ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – ทที่ 1358 ไฮ high ไฮ

ทที่ 1358 ไฮ high ไฮ

ปาร์ตี้สละโสดถือได้ว่าเป็นปาร์ตี้ที่มีความสุขที่สุดของคนหนุ่มสาวในอเมริกาและยุโรปเกือบทุกคน ก่อนที่ทั้งคู่จะแต่งงาน โดยปกติเพื่อนเจ้าบ่าวและเพื่อนเจ้าสาวจะออกหน้าจัดกิจกรรมแบบนี้ให้

หลังจากที่เข้าใจแล้ว ฉินสือโอวก็ทำได้เพียงฝืนยิ้มและยอมรับในชะตากรรม เขาจะไม่สนุกไม่ได้ และก็ไม่สามารถโทษทุกคนที่ทำให้เขาตกใจ เพราะจุดประสงค์ของงานนี้ก็คือฉลองค่ำคืนหนึ่งที่ยากจะลืมเลือนอย่างบ้าคลั่ง และคนที่มาร่วมงานก็ต้องเก็บความลับของเจ้าของงานไว้

ชาวต่างชาติไม่มีธรรมเนียมปลุกห้องเจ้าสาว แต่พวกเขาก็จะไม่ปล่อยเจ้าบ่าวและเจ้าสาวไปง่ายๆ ซึ่งสิ่งที่พวกเขาเล่นกันก็คือปาร์ตี้สละโสด

โดยทั่วไปแล้ว ลักษณะการจัดงานประเภทนี้มีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งโดยพื้นฐานเพื่อนสนิทก็จะมารวมตัวกัน อยากทำอะไรก็ทำ

ฉินสือโอวเงยหน้ามองไปบรรยากาศรอบๆ ที่นี่น่าจะเป็นไนต์คลับแห่งหนึ่ง สุดท้ายก็ถูกพวกเหมาเหว่ยหลงเหมาร้านจัดปาร์ตี้ ทุ่มทุนจริงๆ

ไนต์คลับเป็นสถานที่ที่เหมาะกับการจัดงานพวกนี้ที่สุดแล้ว แสงไฟมืดสลัว เหล้าทุกรูปแบบ เสียงเพลงอึกทึก ทุกคนคือความบ้าคลั่ง

ทันทีที่เขาถือขวดเบียร์ แบรนดอนก็ขึ้นมาดื่มกะเขา ฉินสือโอวพูดว่า “อย่าเลยเพื่อน ปล่อยฉันคนนี้ไปเถอะ พรุ่งนี้ฉันยังต้องเข้าร่วมงานแต่งงาน เมาไม่ได้”

แบรนดอนยักไหล่แล้วพูดขึ้น “ฉันรู้ ฉิน ฉันแค่ดื่มกะนายขวดเดียวเท่านั้น ไม่ทำให้นายเมาหรอก”

ในเมื่อเขารับปากแล้ว ฉินสือโอวก็ไม่พูดอะไรมากอีก ยกขวดเบียร์ขึ้นเตรียมกรอกเข้าปาก

แบรนดอนบีบข้อมือเขาแล้วพูดขึ้น “แต่พวกเราต้องตกลงกันให้ดีก่อน นายต้องดื่มขวดนี้ให้หมดในคราวเดียว ไม่อย่างนั้นคืนนี้ฉันไม่ปล่อยนายแน่ แล้วนายก็จะเลิกไม่ได้ด้วย”

ฉินสือโอวพูด “ถ้าฉันดื่มหมดขวดนี้ในคราวเดียว นายจะมาตอแยให้ฉันดื่มไม่ได้ละนะ? คำพูดลูกผู้ชาย ห้ามคืนคำ?!”

“ใช่ สาบานต่อพระเจ้า!” แบรนดอนพูดอย่างจริงจัง

พอได้ยินคำพูดนี้ ฉินสือโอวก็หัวเราะหึหึขึ้นมา เบียร์ขวดนี้ก็เป็นเบียร์บัดไวเซอร์ธรรมดาทั่วไป ขวดหนึ่งแค่ 280 มิลลิลิตร ดื่มให้หมดนั้นง่ายนิดเดียว

แต่ทว่าเมื่อเขาลิ้มรสเบียร์เข้าไปในปากแล้ว สีหน้าก็เปลี่ยนไปในทันใด แม่งเอ๊ย เขาโดนหลอกแล้ว ในขวดไม่ใช่เบียร์ ใครจะรู้ว่านี่จะมาไม้ไหน? ใช่มันคือเหล้า แต่รสชาติแปลกมาก!

ตอนที่เขาจะยกขวดออกจากปาก คนกลุ่มหนึ่งก็ห้อมล้อมกันเข้ามา บิลลี่ล้วงปากกาบันทึกเสียงออกมาแท่งหนึ่ง หลังจากที่เปิดแล้วก็เป็นบทสนทนาระหว่างเขากับแบรนดอน

ฉินสือโอวแอบร้องไห้อยู่ในใจ ครั้งนี้เขาพ่ายแพ้แล้ว ทำได้แค่ซดขวดนี้เข้าไปอึกใหญ่ๆ ยังดีว่าปริมาณมันน้อย เหล้าก็ไม่ได้แรงมาก ไม่กี่อึกใหญ่ก็หมดแล้ว

โยนขวดเหล้าทิ้ง ฉินสือโอวชี้ไปที่แบรนดอนแล้วพูดว่า “เพื่อน นายหลอกฉันเหรอ?!”

แบรนดอนยักไหล่แล้วพูดว่า “ฉันหลอกอะไรนาย? คำสัญญาของเราทำขึ้นโดยมีพระเจ้าเป็นพยาน ไม่ใช่เหรอ?”

โอวหยางไห่ที่มาถึงฟาร์มปลาตอนบ่ายก็มาเข้าร่วมปาร์ตี้สละโสดนี้ด้วย เขาเดินขึ้นตบไปที่ไหล่ฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “ช่างมันเถอะ พี่ฉิน นายก็ถูกละลาบละล้วงแล้ว นายรู้ไหมว่าปาร์ตี้สละโสดของฉันเป็นยังไง?”

ฉินสือโอวถามด้วยความเศร้าใจว่า “คงไม่แย่ไปกว่าฉันแล้วหรอก? ฉันถูกคนลักพาตัวมาเลยนะ”

โอวหยางไห่แสดงสีหน้าที่ไม่อยากจะย้อนคิดเรื่องในอดีตที่ไม่ดีสักเท่าไร โบกไม้โบกมือแล้วพูดขึ้น “แม่ง ตอนนั้นฉันอนาถกว่า ฉันถูกคนหลอกโดยใช้คิวคิวของแฟนเก่าฉัน! อีกอย่างตอนนั้นที่ฉันเล่นสนุกกันคือปาร์ตี้แบบกอล์ฟที่บาร์!”

กอล์ฟที่บาร์ก็เป็นสไตล์ปาร์ตี้รูปแบบหนึ่ง ความหมายก็ตามชื่อเลย เหมือนกับแข่งขันในกีฬากอล์ฟที่ต้องตีให้ลงหลุม 10 หลุม ผู้เข้าร่วมจะต้องดื่มเหล้าให้ครบ 10 บาร์โดยมีเพื่อนๆ ยืนล้อมวงไว้

การดื่มแบบนี้ไม่ใช่การดื่มธรรมดา เพราะแต่ละบาร์จะมีกำหนด ‘พาร์’ เอาไว้ก่อน เมื่อทำได้ตามกำหนดถึงจะผ่านด่านไปได้

ชาร์คแสยะยิ้ม “นี่ไม่ถือว่าเท่าไร? คืนก่อนวันแต่งงานของฉัน ของฉันเล่นท้าทาย 100!”

ท้าทาย 100 ง่ายนิดเดียวแต่กลับบ้าดีเดือดมาก ซึ่งก็คือการเทเบียร์ 100 มิลลิลิตรลงในแก้วเบียร์ แล้วเจ้าบ่าวต้องใช้ความเร็วในการดื่ม 1 แก้วภายใน 1 นาที ติดต่อกัน 100 นาที ก็เท่ากับดื่มเบียร์ 10,000 มิลลิลิตร ติดต่อกัน ตอนนี้เบียร์ขวดใหญ่ 1 ขวดมีปริมาณ 500 มิลลิลิตร ก็เท่ากับว่าต้องดื่มติดต่อกัน 20 ขวดให้หมดเกลี้ยง

เมื่อได้ยินที่เขาพูด ฉินสือโอวรู้สึกว่าเรื่องที่ตัวเองเจอวันนี้ไม่น่าอนาถจนเกินไป ดังนั้นเขาถึงรู้สึกสุขใจขึ้นมา รีบกวักมือเรียก ตะโกนว่า “เหล้าล่ะ? เอามาเหล้ามาให้ฉัน? คืนนี้ฉันจะจัดการพวกนายให้หมด! ฮ่าฮ่าฮ่าฮ่า…”

เอ๋ นี้แผ่นดินไหวเหรอ? ทำไมพื้นถึงโยกไปโยกมา?”

เฉินเหลยถามเหมาเหว่ยหลง “แม่ง ทำไมฉินถึงคออ่อนขนาดนี้วะ? ต่อให้ซัดเหล้าขาวปริมาณ 280 มิลลิลิตรเข้าไป ก็ไม่น่าจะเป็นได้ขนาดนี้มั้ง?”

เหมาเหว่ยหลงยิ้มเยาะ “นั่นไม่ใช่เหล้าขาว แต่มีทั้งเหล้าขาว ไวน์แดง เบียร์ขาว เหล้าเหลือง ผสมอยู่ด้วย ฉันก็ไม่รู้ว่ามันคืออะไรเหมือนกัน”

ฉินสือโอวนับว่ายังมีสติอยู่ เพียงแต่หัวจะหนักๆ เท้าลอยๆ มีคนประคองเขาไปนั่งบนโซฟา มีคนยื่นเบียร์ให้เขาขวดหนึ่งแล้วพูดว่า “มา พี่น้อง มาล้างปากสักหน่อย จะได้ไม่มึน”

ฉินสือโอวซดเข้าไปเกลี้ยงอย่างสำราญใจ หลังจากนั้นเขาก็เริ่มรู้สึกว่าสติยิ่งเลือนรางเข้าไปทุกที ราวกับว่าหลังจากนั้นก็มีคนมายื่นเบียร์ให้เขาอีก มีคนถามว่าเล่นเกมอะไรดี แล้วเขาก็เข้าไปมีส่วนร่วมอย่างมีความสุข…

วันที่สองเมื่อตื่นขึ้นมา ฉินสือโอวรู้สึกสมองหนักๆ แต่ก็ยังทนไหว เพียงแต่ว่ามันไม่สดชื่นเท่าตอนที่เขาตื่นนอนยามปกติ

เขาลุกขึ้นมามองไปรอบๆ เขาอยู่บนเตียงใหญ่ที่โรงแรมแห่งหนึ่ง บนเตียงยังมีอีกสองคน คือบิลลี่และเฉินเหลย เขามองลงไปที่พื้น ยังมีเฉินเจี้ยนหนาน เยียนเฟย และคนอื่นๆ นอนสลับเรียงรายกันบนพื้น

แบบนี้เขาก็มีความสุขแล้ว ไม่ต้องสงสัยเลย ไอ้พวกนี้เล่นกันอย่างสนุกสนานมากเมื่อคืน ไม่ได้มอมเขาคนเดียว ยังมอมกันเองด้วย แต่เนื่องด้วยพวกเขาไม่มีสมรรถภาพทางร่างกายที่เหลือเชื่อเหมือนฉินสือโอว พวกเขาตอนนี้ถึงยังสลบไสลกันอยู่

ฉินสือโอวมองขึ้นไปบนฟ้าแล้วหัวเราะ “ฮ่าๆๆๆ ในที่สุดก็ถึงตาฉันแก้แค้นแล้ว!”

ก่อนอื่นให้เขาอาบน้ำร้อนให้ทั่วทุกส่วนก่อน รอเขาออกมาจากห้องอาบน้ำเมื่อไร สติก็จะกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ หัวใจโพไซดอนเก่งฉกาจไม่มีอะไรมาเทียบได้ มักจะทำให้ร่างกายคงไว้ซึ่งความแข็งแรงอยู่เสมอ

มองเวลาไปแค่ตอนเช้า 7.30 น. ยังห่างจากเวลางานแต่งงานอีกมาก ฉินสือโอวเดินออกไปและเริ่มตามแผน เขาใส่รองเท้าแตะแล้วเดินเหยียบไปมาบนคนที่นอนอยู่ แล้วตะโกนว่า “เชี่ย นอนบ้าอะไร! ลุกขึ้นมาสนุกสิ ลุกขึ้นมา! เฮ้ๆๆๆ! ขึ้นมาสนุกกัน ขึ้นมาสิ!”

พอเขาร้องเสียงดัง คนอื่นๆ ก็เริ่มตื่นขึ้นมาแบบมึนๆ งงๆ เว้นแต่บูลที่ยังนอนกรนอยู่

บิลลี่พึมพำ “หุบปาก! เชี่ย ออกไปเลย ให้ฉันนอนสบายๆ หน่อย…”

ฉินสือโอวเข้าไปดึงเขา ลากเขาไปทิ้งในห้องน้ำ ร้องขึ้นว่า “นอนๆๆ! นอนแข็งทื่อบ้าอะไร ลุกขึ้นมาสนุกกันสิ! หมดแก้ว! ดื่มต่อกัน! พี่น้องไม่เมาไม่กลับ!”

บิลลี่ดื่มน้ำที่ฉินสือโอวอาบไปสองอึก ในที่สุดก็ตื่นจนได้ เขาก่นด่า “ฉิน ไอ้หมาบ้า…”

“โอ้ พูดคำด่าของประเทศเราได้แล้วเหรอ?”

ฉินสือโอวลอบยิ้ม เขาหยิบฝักบัวขึ้นมา ปรับอุณหภูมิไปที่เย็นที่สุด เปิดน้ำแล้วก็ฉีดพ่นไปที่ตัวบิลลี่

บิลลี่กรีดร้องพร้อมกับวิ่งออกมา แล้วเขาก็ลากเฉินเหลยเข้าไปทันที พูดว่า “ฉีดน้ำใส่เขา ฉีดใส่เขา! อย่าให้ฉันเปียกคนเดียว!”

แล้วก็เป็นแบบนี้ พอเฉินเหลยตื่น เขากับบิลลี่ก็แบกเหมาเหว่ยหลงเข้ามา ไม่ต้องให้ฉินสือโอวลงมือเองเลย ทุกคนก็เปียกปอนไปหมด

สุดท้ายเหลือแค่บูล คนทั้งกลุ่มช่วยกันพยุงตัวเขาขึ้นมา ฉินสือโอวฉีดน้ำใส่เขาอย่างมีความสุข

ฉีดไปสักพัก บูลก็ยังคงนอนกรน น้ำเย็นๆ ถูกกรอกเข้าไปในปาก ในที่สุดเขาก็มีปฏิกิริยาโต้กลับ พึมพำว่า “เบียร์เย็นๆ เนี่ย สุดยอดโว้ย!”

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท