ่น PA-42 ซึ่งถือเป็นเครื่องบินพลเรือน เป็นเครื่องที่ต่อขึ้นด้วยเครื่องยนต์ 6A-28 สองเครื่องที่ผลิตโดยบริษัทแพร็ตต์ แอนด์ วิทนีย์ มีความแรงอยู่ที่ 620 แรงม้า บนนั้นมีรูปหน้าตาของบิลลี่พ่นอยู่ด้วย

ฉินสือโอวนึกว่าเป็นเครื่องบินที่เขาเช่ามา แต่หลังจากคุยกันแล้วถึงรู้ว่า เจ้าหมอนี่เป็นคนซื้อเครื่องบินลำนี้ที่ราคาหนึ่งล้านแปดแสนดอลลาร์สหรัฐ และเพิ่งได้มาไม่นาน

ที่บิลลี่ขับเครื่องบินมา ก็เพื่อเอามาให้ฉินสือโอวใช้ด้วย และฉินสือโอวก็เพิ่งจะรู้ตอนนี้ว่า เจ้าหมอนี่ถึงกับมีใบขับขี่เครื่องบินสำหรับพลเรือนด้วย สามารถขับเครื่องบินเองได้ เรื่องนี้ทำให้เขารู้สึกชื่นชมมาก บิลลี่สิที่เป็นเศรษฐีที่แท้จริง

วันที่หนึ่งเดือนตุลาคม ผู้คนที่มาร่วมงานแต่งกลุ่มแรกมาถึงแล้ว เพื่อนสมัยเรียนและเพื่อนที่ประเทศจีนของฉินสือโอวมาถึงแล้ว

ผู้คนที่มาส่วนมากจะเป็นเพื่อนสมัยเรียนมัธยมปลายและมหาวิทยาลัย ล้วนเป็นเพื่อนพวกที่ค่อนข้างเข้ากันได้ ส่วนเพื่อนสมัยเด็กมีเพียงแค่ฉินเผิงเท่านั้นที่มา

เครื่องบินสามารถลงจอดตรงสนามบินส่วนตัวในฟาร์มปลาต้าฉินได้เลย เมื่อเป็นแบบนี้ทำให้ฉินสือโอวไปต้อนรับพวกเขาได้ง่ายขึ้น ประตูเครื่องบินเปิดออก คนที่เขามองเห็นคนแรกก็คือเหมาเหว่ยหลงลงที่เดินนำลงมาก่อน

หลังลงจากเครื่องบินแล้ว เหมาเหว่ยหลงพูดกับเขาว่า “ถ้าหลังจากนี้แกจะซื้อเครื่องบิน ก็ซื้อรุ่นโกลบอลอย่างบอมบาร์ดิเอร์เลยนะ ให้ตายเถอะ เป็นอะไรที่สุดยอดมากเลย เพื่อนแกอย่างฉันได้สัมผัสถึงความเป็นเศรษฐีจริงๆ เลย”

…………………………………………………..

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน