ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1345 เสียงไวโอลินลอยล่อง

บทที่ 1345 เสียงไวโอลินลอยล่อง

ฉินสือโอวเดินกางร่มออกมา หลังจากนั้นร่มของเขาก็บินไปเสียแล้ว…

ช่วยไม่ได้ เขาจึงทำได้แค่หาเสื้อกันฝนตัวใหญ่ๆ มาใส่แทน หลังจากนั้นก็ดึงมันไปคลุมเชอร์ลี่ย์ไว้ด้วย แบบนี้ถึงจะกันฝนได้ดีที่สุด

จัดการแบบนี้แล้ว หลังจากฉินสือโอวกลับรู้สึกเหมือนมีใครจ้องมองอยู่ทางด้านหลัง พอเขาหันกลับไปมองก็เป็นอย่างที่คิดไว้ วินนี่กำลังใช้สายตาราวกับมีดจ้องมองมาทางนี้ “ที่รักคะ คุณคิดว่าระยะห่างระหว่างคุณกับเชอร์ลี่ย์มันใกล้กันเกินไปไหมคะ?”

กอร์ดอนหัวเราะฮ่าๆ เสียงดังแล้วพูดว่า “พวกเขาจะรวมร่างกันอยู่แล้ว”

วินนี่ ฉินสือโอว เชอร์ลี่ย์ “ไปให้พ้น!”

กอร์ดอนจึงหอบเอาไอแพดวิ่งขึ้นบันไดไปอย่างหงอยเหงาเศร้าซึมทันที เขาวิ่งไปด้วยบ่นพึมพำไปด้วยว่า “ห้ามปากประชาชนยิ่งกว่าห้ามสายน้ำ! พวกคุณกักขังร่างกาย ควบคุมคำพูดของผมได้ แต่พวกคุณกักขังหัวใจที่โหยหาอิสระของผมไม่ได้หรอก!”

พ่อของฉินสือโอวกล่าวว่า “โห เด็กคนนี้พูดภาษาจีนได้คล่องแคล่วจริงๆ สำเนียงจีนกลางของเขาดีกว่าของพ่อกับแม่แกเสียอีก”

ฉินสือโอวยังอยากอยู่คุยต่ออีกสักพัก ทว่าเชอร์ลี่ย์รอไม่ไหวแล้ว เธอใช้มือน้อยๆ ภายใต้เสื้อกันฝนดึงข้อมือของเขาเอาไว้แล้วสะบัดไปมาแรงๆ สะบัดจนสายตาของวินนี่หมุนขึ้นลงไม่หยุด

ช่วยไม่ได้ รู้หลบรู้หลีกคงจะดีกว่า ฉินสือโอวจึงทำได้แค่เอาหัวดันเสื้อกันฝนแล้วเดินออกจากบ้านมา

เสียงลมพายุคลั่งกรีดเสียงร้องหวีดหวิวพัดเข้ามา จนฉินสือโอวต้องโอบเด็กสาวเอาไว้เพื่อที่จะต้านลมได้อย่างเต็มที่ แถมเขายังไม่กล้าเดินเร็วเพราะกลัวว่าถ้ายกเท้าขึ้นแล้วจะถูกลมพัดจนปลิวขึ้นไปข้างบน

ตอนนี้แรงลมยังไม่ถึงระดับสิบ แต่ฉินสือโอวคาดว่าก็น่าจะอยู่ที่ประมาณระดับแปดถึงระดับเก้าแล้ว ถ้าถึงระดับสิบเขาจะไม่เดินออกมาแน่นอน ลมแรงระดับนั้นมันสามารถพัดคนให้ปลิวได้จริงๆ

เป็นอย่างที่เชอร์ลี่ย์กังวลจริงๆ ตอนนี้ตี้หลูกับเปากงที่อยู่ในคอกม้ากำลังพากันกลัวจนอกสั่นขวัญหาย ถึงจะมีหญ้ารสเลิศวางอยู่ตรงหน้า แต่พวกมันก็ไม่สนใจจะกิน แล้วเอาแต่สูดหายใจเข้าไปอย่างแรง ลมฝนจากทางด้านนอกพัดคอกม้าจนเกิดเป็นเสียงที่ทำให้พวกมันร้อนรุ่มกลุ้มใจ

ขณะที่พวกมันกำลังหวาดกลัวอยู่นั้น ฉินสือโอวกับเชอร์ลี่ย์ก็เข้ามาหาพอดี ลูกม้าทั้งสองตัวก็ส่งเสียงร้องออกมา อั๊ยหยาซี้แล้ว เข้ามาทำไม? พวกหนูตกใจหมดเลย

พอฉินสือโอวถอดเสื้อกันฝนออก ตี้หลูกับเปากงถึงพึ่งจะสงบลง ลูกม้าทั้งสองตัวอยากจะยกเท้าถีบพวกเขาจริงๆ สภาพอากาศสภาพแวดล้อมแบบนี้ พากันเข้ามาแบบนี้เหมือนจังหวะผีเป่าเทียนเลย

เชอร์ลี่ย์เห็นท่าทางตื่นตกใจขอพวกลูกม้า หลังจากถอดเสื้อกันฝนออกแล้วเธอก็วิ่งไปที่ห้องเก็บอาหารแล้วหยิบแครอทออกมาประมาณสองสามหัว หลังจากนั้นก็ป้อนมันให้กับตี้หลูก่อนแล้วค่อยป้อนให้เปากงกินบ้าง แค่แป๊บเดียวก็ปลอบประโลมลูกม้าทั้งสองตัวได้แล้ว

แครอทเป็นหนึ่งในอาหารโปรดของม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ และหากแครอทพวกนี้เป็นพืชที่ได้รับการปรับปรุงจากพลังของจิตสำนึกแห่งโพไซดอน แบบนั้นก็จะกลายเป็นของกินที่พวกมันโปรดปรานที่สุด ไม่ใช่แค่หนึ่งในอาหารที่ชอบกินแล้ว

เมื่อปลอบลูกม้าพันธุ์อเมริกัน เพนต์ได้แล้ว เชอร์ลี่ย์เปิดกล่องไวโอลินออกแล้วหยิบไวโอลินขึ้นมา ฉินสือโอวเอนตัวพิงประตูทางเข้า พูดอย่างทอดถอนใจว่า “ที่รัก ไม่ต้องเล่นไวโอลินได้ไหม? พวกเราแค่อยู่คุยเป็นเพื่อนพวกมันไม่ได้เหรอ?”

เชอร์ลี่ย์รู้ว่าเขาหมายถึงอะไร เธอจึงหันกลับไปขมวดคิ้วนิ่วหน้าพร้อมกับแลบลิ้นปลิ้นตาใส่เขา “หนูจะเล่นๆ ฉินคุณแย่มาก อย่ามาทำลายความตั้งใจของหนูได้ไหม?”

ฉินสือโอวไหวไหล่แล้วควักมือถือออกมาเล่นเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของตัวเอง เชอร์ลี่ย์ยื่นมือออกไปลูบคอของตี้หลูอยู่พักหนึ่ง หลังจากนั้นจึงวางไวโอลินไว้บนไหล่ เธอสะบัดแขนขวาเบาๆ หลังจากทดลองปรับเสียงเสร็จแล้วจึงวาดแขนบรรเลงมันให้เป็นเพลง

ฉินสือโอวจงใจทำท่าทีมองไปรอบๆ เพื่อหาอะไรมาอุดหู แต่ปรากฏว่าพอเสียงไวโอลินดังขึ้นมา เขาก็นิ่งงันไปทันที

มันเหนือกว่าความคาดหมายของเขา เสียงบรรเลงไวโอลินของเชอร์ลี่ย์งดงามมากจริงๆ

แน่นอนล่ะว่า ทักษะการเล่นไวโอลินของเด็กสาวยังไม่ได้ลึกล้ำถึงขั้นนั้น แต่หากเทียบกับเมื่อก่อน เสียงไวโอลินที่เธอกำลังเล่นอยู่ตอนนี้ก็เหมือนกับเสียงดนตรีของทูตสวรรค์เลยล่ะ ถึงแม้ว่าหลักๆ แล้วจะเป็นเพราะเสียงดนตรีที่เธอเล่นเมื่อก่อนมันแหลมบาดหูก็ตาม

เสียงไวโอลินดังขึ้นมาเบาๆ ด้วยท่วงทำนองที่เชื่องช้า เสียงสูงต่ำดังขึ้นต่อกันไม่ขาด ฉินสือโอวจำได้ว่านี่คือเพลงแคนอนที่วินนี่เคยเล่น และบางทีอาจจะน่าฟังกว่าที่วินนี่เคยเล่นด้วยซ้ำ

ผมสีบลอนด์ของเด็กสาวสะบัดพลิ้ว เสียงไวโอลินดังกังวานขึ้นเรื่อยๆ ในตอนนี้ฉินสือโอวรู้สึกว่าเสียงลมที่พัดตีคอกม้าดังอื้ออึงก็ไม่ได้เป็นปัญหาสำหรับเขาเท่าไรแล้ว

ลูกม้าอเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวพากันยื่นหัวออกมาพักไว้บนรางหญ้าออกมาพร้อมกันโดยที่ไม่ได้นัดกันไว้ ใช้ตาโตสดใสจ้องมองเด็กสาวตาปริบๆ ทันใดนั้นฉินสือโอวก็นึกถึงรายงานการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ที่เขาเคยอ่านขึ้นมา จากการวิจัยพบว่าม้าฟังเสียงดนตรีรู้เรื่อง

เพลงแคนอนถูกบรรเลงจนจบ เชอร์ลี่ย์ก็หันกลับมามองฉินสือโอว คนหลังเก็บโทรศัพท์มือถือตั้งนานแล้ว เขาปรบมือให้เธอเบาๆ พร้อมกับพูดอย่างจริงใจว่า “ขอโทษด้วยนะ เชอร์ลี่ย์ ที่พูดไปเมื่อสักครู่ฉันผิดเอง”

เขาเอาใจใส่พวกเด็กๆ ไม่มากพอ เชอร์ลี่ย์ฝึกซ้อมไวโอลินมาครึ่งปีกว่าแล้ว ทว่าจิตสำนึกของเขายังคงหยุดอยู่ในตอนที่เด็กสาวเพิ่งจะได้สัมผัสกับไวโอลินเป็นครั้งแรกๆ

เด็กสาวแย้มรอยยิ้มด้วยความภาคภูมิใจ เมื่อเธอสั่นสะบัดข้อมือเบาๆ เพลงบทใหม่ก็ถูกบรรเลงขึ้น

เพลงที่ดังขึ้นมาในคราวนี้ก็เป็นเพลงที่ฉินสือโอวคุ้นชินเช่นกัน มันมีชื่อว่า ‘คู่รักผีเสื้อ’ มีระดับความยากมากกว่าเพลงแคนอนอยู่นิดหน่อย คิดไม่ถึงว่าเด็กสาวจะเล่นเพลงนี้เป็นแล้ว

เชอร์ลี่ย์นำโน้ตเพลงมาด้วย หลังจากเล่นเพลงผีเสื้อคู่รักจบเธอก็พลิกหน้าแผ่นโน้ตแล้วเริ่มเล่นเพลงต่อ แต่เนื่องจากมีลมทะเลพัดเข้ามา โน้ตเพลงจึงเอาแต่พลิกไปพลิกมาอยู่เรื่อย ฉินสือโอวเข้าไปช่วยเธอทับแผ่นกระดาษไว้ เพื่อให้เธอบรรเลงไวโอลินต่อได้อย่างไม่มีอะไรมารบกวน

ลูกม้าอเมริกัน เพนต์ทั้งสองตัวก็ให้ความร่วมมือเป็นอย่างดีเช่นกัน พวกมันไม่ได้ส่งเสียงรบกวนแล้ว มีแค่นานๆ ครั้งเท่านั้นที่มันจะทำเสียงสูดจมูก ราวกับว่าพวกมันต้องการจะปรบมือให้กำลังใจอย่างไรอย่างนั้น

เชอร์ลี่ย์อยู่ในคอกม้าเป็นเพื่อนพวกมันทั้งสองตัวตลอดทั้งวัน พอเหนื่อยเธอก็พักฟังเพลง หลังจากพักผ่อนได้ครู่หนึ่งค่อยกลับมาสีไวโอลินต่อ ดำดิ่งเข้าไปในเสียงดนตรี ส่วนลูกม้าอเมริกัน เพนต์ก็เหมือนว่าจะดำดิ่งอยู่ในเสียงเพลงเรียบร้อยแล้ว

ช่วงพลบค่ำแรงลมและแรงฝนอ่อนกำลังลงแล้ว วินนี่เข้ามาหาพวกเขาทั้งสองคน เมื่อเห็นท่าทางเชอร์ลี่ย์การบรรเลงไวโอลิน เธอก็ยิ้มออกมาแล้วพูดว่า “ถ้าเธอยินดีที่จะพัฒนาไปสู่ด้านดนตรี ในอนาคตเด็กคนนี้จะกลายเป็นนักดนตรีระดับโลกได้แน่นอน”

ฉินสือโอวจึงพูดกับเธอว่า “ไม่ใช่แค่นี้หรอกครับ ที่รัก เชอร์ลี่ย์ยังสามารถกลายเป็นทหารม้าหญิงที่มีความยอดเยี่ยมได้ด้วยนะครับ”

ทุกวันเชอร์ลี่ย์จะปล่อยลูกม้าทั้งสองตัวออกไปจากคอก ทุกวันนี้ตี้หลูกับเปากงผูกพันกับเธอมากกว่าฉินสือโอวกับวินนี่เสียอีก สัตว์เลี้ยงในฟาร์มปลาแห่งนี้ต่างก็มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวกันทั้งนั้น

นายทหารชราอาศัยอยู่ที่ฟาร์มปลาเป็นเวลาหนึ่งสัปดาห์ ฉินสือโอวเริ่มยุ่งอยู่กับการเตรียมงานแต่งงานแล้ว จึงไม่ได้อยู่เป็นเพื่อนชายชราเท่าไร พอชายชราพูดว่าอยากกลับบ้าน เขาถึงได้รีบหาเวลาว่างไปส่งชายชรากลับบ้าน

ตอนนี้ชายชราอาศัยอยู่ในเมืองแคมลูปส์ ซึ่งเป็นเมืองใหญ่อันดับที่สามของรัฐบริติชโคลัมเบีย อยู่ห่างจากเมืองแวนคูเวอร์ประมาณสี่ร้อยกิโลเมตรหากเดินทางด้วยรถยนต์ ฉินสือโอวต้องนั่งเครื่องบินไปลงที่แวนคูเวอร์เป็นเพื่อนเขาก่อน แล้วค่อยเปลี่ยนไปโดยสารรถยนต์

ชื่อของเมืองแคมลูปส์มาจากภาษาอินเดียนแดง หมายถึงจุดที่แม่น้ำไหลมาบรรจบกัน แม่น้ำที่อยู่ทางตอนเหนือคือแม่น้ำนอร์ธทอมป์สัน ทางตอนใต้มีแม่น้ำเซาท์ทอมป์สัน เป็นเส้นทางการจราจรทางน้ำที่สำคัญมาตั้งแต่สมัยโบราณ และยังเป็นศูนย์กลางการค้าขนสัตว์ที่เคยรุ่งเรืองในช่วงยุคตื่นทองตอนต้นอีกด้วย

ปัจจุบันเมืองนี้มีบทบาทสำคัญคือการเป็นศูนย์กลางการคมนาคมและแหล่งผลิตโสมอเมริกา ทั้งยังเป็นแหล่งผลิตโสมอเมริกาที่ใหญ่ที่สุดในอเมริกาเหนือ

นายทหารเก่าอาศัยอยู่ในตึกเก่าหลังหนึ่งในเขตชานเมือง ทำให้ทราบได้ว่าสภาพการเงินของเขาไม่ค่อยดีเท่าไรนัก ซึ่งเรื่องนี้ก็พอจะเดาได้อยู่แล้ว เขาไม่มีลูกอีกทั้งยังไม่มีเงินบำนาญ ทำได้สามารถอยู่ได้ด้วยเงินช่วยเหลือทหารผ่านศึกเพียงเล็กน้อยอย่างเดียวเท่านั้น

เขาพาฉินสือโอวกับเออร์บักเดินขึ้นมายังชั้นบนสุด นายทหารชราหัวเราะกับตัวเองแล้วพูดขึ้นมาว่า “ห้องนี้มันเก่าเกินไปหน่อยแล้ว เกรงว่าฉันน่าจะต้องเรียกมันว่าพี่ใหญ่ด้วยซ้ำ แต่ไม่ต้องกังวลนะ มันยังทนทานใช้งานได้ดีอยู่”

ห้องชั้นบนสุดห้องนี้มีพื้นที่ประมาณห้าสิบหกสิบตารางเมตร มันเพียงพอสำหรับคนหนึ่งคนอาศัย และยังรักษาความสะอาดได้อย่างดี หลังจากเดินเข้ามาในห้องแล้วชายชราก็เปิดตู้เสื้อผ้าออก เขาหยิบกล่องไม้เรียบๆ กล่องหนึ่งออกมา แล้วเปิดกล่องออก ข้างในคือของที่มีขนาดเท่ากับลูกฟุตบอลหนึ่งลูกที่ถูกกระดาษห่อไว้เป็นชั้นๆ

เมื่อเข้าไปใกล้กล่องไม้ ฉินสือโอวก็สัมผัสได้ถึงความหิวโหยที่เคยได้พบเมื่อนานมาแล้วทันที

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท