ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1362 พันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์

บทที่ 1362 พันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์

ฉินสือโอวและแมทธิว จินคุยธุระกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เวลานี้ในฟาร์มปลาไม่มีสถานที่ที่สะอาดเหลืออยู่แล้ว โดยเฉพาะหลังจากสงครามดื่มหนักผ่านไป เดิมทีเป็นการสงครามระหว่างพวกชาวประมงและเพื่อนสมัยเรียนของเขา แต่เพื่อนของเขาจะไปสู้พวกชาวประมงที่โจมตีราวกับเครื่องบินทิ้งระเบิด ทั้งเบียร์ทั้งเหล้าขาวได้อย่างไรกัน?

ต่อมาเรื่องราวก็เพิ่มความเข้มข้นจนกลายเป็นศักดิ์ศรีระดับเชื้อชาติ ญาติส่วนหนึ่งของฉินสือโอวจึงเข้าร่วมด้วย ฟาร์มปลาพลันเปลี่ยนเป็นครึกครื้นขึ้นมาทันที

ในร้านกาแฟไม่ได้มีแค่แมทธิว จิน แต่ยังมีเจ้าของฟาร์มปลาที่เป็นเพื่อนที่ดีกับเขาอยู่ด้วยจำนวนหนึ่ง อย่าง โดนัลด์ บราวน์ และแอนดรูว์ ทัคเกอร์ ซึ่งก็เป็นแขกในงานแต่งงานครั้งนี้เช่นกัน

หลังจากที่เห็นฉินสือโอว แมทธิว จินก็เชิญให้เขานั่งลง แล้วพูดขึ้น “ต้องมารบกวนคุณเวลานี้ ขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ ตามวัฒนธรรมของคนจีน คืนนี้เป็นคืนเข้าหอของคุณใช่ไหม?”

ฉินสือโอวยักไหล่ “ใช่ครับ เป็นเรื่องมงคล 4 เรื่องในชีวิตของคนจีน สอบติดข้าราชการ เจอเพื่อนรู้ใจที่บ้านเกิด ฝนตกในยามแล้ง และคืนเข้าหอ”

ไม่ต้องเกรงใจอะไร ณ ที่นี้ เพราะแมทธิว จิน ก็ไม่สมควรรบกวนเขาในเวลายามนี้จริงๆ

รัฐมนตรีกล่าวขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ แต่ว่าไม่มีหนทางอื่นครับเพราะว่าพรุ่งนี้ผมก็ต้องบินกลับจากเมืองเซนต์จอห์นไปโทรอนโตแต่เช้าตรู่ จำเป็นต้องเข้าร่วมประชุมสำคัญ”

ฉินสือโอวยิ้ม “ผมแค่ล้อเล่นครับ อย่าเก็บเอามาคิดมากท่านรัฐมนตรี เชิญพูดได้เลยครับ มีอะไรต้องให้ผมช่วยเหรอครับ?”

แมทธิว จินพยักหน้า “ใช่แล้วล่ะ ฉิน ครั้งนี้มีเรื่องที่ต้องรบกวนคุณให้ช่วยออกหน้าจัดการ เท่าที่ผมรู้ คุณยื่นเรื่องสมัครการจัดตั้งสมาคมอิสระใช่ไหม?”

ฉินสือโอวนายใหญ่ไม่เข้าใจว่าอยู่ดีๆ เขาจะเปลี่ยนเรื่องพูดทำไม จึงทำได้เพียงคล้อยตาม “ใช่ครับ สมาคมอิสระจริงๆ อันนั้นก็เล่นๆ ไม่มีอะไร ทำไมเหรอครับ”

แมทธิว จินครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง แล้วพูดว่า “ไม่มีอะไรหรอกครับ คุณตั้งใจจะจัดตั้งสมาคมคล้ายๆ แบบนี้จริงจังไหม ผมหมายถึงการจัดสมาคมอิสระแนวนี้ เช่น พันธมิตรการประมงนิวฟันด์แลนด์”

โดนัลด์และแอนดรูว์และคนอื่นๆ มองไปที่ฉินสือโอวอย่างมีความหวัง แสดงให้เห็นแน่ชัดว่าเขาได้คุยกับแมทธิว จินมาก่อนหน้านี้แล้ว

ฉินสือโอวลังเลและสงสัย เขาจึงถามอย่างระมัดระวัง “พันธมิตรนี้มีลักษณะเป็นอย่างไรครับ? จุดประสงค์คืออะไร? สไตล์เป็นแบบไหน? สมาชิกที่จะรับคือเป็นแบบไหนครับ?”

แมทธิว จินตอบว่า “ลักษณะของพันธมิตรคือเป็นการรวมตัวกันของเจ้าของฟาร์มปลา พวกคุณก็จะช่วยแชร์ในเรื่องข้อมูลข่าวสาร ทรัพยากร แบบนี้ก็จะสามารถพัฒนากิจการฟาร์มปลาได้ดีกว่าเดิมไม่ใช่เหรอ?”

หลังจากผ่านงานแต่งงานครั้งนี้ไป ฉินสือโอวก็รับรู้ถึงความสำคัญของคอนเนคชั่นได้มากขึ้น แต่ก็ยังไม่อยากเข้าร่วมสมาคมแบบนี้ ถ้าจะให้เขามาจัดตั้งด้วยยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะอย่างไรเขาก็เป็นคนจีน ไม่รู้ว่าอุตสาหกรรมการประมงมีคนแอบหาโอกาสทำร้ายเขาแบบลับๆ มากเท่าไร

ดังนั้นเขาจึงพูดอย่างอ้อมๆ ว่า “ผมจะต้องพิจารณาอีกทีครับ คุณก็รู้รัฐมนตรีแมทธิวว่ามันไม่ได้ง่าย การจัดตั้งสมาคมที่มีประโยชน์เป็นเรื่องที่วุ่นวายมากเรื่องหนึ่งทีเดียว ผมจึงต้องคิดให้ละเอียด ว่าจะสามารถรับภาระตรงนี้ไหวไหม”

โดนัลด์พูดอย่างร้อนใจ “ฉิน เรื่องงานจัดตั้งพวกเราสามารถช่วยได้ รัฐมนตรีแมทธิวก็สามารถที่จะจัดหาคนที่มีประสบการณ์จากกรมประมงมาช่วยในด้านงานหลักๆ ได้ แต่สิ่งที่เราต้องการเลยคือผู้นำที่มีเกียรติซึ่งแน่นอนว่าคุณก็คือคนที่เราต้องการ”

ฉินสือโอวแอบคิดในใจว่าเขาเป็นคนแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไรกัน? ที่แท้หัวใจโพไซดอนให้พลังอำนาจแบบนี้ได้เหรอ? ไม่เช่นนั้นจะมีเอี๋ยนตงเหล่ยมาชมว่าเขาเป็นผู้นำคนจีนในนิวฟันด์แลนด์ได้อย่างไร แล้วตอนนี้จะยังมีแมทธิว จินให้เขาออกหน้าเป็นผู้นำในการจัดสมาคมแบบนี้อีก?

แน่นอนเขาเข้าใจว่า แมทธิว จินและเจ้าของฟาร์มปลาคนอื่นๆ สนใจไม่ใช่ตัวเขา แต่เป็นชื่อเสียงของฟาร์มปลาต้าฉินต่างหาก

เนื่องด้วยแผนการขยายกิจการทางทหารอย่างดุเดือดของบัตเลอร์ และความสามารถในการผลิตที่น่ากลัวของฟาร์มปลาต้าฉิน อาหารทะเลต้าฉินจึงสามารถก่อตั้งสาขาในอเมริกาไปมากกว่า 12 สาขา โดยครองตลาดอาหารทะเลระดับไฮเอนด์ในสิบเมืองชั้นนำในสหรัฐอเมริกาได้

ตอนนี้ถ้าพึ่งแค่การส่งออก เจ้าของฟาร์มปลาในแคนาดาหลายคนไม่มีรายได้ แต่ถ้าพวกเขาสามารถเข้าไปเป็นส่วนหนึ่งของแบรนด์ต้าฉินอาหารทะเลโดยผ่านทางฉินสือโอว กลายเป็นคนจัดหาสินค้าให้ ถ้าเช่นนั้นโอกาสในการพัฒนาก็มากอยู่ทีเดียว

แมทธิว จินไม่ได้บีบบังคับฉินสือโอว หลังจากที่เขาบอกว่าจะขอพิจารณาก่อน ท่านรัฐมนตรีก็เปลี่ยนหัวข้อเรื่องที่จะคุย มาคุยถึงแผนการพัฒนาครึ่งปีหลังของกรมประมงกับเขาและเจ้าของฟาร์มปลา ถามความคิดเห็นของพวกเขา

พอคุยได้สักพัก ฉินสือโอวก็ขอตัวกลับก่อน การดวลเหล้าด้านนอกยังไม่จบลง พวกทหารก็เข้าร่วมด้วย เพราะคืนนี้ไม่ต้องให้พวกเขาเฝ้าเวรกะกลางคืน พนักงานรักษาความปลอดภัยของบริษัทจัดงานแต่งงานเป็นคนสอดส่องดูแลไม่ให้ขาดตกบกพร่องทั่วทั้งเกาะ

หลังจากที่ฉินสือโอวกลับไปถึงฟาร์มปลาก็ถูกครอบครัวบรูซเรียกเข้าไปหา สกอตต์ สเตราส์โบกมือทักทายเขา ยิ้มแล้วพูดขึ้นว่า “ฉิน ครั้งนี้ผมต้องขอบคุณคุณแล้ว งานแต่งงานของคุณทำให้ร้านค้าของเรามีรายได้เข้ามา”

แคนาดาจะมีความคล้ายคลึงกับอเมริกาอยู่ในเรื่องของขวัญวันแต่งงาน คู่บ่าวสาวที่แต่งงานที่นี่ แขกจะไม่ได้ออกเงินช่วยในการจัดงานแต่ง แต่จะเป็นการมอบของขวัญให้แทน แล้วตอนนี้ก็ไม่ได้มอบเป็นสิ่งของ แต่ให้เป็นบัตรกำนัล ซึ่งมักจะเป็นบัตรกำนัลจากห้างสรรพสินค้าเมย์ซี

แม้ว่าขนาดของห้างสรรพสินค้าเมย์ซีจะไม่ใหญ่เท่าวอลมาร์ท แต่ก็มีระดับเป้าหมายของลูกค้าที่ระดับกลางไปจนถึงระดับสูง จึงเป็นตัวเลือกที่จะมอบเป็นของขวัญมากที่สุด ซึ่งกิจการงานของห้างสรรพสินค้าเมย์ซีก็เป็นของครอบครัวสเตราส์

ฉินสือโอวกำลังคุยเล่นอยู่กับพวกมีอิทธิพลทั้งหลาย แล้วท้ายสุดก็คุยกันถึงเรื่องเครื่องบินหรูส่วนตัว

เขาจำได้ว่าชากูนิสเป็นผู้บริหารระดับสูงของบริษัทโบอิ้ง ตำแหน่งจำได้ไม่ชัดเจน รู้แต่ว่าค่อนข้างสูงเลยทีเดียว เพราะไม่เช่นนั้นก็คงไม่สามารถมาคุยกับสเตราส์หรือบรูซและคนอื่นๆ ได้หรอก

ดังนั้นเขาจึงถามชากูนิสขึ้นว่า “ผมอยากซื้อเครื่องบินลำใหญ่ เพื่อนคุณมีอะไรแนะนำไหม?”

โมล ฟริตซ์ผู้ประกอบการบริษัทบริษัทยูเนียน แปซิฟิก เรลโรดพูดขึ้นว่า “ครั้งนี้คุณถามถูกคนละฉิน ชากูนิสเพิ่งเข้ารับตำแหน่งซีอีโอที่บอมบาร์เดียร์ เพราะฉะนั้นเขาให้คำแนะนำที่ดีกับคุณได้แน่นอน”

สกอตต์ สเตราส์พูดขึ้น “ฉินเป็นชายที่อบอุ่นจริงๆ เพิ่งสนับสนุนธุรกิจของร้านค้าเรา ตอนนี้จะมาสนับสนุนธุรกิจของชากูนิสอีก มา ให้ผมดื่มขอบคุณชายหนุ่มผู้ใจดีคนนี้ด้วยเถอะ”

เมื่อฟังคนสองคนพูดแล้ว ฉินสือโอวรู้สึกตกใจเล็กน้อย ชากูนิสไม่ใช่ผู้บริหารระดับสูงของบริษัทโบอิ้งหรอกเหรอ? เมื่อไรที่ไปเป็นซีอีโอที่บอมบาร์เดียร์แล้ว? ตอนนี้ตำแหน่งก็สูงและยังมีอำนาจมากด้วย

ไม่จำเป็นต้องเสแสร้งกับคนเหล่านี้เลย ฉินสือโอวมีข้อสงสัยก็ถามขึ้นมาตรงๆ เพียงแต่เขาเปลี่ยนวิธีพูดเล็กน้อย “ยินดีด้วย ชากูนิส ผมไม่รู้เลยจริงๆ ว่าคุณออกจากบริษัทโบอิ้งไปอยู่ที่บอมบาร์เดียร์แล้ว ผมนี่เสียมารยาทจริงๆ ให้ผมดื่มให้อีกแก้วหนึ่งเถอะ”

ชากูนิสยิ้มอย่างขมขื่นแล้วพูดขึ้น “อย่าเพิ่งรีบยินดีไป สถานการณ์มันไม่ได้ดีขนาดนั้น ตอนนี้สถานการณ์ของบริษัทไม่ค่อยดีเท่าไร บางทีผมอาจจะรับช่วงต่อวิกฤตมาพอดี”

คำพูดของเขาทำให้เกิดหัวข้อใหม่ในการสนทนา พวกเขาก็เริ่มถกประเด็นนี้กันขึ้นมา

หลังจากฟังที่พวกเขาคุยกัน ฉินสือโอวถึงเพิ่งจะรู้ว่า ตอนนี้สถานการณ์ของบอมบาร์เดียร์เข้าสู่ช่วงลำบาก จนถึงขณะนี้การขาดดุลของงบบริษัทสูงถึง 4.9 พันล้านเหรียญสหรัฐ ถ้ามากกว่านี้ไปอีกนิดก็จะเข้าสู่การล้มละลายแล้ว

ในขณะที่คุยกัน สกอตต์ สเตราส์จู่ๆ ก็ถามฉินสือโอวว่า “ฉิน ตอนนี้ในบัญชีของคุณน่าจะมีเงินทุนไม่น้อยใช่ไหม สนใจมาร่วมลงทุนเสี่ยงดูสักตั้งไหม?”

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท