ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1364 นำทีมเข้าป่า

บทที่ 1364 นำทีมเข้าป่า

คำพูดที่ลอยๆ ของฉินสือโอว ทำให้พวกตัวใหญ่เหล่านี้จ้องมองมาที่เขา

ชากูนิสถามขึ้น “คุณไม่ได้พูดเล่นใช่ไหม? ตัดสินใจร่วมลงทุนด้วยแล้วเหรอ?”

จอร์จก็เตือนด้วยความหวังดี “นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ ฉิน ทางที่ดีคุณกลับไปค่อยๆ คิด กลับไปดูเอกสารที่เกี่ยวข้องแล้วค่อยตัดสินใจ เพราะเรื่องนี้ก็ไม่ได้รีบ อย่างน้อยก็มีอีก 2 เดือนก่อนที่บอมบาร์เดียร์จะจัดตั้งบริษัทใหม่ขึ้นมา”

“อันที่จริงแล้วหลายปีก่อนมันยากที่จะทำขึ้นมาจริงๆ” ชากูนิสกล่าวเสริม

ฉินสือโอวยักไหล่อย่างเฉยเมย “ไม่ต้องคิดล่ะครับ เพราะก็แค่เงินทุน 400 ล้านเท่านั้น ตอนที่ผมเพิ่งมาถึงแคนาดาตอนผมไม่มีเงินติดตัวเลยสักบาท แถมยังติดหนี้กรมสรรพากรอีกหลายล้าน ต่อให้ลงทุนล้มเหลว แต่ผมก็ยังมีฟาร์มปลา ยังมีมากกว่าตอนที่ผมมาใหม่ๆ ด้วยซ้ำ ผมจะลังเลไปทำไมอีกกันล่ะครับ?”

เมื่อมองเห็นสีหน้าลังเลของชากูนิสและคนอื่นๆ เขาก็พูดต่อว่า “ที่ประเทศจีนมีสุภาษิตอยู่ประโยคหนึ่งว่า ‘ถ้าอยากจะร่ำรวยก็ต้องลองพนันดูสักตั้ง รถจักรยานก็อาจจะกลายเป็นมอเตอร์ไซค์ รถมอเตอร์ไซค์ก็อาจจะกลายเป็นรถจี๊ป’ ถ้าอย่างนั้นผมจึงอยากลองดูสักตั้ง”

“400 ล้าน คุณคิดดีแล้วนะ” ชวารซ์ไม่กล้าพูดเล่นแล้ว เพราะนี่เป็นเงินก้อนโตที่ทำให้พ่อลูกทะเลาะกันได้ พี่น้องก็เป็นคู่แค้นกันได้

ฉินสือโอวยิ้มแล้วพูด “เป็นคุณชากูนิสที่ต้องคิดให้ดีนะครับ เขาจะต้องรีบรับเงินลงทุนของผมก้อนนี้ ไม่เช่นนั้นพรุ่งนี้ผมหายเมาแล้วก็อาจจะเปลี่ยนใจได้นะครับ”

เมื่อได้ยินคำพูดล้อเล่นของเขา ทุกคนก็หัวเราะขึ้นมา ชากูนิสยื่นมือไปข้างหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “โอเคครับ ยินดีต้อนรับเข้าสู่วงการ ฉิน ผมอยากจะบอกว่าคุณเป็นหนุ่มที่โหดร้ายมาก ในบรรดาวัยรุ่นนี่ คุณเป็นหนุ่มที่โหดร้ายที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาเลย!”

จอร์จกระซิบกับฉินสือโอวจากด้านหลัง “คุณทำถูกแล้ว ฉิน การลงทุนมีความเสี่ยงทั้งนั้น แต่ความเสี่ยงในเงินลงทุนครั้งนี้ยังน้อยกว่าที่มองเผินๆ นะ เพราะแน่นอนว่ารัฐบาลควิเบกจะไม่ยอมให้บริษัทต้องปิดตัวลง”

ฉินสือโอวพยักหน้าด้วยรอยยิ้ม เขาจับมือกับชากูนิสถือเป็นการตกลงกันเรียบร้อย ฝ่ายหนึ่งจึงกลับไปเตรียมสัญญาการลงทุน ส่วนอีกฝ่ายหนึ่งก็เตรียมรวบรวมเงิน เมื่อถึงระดับอย่างพวกเขา บางครั้งการตกลงร่วมมือกันแค่พูดตกลงก็โอเคแล้ว ไม่จำเป็นต้องมีสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษร

เพราะสำหรับพวกเขาแล้ว หน้าตาและความเชื่อใจสำคัญกว่าเงินทองมากนัก

มอร์แกน ฟริตซ์และคนอื่นๆ เห็นทั้งสองคนจับมือกัน ต่างก็ลอบถอนใจในความกล้าเสี่ยงของฉินสือโอว พวกเขาเริ่มนึกย้อนไปตอนที่พวกเขาอายุสามสิบ พวกเขามีหยอกล้อกันเองบ้าง หรือไม่พอใจกันเองบ้าง แต่ทุกคนต่างยอมรับว่าตอนอายุสามสิบไม่มีใครมีเสน่ห์เท่าฉินสือโอวแบบนี้

ฉินสือโอวยิ้ม นี่เกี่ยวอะไรกับการมีเสน่ห์ ก็แค่ 400 ล้านซึ่งก็คือเรือจมอยู่ในมหาสมุทร 4 ลำ เพราะถ้าเขาอยากจะลงทุนจริงๆ ต่อให้รัฐบาลควิเบกไม่ลงเงิน ตัวเขาเองก็จะหาอีกพันล้านมาให้ได้

พวกผู้ประกอบการจึงเป็นกลุ่มที่สองที่ออกเดินทางจากไป ในวันรุ่งขึ้นหลังจากที่ฉินสือโอวต้อนรับพวกเขาด้วยการจัดอาหารเช้าที่ทำจากผักในฟาร์มปลา แต่ละคนก็ทยอยกันกลับไป

คู่สามีภรรยาบรูซยังอยู่ ไวส์จะเปิดเทอมแล้ว แน่นอนว่าเขาจะกลับไปชิคาโกกับพวกเขาไม่ได้ ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงอาศัยโอกาสนี้อยู่กับลูกให้มากขึ้นอีกหน่อย อีกอย่างทั้งสองคนก็อยากจะเรียนรู้เพิ่มเติมจากฉินสือโอวด้วย

“อาจารย์ฉิน เทคนิคการหายใจที่คุณสอนมันน่าอัศจรรย์ใจจริงๆ หลังจากที่ฉันกับจอร์จฝึกฝนมา รู้สึกได้เลยว่าร่างกายและจิตใจดีมากขึ้นเรื่อยๆ” วิเวียนพูดด้วยความชื่นชม

จอร์จพยักหน้าแล้วพูดขึ้นว่า “ช่วงนี้เศรษฐกิจไม่ค่อยดี งานที่ผมต้องทำจึงมีเยอะมาก เมื่อก่อนทำงานเหนื่อยมาก ผมต้องนอนให้ได้ 7 ชั่วโมงและออกกำลังกายอีก 2 ชั่วโมงถึงจะโอเค แต่หลังจากที่ฝึกฝนเทคนิคการหายใจของคุณแล้ว เวลาพักผ่อนของผมก็ลดลงเหลือ 5 ชั่วโมงแถมยังเต็มไปด้วยพลัง!”

พอได้ยินคำพูดของพ่อและแม่ ไวส์ก็ถามขึ้นว่า “ถ้าอย่างนั้นพ่อแม่รับรู้ได้ถึงกลิ่นอายของสวรรค์และโลกได้หรือยังครับ? ตอนที่หายใจกลิ่นอายของสวรรค์และโลกจะไหลหมุนเวียนไปตามช่องลมปราณทั้งแปดช่อง”

ฉินสือโอวเกือบพ่นชาที่อยู่ในปากออกมา เจ้าลูกศิษย์น้อยคนนี้นับวันจะมีศักยภาพในการโปรโมทขายต่อแล้วเหรอ? มีกลิ่นอายสวรรค์และโลกบ้าบออะไร บางครั้งเขาแค่ถ่ายพลังโพไซดอนให้สองคนนั้นเพื่อปรับร่างกายภายในเท่านั้นเอง จริงๆ แล้วไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเทคนิคการหายใจเลย

บรูซและภรรยาของเขาเป็นที่พึ่งพิงหลักให้เขาในสังคมระดับสูง สองคนนี้ดีเขาก็จะยิ่งดีตาม

ตำแหน่งและฐานะของเจ้าชายน้อยสององค์และแมทธิว จินมีอิทธิพลเหนือกว่าสามีภรรยาคู่นี้ได้ แต่ความสัมพันธ์ของเขากับคนพวกนี้เป็นแค่ความสัมพันธ์แบบพยักหน้าให้กัน แต่กับบรูซและภรรยา ตอนนี้เขาและทั้งคู่มีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นดีมาก นั่นก็เป็นเพราะไวส์ ทั้งสองฝ่ายจึงต่างไว้ใจและเชื่อใจกัน

หลังจากที่สอนศิลปะการต่อสู้ให้ทั้งครอบครัวไปแล้ว ฉินสือโอวก็เริ่มวางแผนฮันนีมูนของเขา เขากับวินนี่ไม่เคยออกเดินทางไปไหนด้วยกันมาก่อนเลย ครั้งนี้อาศัยโอกาสในการฮันนีมูนจะต้องไปเที่ยวสักรอบจะได้มีช่วงเวลาที่ดี

ฉินสือโอวถามวินนี่ว่าอยากไปที่ไหน วินนี่บอกว่า “เรื่องนี้ไม่รีบค่ะ ที่รัก ถ้าจะต้องไปฮันนีมูน ฉันจะต้องส่งงานต่อ อย่างน้อยก็ต้องใช้เวลาครึ่งเดือนนะคะ”

ไม่รีบจริงๆ เพราะตัวฉินสือโอวเองก็ยังต้องต้อนรับญาติและเพื่อนสมัยเรียนที่มาจากบ้านเขา พวกญาติๆ ยังดีหน่อย เพราะมีพ่อแม่ พี่สาวและพี่เขยช่วยกันต้อนรับ คนพวกนี้อยู่ด้วยกันก็จะมีความเป็นตัวของตัวเองมากกว่า แต่พวกเพื่อนสมัยเรียนก็เป็นเขาที่ต้อนรับเอง

ฉินสือโอวถามว่าอยากเล่นอะไร พวกเขาก็ถกกันเรื่องนั้นเรื่องนี้อยู่พักใหญ่ สุดท้ายก็บอกแบบใจกว้างว่าให้เขาเป็นคนจัดการ พวกเขาเล่นอะไรก็ได้ทั้งนั้น

“ถ้าอย่างนั้นไปตกปลาที่ทะเลกัน ไปตกปลาตอนกลางคืน ช่วงนี้เป็นช่วงที่ปลาอวบอ้วนเป็นพิเศษด้วย” ฉินสือโอวเสนอขึ้นมา

“เอ่อ คืออย่างนี้ ตกปลาเนี่ยก็ไม่รีบนะ”

“ถ้าอย่างนั้น ฉันพาพวกนายไปยิงปลาดีไหม? กิจกรรมแบบนี้ไม่มีในประเทศจีนด้วย ที่นี่เขานิยมกันมาก แล้วเดี๋ยวพวกเราก็มาย่างปลากินกัน” ฉินสือโอวรู้สึกว่าข้อเสนอนี้ไม่เลวเลย

“เอ่อ อันนี้ ยิงปลาคืออะไร? ใช้ปืนไหม? ถ้าใช้ปืนก็โอเค”

“ใช่ๆๆ เล่นปืนกัน ครั้งที่แล้วมาที่โคโกโร่แล้วไม่ได้เล่นปืนกัน น่าเสียดายมาก”

พอเป็นแบบนี้ฉินสือโอวก็รู้จุดประสงค์ของพวกเขาแล้ว เพื่อนสมัยเรียนของเขาอยากสัมผัสถึงปืนจริงกระสุนจริง แน่นอนว่าสิ่งนี้เขาเข้าใจดี เพราะตอนที่เขาเพิ่งมาแคนาดาก็ซื้อปืนมาเล่นสนุกก่อนเลย

ฉินสือโอวโทรหาหวงเฮ่าเจีย ให้เขามาพากลุ่มเพื่อนเขาไปร้านปืน หลังจากนั้นก็บอกพวกเพื่อนๆ ว่า “ฉันเข้าใจความหมายของพวกนายตัวแสบละ พวกนายอยากเล่นปืนออกล่าสัตว์จำพวกนี้ใช่ไหม? ไม่มีปัญหา แต่ต้องฝึกก่อน 1 วัน อย่างน้อยก็เพื่อรู้ว่าจะป้องกันตัวเองอย่างไร”

ทุกคนในกลุ่มเต็มไปด้วยความโหยหา พอได้ยินคำพูดของเขาก็รีบพยักหน้า เช่นเดียวกับลูกสุนัขกลุ่มหนึ่งตามหวงเฮ่าเจียอย่างว่านอนสอนง่ายไปที่สนามยิงปืนในร้านขายปืน

ฉินสือโอวรีบตามหลังไป พิงผนังรถมองกลุ่มคนเดินไปเข้าสู่โลกใบใหม่

เนื่องด้วยธุรกิจกำลังมาแรง เคาเตอร์ สไตรก์จึงขยายตัว กลายเป็นร้านค้าด้านนอก ล้อมรอบไปด้วยอาวุธปืนและอาวุธเย็น มีสินค้าประเภทต่างๆ มากมายให้เลือกครบครัน

ฉินสือโอวเป็นเจ้าของ ครั้งนี้เขาจึงใจสปอร์ตเต็มที่ เขาให้เสื้อแจ็กเกตลายพราง H55 คนละหนึ่งชุดก่อน ทั้งให้ความอบอุ่น กันลมกันฝน และยังมีความพรางตัวได้ดีด้วย เป็นแจ็กเกตที่กำลังได้รับความนิยมมากในตลาดขณะนี้ ราคาที่ขายตอนนี้คือ 400 ดอลลาร์แคนาดา

นอกจากนี้แล้ว เขายังแจกชุดล่าสัตว์แบบครบชุดทั้งหมวกแก๊ป ถุงมือ อุปกรณ์พยุงเข่า รองเท้าปีนเขา เป็นต้น ทั้งชุดเมื่อบวกรวมกัน คนหนึ่งก็ตกประมาณ 1,000 กว่าดอลลาร์แคนาดา

แต่ทว่าสิ่งนี้สำหรับเขาถือเป็นเรื่องเล็กน้อยมาก เพราะในอาหารทะเลต้าฉิน 1,000 ดอลลาร์แคนาดาซื้อปลาตัวใหญ่หน่อยยังไม่ได้ด้วยซ้ำ

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท
Close Ads ufanance
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตออนไลน์
Click to Hide Advanced Floating Content สมัคร ufabet
Click to Hide Advanced Floating Content สล็อตฟรีสปิน