ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1363 เสี่ยงกับบอมบาร์เดียร์

บทที่ 1363 เสี่ยงกับบอมบาร์เดียร์

มิน่าการจะได้มาซึ่งคอนเนคชั่นต้องปีนให้สูงเพิ่มขึ้นไป มีเพียงแบบนี้ถึงจะสามารถสัมผัสได้ถึงทรัพยากรที่ตัวเองเอื้อมไม่ถึง อย่างเช่นจังหวะนี้เองที่ฉินสือโอวเจอกับโอกาสในการลงทุนที่ดี

แน่นอนว่าตอนนี้บริษัทบอมบาร์เดียร์กำลังตกอยู่ในสถานการณ์ยากลำบาก ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เป็นเพราะเครื่องบินซีรีส์ C ที่พวกเขากำลังจะเปิดตัว

เครื่องบินรุ่นนี้เป็นเครื่องบินเจ็ทแบบไฮเอนด์ ให้บริการกับตลาดเฉพาะด้าน ซึ่งถ้าหากเปิดตัวตามแผนเดิม ป่านนี้ก็คงได้รับความนิยมไปทั่วโลก แต่ปัญหาคือตอนนี้ช้ากว่าแผนที่วางไว้ถึงสองปีก็ยังไม่ผลิตออกมา จึงทำให้บริษัทคู่แข่งอย่างบริษัทแอร์บัสและบริษัทโบอิ้งมีเวลา ‘ชิงตัดหน้า’ ไปเสียก่อน

สองปีมานี้ เศรษฐกิจของแคนาดานับวันยิ่งแย่ขึ้นเรื่อยๆ กระแสเงินสดหมุนเวียนของบริษัทบอมบาร์เดียร์ บริษัทยักษ์ใหญ่จำพวกนี้จึงมาจากธนาคารทั้งนั้น เมื่อเงินในธนาคารหดตัว ชีวิตของพวกเขาก็ไม่ง่ายแล้ว

ฉินสือโอวยักไหล่ “เงินของผมนิดเดียวแค่นั้น คงไม่ได้มีประโยชน์อะไรสำหรับบริษัทบอมบาร์เดียร์หรอกมั้งครับ?”

“คุณมีใช้เงินได้เท่าไรครับ?” จอร์จถามขึ้น

อยู่ต่อหน้าคนพวกนี้ไม่จำเป็นต้องแกล้งทำเป็นจน ฉินสือโอวจึงตอบไปว่า “เงินสดที่เอามาใช้ได้ ตอนนี้พูดยาก หนึ่งเดือนหลังจากนี้จะมีมูลค่าประมาณ 400 ถึง 500 ล้านดอลลาร์แคนาดา”

ตอนนี้ตัวเขามีเงินเก็บประมาณ 200 กว่าล้านดอลลาร์แคนาดา เมื่อรวมกับรายได้จากฟาร์มปลาในไตรมาสที่สาม และดอกเบี้ยจากแร่ทองคำ เขาจะสามารถสะสมเงินได้ถึง 400 กว่าล้านดอลลาร์แคนาดา

ทุกคนต่างรู้ดีว่าฉินสือโอวเป็นมหาเศรษฐี แต่ไม่มีใครคิดว่าจะร่ำรวยขนาดนี้ 400 กว่าล้านดอลลาร์แคนาดา คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ถ้าแค่พูดถึงค่าตัวก็มีค่าถึงมูลค่านี้แน่ๆ เพราะพวกเขาถ้าไม่เกิดมาในฐานะครอบครัวดี ก็มีหุ้นของกิจการใหญ่โตอยู่ในมือ แต่ถ้าพูดถึงกระแสเงินสดหมุนเวียน คงห่างไกลจากจำนวนนี้มากเหลือเกิน

แววตาของซิต ชวาร์ซที่มองฉินสือโอวสุกสกาวขึ้นมาในทันใด แล้วพูดขึ้นว่า “เพื่อน เอาเงินส่วนนี้มาให้ผมสิครับ หลังจากนั้นหนึ่งปี ผมมีดอกเบี้ยให้คุณมากถึง 40%!”

เขาเป็นผู้จัดการทั่วไปของบริษัท Onex ลงทุนด้านไพรเวท อิควิตี้ ซึ่งเป็นแนวใช้เงินผลิตเงิน

ชากูนิสชี้ไปที่ซิตแล้วพูดขึ้น “เพื่อนชวาร์ซของผม ตอนนี้สิ่งที่คุณต้องทำคือนั่งฟังเงียบๆ ไม่ต้องพูดอะไรอีก เงินก้อนนี้คุณเอาไปไม่ได้ เข้าใจไหม? คุณเอาไปไม่ได้เพราะมันเป็นของผมแล้ว มันจะเป็นเงินที่มาช่วยชีวิตผมไว้!”

จอร์จหัวเราะ บอกเป็นนัยๆ ว่าให้ทุกคนหยุดล้อเล่น เขาเริ่มแนะนำฉินสือโอว “เงินก้อนนี้ของคุณไม่น้อยเลย ถ้าจะลงทุนไพรเวทอิควิตี้กับซิต ก็ได้เช่นกัน แต่ตอนนี้มีโอกาสที่ดีกว่าอยู่ข้างหน้าของคุณแล้ว ซื้อหุ้นบอมบาร์เดียร์”

ฉินสือโอวถามด้วยความสงสัย “มูลค่าตลาดของบอมบาร์เดียร์คือเท่าไรครับ? ผมคิดว่าคงต้องมีสักหลายพันล้านไม่ใช่เหรอครับ? เงินผมแค่นี้ใส่ลงไปก็คงไม่นับว่ามีค่าอะไรได้”

ตอนนี้ในเอเชีย ชื่อของบอมบาร์เดียร์ยังไม่เป็นที่รู้จักมากนัก แต่ในยุโรปตะวันตกและอเมริกาเหนือดังพอๆ กับโบอิ้งและแอร์บัส ส่วนที่บ้านเกิดในแคนาดา บอมบาร์เดียร์ยังมีสมญานามเป็นถึง ‘ไฟฟ้าที่ใช้ไปทุกทิศในแคนาดา’

บริษัทบอมบาร์เดียร์ปัจจุบันมีพนักงานประมาณ 80,000 คนใน 24 ประเทศในอเมริกา ยุโรปและภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก บริษัทไม่เพียงสร้างเครื่องบินเท่านั้น แต่ยังเป็นผู้นำของโลกในด้านอุปกรณ์การบิน และการขนส่งทางรถไฟและผลิตภัณฑ์ความบันเทิงที่ใช้ในเครื่องยนต์

เมื่อไม่นานมานี้ตอนที่เขาวางแผนจะซื้อเครื่องบินเจ็ทส่วนตัว เขาเคยศึกษามานิดหน่อย ปัจจุบันบอมบาร์เดียร์เป็นผู้ผลิตเครื่องบินรายใหญ่อันดับสามของโลกรองจากโบอิ้งและแอร์บัส แต่ในด้านอากาศยานภูมิภาค และเครื่องบินบิซิเนสเจ็ต บริษัทบอมบาร์เดียร์มีขนาดใหญ่เป็นอันดับหนึ่งของโลก!

“ดังนั้นผมถึงบอกว่าคุณเจอโอกาสดีๆ แล้ว” จอร์จพูดขึ้น เขามองไปทางชากูนิส ชากูนิสยักไหล่ แล้วพูดขึ้น “เวลานี้ผมพูดอะไรไม่ได้ ผมต้องมีจรรยาบรรณในวิชาชีพใช่ไหม?”

จอร์จหัวเราะออกมา เขาบอกกับฉินสือโอวว่า “มูลค่าตลาดของบอมบาร์เดียร์นั้นมหาศาลจริงๆ เงินของคุณก้อนนี้ถ้าลงทุนเข้าไปแม้แต่เสียงน้ำกระเซ็นก็ยังไม่ได้ยิน แต่ว่าฉิน คุณอาจจะไม่รู้ว่า ตอนนี้เครื่องบินบิซิเนสเจ็ตซีรีส์ C ของบอมบาร์เดียร์กำลังดำเนินการอยู่และจะผลิตออกมาในไม่ช้า ซึ่งตอนนี้ก็ขาดเงินทุนจำนวนหนึ่งที่จะคลอดผลผลิตนี้ออกมา แล้วตอนนี้ในสภาวะเศรษฐกิจที่ย่ำแย่เช่นนี้ หากบอมบาร์เดียร์อยากได้เงินก้อนนี้ก็จำเป็นต้องเสียสละอะไรบางอย่าง เช่นเงินปันผลรายได้ของซีรีส์ C”

“แต่ว่าอยากได้เงินทุนแค่ 400 ล้านดอลลาร์แคนาดาเหรอ?” ฉินสือโอวถามอย่างไม่เชื่อว่าจะเป็นไปได้

จอร์จส่ายหน้า “ไม่ ผมเดาว่าคงเป็น 400 ล้านดอลลาร์แคนาดาคูณสี่”

พูดไปเขาก็มองไปทางชากูนิส ฝ่ายหลังก็ได้แต่ยิ้มไม่ได้พูดอะไร แต่ความหมายโดยนัยก็คือยอมรับคำพูดของจอร์จ

“ผู้ถือหุ้นที่ใหญ่ที่สุดคือรัฐบาลควิเบก พวกเขาก็คงไม่สามารถนั่งดูความเฉื่อยชาของบอมบาร์เดียร์ได้ เพราะฉะนั้นเขาจึงจะต้องช่วยทำให้ซีรีส์ C ประสบผลสำเร็จและออกสู่ตลาดอย่างแน่นอน” จอร์จกล่าวต่อ

ตอนนี้ฉินสือโอวเข้าใจมากขึ้น เขาจึงพูดต่อ “แต่ว่ารัฐบาลก็ไม่น่าจะออกเงินทุนทั้งหมด เพราะบอมบาร์เดียร์ก็คงไม่อยากให้รัฐบาลถือจำนวนเยอะมากไป ใช่ไหม? ซึ่งนี่ก็จะเป็นโอกาสของผม ตามติดรัฐบาลแล้วได้ส่วนแบ่งสักหน่อย?”

“ไม่ใช่แค่นี้ เพราะตัวรัฐบาลเองก็ไม่กล้าลงเงินทั้งหมด เพราะก็ไม่มีใครรู้ว่าตอนนี้เมื่อซีรีส์ C เข้าสู่ตลาดแล้วจะได้เค้กออกมากี่ชิ้น เพราะถึงอย่างไรตอนนี้คนที่กินเค้กก็คือโบอิ้งและแอร์บัส” ในที่สุดชากูนิสก็เอ่ยปากออกมา

ฉินสือโอวบอกว่า “ถ้าอย่างนั้น ความเสี่ยงก็มากเกินไปสิ?”

ชากูนิสยอมรับในจุดนี้ จึงพูดขึ้นว่า “ใช่ มีความเสี่ยง แต่รัฐบาลจำเป็นต้องลงเงิน พวกเขาจำเป็นต้องเสี่ยง เพราะการตัดสินใจนี้เกี่ยวข้องกับโอกาสในการมีงานถึง 40,000 ตำแหน่ง”

ฉินสือโอวเข้าใจอย่างรวดเร็ว รัฐบาลควิเบกจำเป็นต้องแทรกแซงเข้ามาจริงๆ แค่ปัญหาเรื่องการมีงานทำ รัฐควิเบกก็มีพนักงานโดยประมาณ 17,000-18,000 คนทำงานที่บอมบาร์เดียร์ รวมไปถึงงานทั้งทางตรงและทางอ้อมของพวกซัพพลายเออร์รองอีก สิ่งที่ชากูนิสพูดไม่ผิดเลยสักนิดเดียว รัฐควิเบกมีราวๆ 4 หมื่นคนที่ยังต้องพึ่งบอมบาร์เดียร์ในการหาเลี้ยงชีพ

“รัฐบาลคาดว่าจะลงทุนประมาณ 1 พันล้านเพื่อช่วยในการปรับปรุงซีรีส์ C แต่พวกเขาจะไม่ได้อัดฉีดเงินลงไปตรงๆ แต่จะจัดตั้งบริษัทร่วมทุนระหว่างรัฐบาลและบอมบาร์เดียร์ขึ้นมา 1 บริษัท ชื่อว่า บริษัท ซีวิลแอโรสเปซ บอมบาร์เดียร์ รายได้จะแบ่งตามสัดส่วนการถือหุ้น และแน่นอนว่าถ้ายังมีคนอื่นเข้ามาร่วมลงทุนด้วย ก็จะได้รับเงินในส่วนของกำไรเช่นกัน” ชากูนิสบอกรายละเอียดของภายในบริษัทให้ฟังมากกว่าเดิม

ชวารซ์เตือนฉินสือโอวตรงๆ “ความเสี่ยงของเงินก้อนนี้ไม่ได้เล็กน้อยเหมือนที่พวกเขาพูดหรอกนะ เพราะโบอิ้งและแอร์บัสได้ครองตลาดสำหรับเครื่องบินบิซิเนสเจ็ตระดับไฮเอนด์รุ่นใหม่แล้ว พวกเขาก็อาจจะแย่งเค้กได้ไม่สำเร็จ แล้วถ้าหากแย่งไม่ได้…”

คำพูดที่เหลือเขาไม่ได้เอ่ยออกมาต่อ แต่ยิ้มออกมาแทน ซึ่งความหมายก็เรียบง่ายเลยนั่นก็คือบริษัทบอมบาร์เดียร์จะล้มละลาย บอมบาร์เดียร์มีบริษัทลูกหลายบริษัท เช่น บริษัทการบินและอวกาศ บอมบาร์เดียร์ เป็นต้น ซึ่งต่างก็มีโอกาสในการล้มละลาย

“ใช่ ต้องลองเสี่ยงดูสักตั้ง ไม่มีการลงทุนใดที่ไม่เสียเงิน” ชากูนิสพูดต่อ “ไม่อย่างนั้นทำไมรัฐบาลถึงต้องผลักดันเค้กออกไปล่ะ?”

“ตอนนี้ก็ต้องมาดูแล้ว ว่าใครจะกล้า” จอร์จกล่าวเสริม

ฉินสือโอวยักไหล่ “โอเค ถ้าอย่างนั้นผมลองดูก็ได้ เหลือตำแหน่งไว้ให้ผมด้วยนะ ผมจะเตรียมเงิน 400 ล้านไว้ให้ดี”

คนเหล่านี้ที่นั่งอยู่ล้วนมีความคิดและจิตใจแบบกล้าเสี่ยง การลงทุนที่ได้กำไรสูงทุกครั้งมักจะตามมาด้วยความเสี่ยงที่สูงเสมอ พวกเขาจึงเป็นประเภทคนรุ่นใหม่ที่กล้าได้กล้าเสีย และก็ชื่นชมคนประเภทเดียวกัน ฉินสือโอวหากคิดจะเข้าไปอยู่ในวงจรของคนพวกนี้ ถ้าอย่างนั้นอย่างน้อยที่สุดก็ต้องทำให้พวกเขาไม่ดูถูกเขาให้ได้

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท