ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1367 ช่องว่าง

บทที่ 1367 ช่องว่าง

หลังจากเดินไปตามทางบนภูเขาเป็นเวลาชั่วโมงกว่าแล้ว เดินมาจนจะครึ่งทางแล้ว พวกเขาก็ยังไม่เจอสัตว์ใหญ่อย่างหมูป่า กวางป่า แต่กลับเจอสัตว์เล็กๆ อย่าง ห่านแคนาดา เป็ดน้ำ กระต่ายสโนว์ชู กระต่ายป่าสีเทา ไก่ป่าเฮเซล เป็นต้น ตลอดทาง

ถ้าไม่มีสัตว์ใหญ่ ล่าสัตว์เล็กก็ได้เช่นกัน เพราะอย่างไรก็ตามตอนที่พวกเขาอยู่ประเทศจีนก็ไม่มีโอกาสในการล่าสัตว์ แต่ตอนนี้พวกสัตว์เล็กพวกนี้ก็ฉลาดมากขึ้น พอเห็นคนก็วิ่งหนี แล้วจะให้คนที่เพิ่งฝึกหัดจับปืนมีโอกาสในการล่าได้อย่างไร?

เสียงปืนดังไปตลอดทาง แต่ก็ไม่สามารถจับอะไรได้ จึงทำให้คนกลุ่มนี้รู้สึกหดหู่เหลือเกิน เฉินเหลยถามอย่างกังวล “ฉิน นายบอกมาตามจริง ว่าภูเขาทั้งลูกนี้ยังมีหมูป่า กวางป่าอยู่ไหม ทำไมถึงไม่เจอสักตัวเลยล่ะ?”

ฉินสือโอวกลอกตามองบน “พวกนายยังมีหน้ามาพูด ดูที่พวกนายทำ ราวกับโจรเข้ามาในหมู่บ้าน ฝูงหมูป่ากวางป่าก็ไม่ได้โง่นะ จะได้วิ่งออกมาให้พวกนายจับ?”

ปีนเขามาหนึ่งชั่วโมง ทุกคนไม่ว่าจะชายหรือหญิงต่างก็เริ่มหอบด้วยความเหนื่อย ตอนนี้สมรรถภาพทางกายของพวกเขาแตกต่างกันมาก สำหรับฉินสือโอวเหงื่อสักเม็ดก็ไม่มี เพราะว่าพวกเขาเดินกันไปช้ามาก

เหมาเหว่ยหลงก็มีเหงื่อไม่เยอะ แต่สำหรับคนอื่นๆ ส่วนมากเหนื่อยจนก้าวไม่ออกแล้ว

ไม่มีความรู้สึกแปลกใหม่ใดๆ แล้ว ถึงแม้ว่าสภาพแวดล้อมจะสวยงามเพียงใด แต่ทุกคนก็เหนื่อยจนสภาพเป็นแบบนี้ ไม่มีแรงปีนเขาแล้ว ทุกคนต่างหาพื้นหญ้าร้องเรียกจะนั่งพักกัน

ฉินสือโอวจึงทำได้แค่ออกล่าเอง เขาทิ้งฉงต้าไว้ แล้วพูดว่า “ฉันจะออกไปดูสักหน่อย พวกนายพักก่อน”

เฉินเหลยผงกศีรษะด้วยความเหนื่อยล้า แล้วพูดว่า “โอเค นายไปเถอะ หมีตัวนี้พวกเราจะดูให้นายเอง”

ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะกลอกตามองบนอีกรอบ เขาพูดขึ้นว่า “ใครให้ความกล้ากับนายพูดประโยคแบบนี้ออกมาได้? ฉันทิ้งฉงต้าไว้ให้ปกป้องพวกนาย อย่าไปเจอฝูงหมาป่าสีเทาละกัน ไม่มีฉงต้าพวกนายก็เตรียมตัวตายได้เลย”

“บนเขามีหมาป่าด้วยเหรอ?” ซ่งจวินเหมยบีบแขนของเหยียนตงแน่นโดยไม่รู้ตัว

ฉินสือโอวตอบว่า “มี แต่พวกนายไม่ต้องกลัว มีแค่ไม่กี่ตัวเอง ไม่มีอะไร อีกอย่างมีฉงต้าอยู่พวกนายจะกลัวอะไร? อย่าว่าแต่หมาป่าเลย เสือ สิงโต ฉงต้าก็จัดการได้หมด”

คนทั้งกลุ่มหันไปมอง ฉงต้ากำลังยืนพิงต้นไม้อ้าปากหายใจอยู่ ท้องโตเดี๋ยวพองเดี๋ยวแฟบ ลักษณะหัวใหญ่หูใหญ่ดูอย่างไรก็ดูไม่ออกว่าสามารถจัดการเสือกำราบสิงโตได้

ฉินสือโอวเข้าไปบีบท้องอ้วนๆ ของฉงต้า เพื่อบอกให้มันอยู่ที่นี่อย่าซนนะ หลังจากนั้นก็รีบพาหู่จือ เป้าจือออกจากเส้นทางเดินเขาแล้วเข้าไปในป่าทันที

เดิมทีรอบๆ ทางเดินเขาก็ไม่มีสัตว์ป่าอยู่แล้ว แล้วนับประสาอะไรกับพวกเขาที่มากันกลุ่มใหญ่ แล้วยังมีคนยิงปืนส่งเสียงดังอยู่ตลอดอีก ต่อให้เป็นฝูงหมาป่าก็ต้องถูกทำให้ตกใจกลัวจนวิ่งหนีไป

เขาคนเดียวพาสุนัขสองตัวไป ฉินสือโอวเดินออกไปได้ไม่ไกลก็เจอหมูป่าตัวน้อยสีน้ำตาลเทา

เจ้าหมูป่าน้อยตัวนี้ตัวยังยาวไม่ถึงครึ่งเมตรด้วยซ้ำ แม้แต่เขี้ยวก็ยังไม่งอกออกมา กำลังร้องฮึมฮัมหาหญ้าและพวกวัชพืชกินอยู่

หลังจากหู่จือและเป้าจือเห็นมันก็อยากเข้าไปตะครุบตามสัญชาตญาณ ฉินสือโอวตะโกนบอกให้พวกมันหยุดก่อน ลูกหมูป่าตัวนี้น่าจะถูกปล่อยออกมาให้เจริญพันธุ์ ไม่เช่นนั้นก็คงอยู่กับฝูงหมูป่าแล้ว ถ้าเป็นแบบนี้ก็ควรจะปกป้องไว้สักหน่อย รอมันเติบใหญ่ค่อยฆ่าแล้วเอาไปกิน

เมื่อได้ยินเสียง หมูป่าน้อยหันกลับไปมองหู่จือ และเป้าจือด้วยความระแวดระวัง แต่พอค้นพบว่าพวกมันไม่ได้เข้ามาโจมตีตัวมัน จึงหันกลับไปมุ่ยก้นและร้องฮึมฮัมก้มหาวัชพืชเป็นอาหารกินต่อไป

ด้านหลังมีเสียงฝีเท้าดังขึ้น ฉินสือโอวหันกลับไปมองเห็นเป็นจงต้าจวิ้นหัวหน้าห้อง เขาก็เห็นหมูป่าน้อยเช่นกัน ถามด้วยความประหลาดใจว่า “เจ้าหมูป่าตัวนี้ทำไมถึงไม่วิ่งมาโจมตีพวกเราล่ะ?”

ฉินสือโอวตอบว่า “สงสัยเป็นหมูทึ่ม”

จงต้าจวิ้นหัวเราะ “ทึ่มแบบน่ารักด้วย เมื่อก่อนฉันมักได้ยินจากผู้ใหญ่ในบ้านบอกว่าหมูป่าดุร้ายมาก กล้าสู้กับทั้งเสือและหมีดำบนภูเขา ตอนนี้ดูๆ แล้วไม่เหมือนกับที่เห็นเลย”

หู่จือและเป้าจือพอเห็นว่าฉินสือโอวไม่ให้พวกมันโจมตีหาหมูป่าน้อย จึงเข้าไปแกล้งมันแทน พวกมันสองตัวมีขนาดใหญ่กว่าหมูป่า ตัวหนึ่งอยู่หน้า ตัวหนึ่งอยู่หลังกันหมูป่าไว้ตรงกลาง หมูป่าน้อยเริ่มกระวนกระวายขึ้นมาทันที

หมูป่าน้อยไม่ได้ส่งเสียงคำราม แต่กลับหดหางแล้วถอยเข้าไปในต้นไม้ หู่จือไล่ตามไปให้ทำให้มันนอนพลิกคว่ำอยู่บนพื้น หลังจากหมูป่าน้อยดันตัวขึ้นมาก็โดนเป้าจือทำให้ลงไปนอนคว่ำอีก พอหลายครั้งเข้ามันก็ไม่ลุกขึ้นมาอีกเลย แต่มุดเข้าไปในกองใบไม้ซ่อนตัวอยู่ในนั้นแทน

พอเห็นฉากนี้ ฉินสือโอวก็นึกถึงพล็อตเรื่องในซีรีส์ทางทีวีที่พวกเด็กชั่วร้ายขัดขวางสาวใหญ่และลูกสะใภ้ตัวน้อยเพื่อลวนลามผู้อื่นตามซอยต่างๆ เขาส่ายศีรษะไปมา แล้วจึงเป่านกหวีดเรียกให้หู่จือและเป้าจือไปข้างหน้าต่อ

จงต้าจวิ้นก็เดินตามมา ฉินสือโอวจึงถามเขาว่าไม่ต้องพักผ่อนหน่อยเหรอ เขาบอกว่าแรงกายไม่มีปัญหา

“ตอนนี้ธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่ายที่จะทำและฉันต้องวิ่งไปมาตลอดทั้งวัน ในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาฉันวิ่งไปมารวมๆ แล้วยังมากกว่าที่ฉันทำงานเมื่อก่อนอีก” จงต้าจวิ้นพูดหัวเราะเยาะตัวเองเล็กๆ

ฉินสือโอวตบไปที่บ่าของเขาไม่รู้ว่าควรพูดอะไร สมัยมหาวิทยาลัยจงต้าจวิ้นมีชีวิตที่เจริญรุ่งเรืองมาก เขาเรียนดี ความสามารถในการควบคุมตัวเองและการปรับตัวก็ดี ยังเป็นหัวหน้าห้องอีก ได้รับคำชื่นชมจากอาจารย์มากมาย แต่ผลปรากฏว่าพอจบการศึกษาเขากลับเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่มีชีวิตย่ำแย่

เมื่อเดินออกไปได้สักระยะ ก็มีฝูงกวางหางขาวปรากฏตัวขึ้น ฉินสือโอวส่งสัญญาณให้หู่จือและเป้าจือเงียบ หลังจากนั้นก็สอนจงต้าจวิ้นให้วางปืนบนกิ่งไม้ให้ดี แล้วก็ใช้การเคลื่อนไหวสอนเขาว่าเล็งอย่างไร คาดคะเนอย่างไร และควรยิงไปที่กวางตัวไหน

กวางฝูงนี้มีทั้งหมดสิบกว่าตัว กวางตัวใหญ่สี่ตัวนำฝูงกวางตัวเล็ก เดินมาจากในป่าตรงเนินเขา ดูท่าแล้วมาหาน้ำดื่มเฉยๆ จึงไม่ได้ระมัดระวังตัวอะไร

ฉินสือโอวให้จงต้าจวิ้นเล็งไปที่กวางขนาดใหญ่ประมาณหนึ่งที่มีความยาวลำตัวประมาณ 1.2 เมตร กวางชนิดนี้เมื่อโตเต็มที่สามารถมีขนาดใหญ่ถึง 2 เมตรกว่า แต่ถ้าถึงตอนนั้นเนื้อกวางจะแห้งไป เนื้อของกวางที่โตประมาณหนึ่งจึงเหมาะที่สุด

เนื้อกวางเป็นเนื้อระดับสูงในกลุ่มเนื้อตามธรรมชาติ เนื้อนุ่มอร่อย เนื้อไม่ติดมัน มีพวกพังผืดน้อย อุดมไปด้วยโปรตีน ไขมัน เกลืออนินทรีย์ น้ำตาลและวิตามินจำนวนหนึ่ง ร่างกายย่อยและดูดซึมได้ง่าย แต่ไม่เหมาะสำหรับการปิ้งย่าง ดังนั้นเมื่ออยู่ในป่า ฉินสือโอวจึงไม่แนะนำให้ล่ากวางป่า

หลังจากเล็งเป้าแล้ว จงต้าจวิ้นหายใจเข้าลึกด้วยความประหม่า ระยะห่างประมาณ 40-50 เมตรซึ่งระยะห่างแบบนี้ฉินสือโอวคาดเดาได้เลยว่าเขาไม่น่าจะยิงโดนกวางตัวนี้แน่

เป็นจริงดั่งคาด ‘ปัง’ เสียงปืนดังขึ้น กระสุนไม่รู้ร่อนไปอยู่ไหนแล้ว ฝูงกวางเมื่อตกใจ จึงวิ่งกระจายกันออกไป และไม่รู้ว่าวิ่งไปทางไหนด้วย

หู่จือและเป้าจือวิ่งเข้าไปอย่างตื่นเต้น แต่วิ่งวนหาไปหนึ่งรอบก็กลับมาด้วยความมึนงง หลังจากนั้นจงต้าจวิ้นก้ไม่กล้ามองแลบราดอร์อีกเลยเพราะมักจะรู้สึกว่าเขาถูกพวกมันดูถูก

ฉินสือโอวยิงธนูออกไป เขาพบกับห่านแคนาดาฝูงหนึ่งและยิงไปได้สองตัว ส่วนหู่จือและเป้าจือก็พบรังของกระต่ายป่าสีเทา ซึ่งเจ้าพวกนี้ง่ายต่อการแพร่พันธุ์มาก ถ้าจะจับต้องจับทั้งรัง ไม่เช่นนั้นพอมันแพร่พันธุ์แล้วก็ยากที่จะจัดการ

เมื่อได้กระต่ายป่าสีเทาทั้งรังและห่านดำสองตัว ฉินสือโอวจึงกลับไป หลังจากพักผ่อนแล้วพวกเขาก็เดินทางต่อและในที่สุดก็มาถึงที่พักที่ราบเรียบครึ่งทางบนภูเขา

ฉินสือโอวเอาพวกเนื้อป่าโยนทิ้งไป ให้อีวิลสันจัดการเก็บให้เรียบร้อย หลังจากนั้นก็เริ่มจุดไฟทำกับข้าว

ทุกคนไม่ได้หาของกิน แต่ต่างยืนอยู่บนภูเขาและมองไปด้านล่าง ได้แต่ประหลาดใจครั้งแล้วครั้งเล่า

สถานที่นี้เป็นสถานที่ที่เหมาะสมที่สุดในการชมวิว มีทิวทัศน์กว้างขวาง ทางทิศตะวันตกเป็นทะเลกว้างใหญ่ ทางทิศใต้มองเห็นเชิงเขา คนกลุ่มหนึ่งรีบหยิบโทรศัพท์ออกมาถ่ายรูป

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท