ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1366 ล่าสัตว์บนเขาในฤดูใบไม้ร่วง

บทที่ 1366 ล่าสัตว์บนเขาในฤดูใบไม้ร่วง

หลังจากฝึกมาทั้งวัน แน่นอนว่านอกจากที่โหวจื่อเซวียนและหวงเฮ่าเจียร่วมมือกันแกล้งข่มขู่พวกเขาแล้ว เวลาส่วนมากก็คือเวลาพักผ่อน

ฉินสือโอวกำชับทั้งคู่ พวกเขาไม่ได้บอกสถานการณ์จริงกับคนเหล่านี้ ดังนั้นพอทุกคนได้ปืนมา โหวจื่อเซวียนก็เปลี่ยนเป็นคนอ่อนโยน เป็นคนอดทนขึ้นมาทันใด ทุกคนพอได้รับความอ่อนโยนนี้ก็ตกใจ จึงต่างชมกันใหญ่ว่าพี่ชายหน่วยรบพิเศษคนนี้เป็นคนดีจริงๆ

อาวุธปืนพวกนี้ถือเป็นของอันตรายโหวจื่อเซวียนใช้เวลาหนึ่งวันสอนพวกเขาว่าจะป้องกันตัวเองและคนรอบข้างอย่างไร สำหรับการวิธีการยิงปืนนั้นไม่ใช่สิ่งที่เขาต้องสนใจ สิ่งที่เขาต้องทำก็คือสอนให้ทุกคนห้ามใช้อาวุธปืนทำร้ายคนอื่นให้ได้รับบาดเจ็บ

ในช่วงเวลาพักผ่อนทุกคนก็จะยืนห้อมล้อมโหวจื่อเซวียนถามเกี่ยวกับความลับของกองทัพแคนาดากันยกใหญ่ โหวจื่อเซียนรู้ความลับบ้าบออะไร? เขาก็ไม่เคยเข้าไปสักหน่อย แต่เขาก็มีไหวพริบมาก เขาเปลี่ยนหัวข้อ บอกว่าเขาเคยเป็นทหารรับจ้างด้วยนะ แล้วเล่าข่าวลือเกี่ยวกับทหารรับจ้างให้พวกเขาฟัง

โหวจื่อเซวียนถือเป็นเซียนทางด้านนี้แล้ว นั่นก็เพราะว่าพอว่างเขาก็ชอบท่องไปในกระทู้ที่ถกเกี่ยวกับพวกทหาร ข่าวข้อมูลเกี่ยวกับประวัติศาสตร์มีหมด หลอกจนทุกคนจะกลายเป็นกวางน้อยโง่ๆ ไปหมดแล้ว

ยามพลบค่ำ เมื่อการฝึกฝนเสร็จสิ้นลง ทุกคนก็แสดงความเคารพต่อโหวจื่อเซวียน แววตามีความเคารพอย่างสูงสุด

โหวจื่อเซวียนตะเบ๊ะกลับ หลังจากนั้นก็ตะโกนขึ้นว่า “พลทหารหม่าจิน ก้าวออกมา!”

หม่าจินวิ่งออกไปอย่างมีความสุข ชูคอแล้วตะโกนเสียงดังว่า “รายงานตัวครูฝึก หม่าจินออกมาแล้วครับผม”

โหวจื่อเซวียนพยักหน้าอย่างพึงพอใจ หยิบเอาปลอกแขนออกมาวางตบอยู่บนแขนขวาของเขา แล้วพูดขึ้นว่า “คุณคือคนที่ขยันที่สุดในการฝึก ปลอกแขนอันนี้เป็นของคุณแล้ว หวังว่าความประพฤติของคุณในอนาคตจะไม่ต้องทำให้มันแปดเปื้อน!”

หม่าจินรู้สึกตื่นเต้นมาก น้ำตาร้อนๆ เอ่อคลออยู่ที่ตา “ขอให้ครูฝึกวางใจได้ครับผม!”

คนอื่นๆ มองไปที่หม่าจินด้วยความอิจฉา ส่วนหม่าจินพอกลับเข้าไปก็จงใจยกแขนขวาขึ้นมา เพื่อให้เห็นปลอกแขนของเขา

หลังจากนั้น โหวจื่อเซวียนก็พาทุกคนเข้าไปในซูเปอร์มาร์เก็ต แล้วพูดขึ้นว่า “ยังมีใครจะเอาปลอกแขนไหม? มีตั้งแต่ 5 ดอลลาร์แคนาดาไปจนถึง 50 ดอลลาร์แคนาดา ทุกคนเลือกได้ตามใจชอบเลย มี S.A.S มีมอสสาด มีเดลต้าฟอร์ซ มีเนวีซีล โอ้ว ใช่กองทหารของจีนเราก็มีนะ เสือดาวหิมะ ดาบทางใต้ มีหมดทุกอย่าง”

ทุกคน “แม่ง”

หม่าจิน “แม่ง อย่างเยอะ!”

“ออกใบเสร็จได้ด้วย” หวงเฮ่าเจียพูดเสริม “นอกจากนี้แล้วทุกคนเป็นเพื่อนบ้านเดียวกันหมด ซื้อเยอะลดเยอะ ผมลดให้พวกคุณได้เลย 20% ทุกคนไม่ต้องเกรงใจ อยากได้อะไรก็ซื้อเลย”

เหมาเหว่ยหลงมองไปที่เพื่อนร่วมชั้นที่มีสีหน้าหมองคล้ำด้วยความสงสาร “มีดของหวงครั้งนี้แทงได้เจ็บมาก”

แต่ทว่าการฝึกฝนในวันนี้ได้ผลดีมาก เพราะวันที่สองตอนที่จะเตรียมขึ้นเขา ทุกคนใส่เสื้อแจ็คเก็ตลายพราง แบกเป้ขึ้นเขาเหมือนกัน จิตวิญญาณแตกต่างไปจากเมื่อก่อนมาก

ฉินสือโอวถือคันธนูของเขาตามปกติ เขาเอาปืนกลเบาเบรนและ A-15 ให้กับอีวิลสัน พาหู่จือ เป้าจือ ฉงต้าและหลัวปอไปด้วย บนบ่ายังมีบุช นิมิตส์ และแคลร์ เดินเปิดทางอยู่ด้านหน้า

เขายังแบกปืนไว้อีกหนึ่งกระบอกซึ่งเป็น AWP ขึ้นชื่อ ครั้งนี้เขาคิดไว้ดีแล้ว หากมีโอกาสเจอครอบครัวอินทรีทอง เขาจะใช้ปืนไรเฟิลฆ่าพวกมันทั้งหมด ครั้งที่แล้วที่เจอการโจมตีของอินทรีทองในทะเลยังคงทิ้งความกลัวให้เขาอยู่ภายในใจจนถึงตอนนี้

เขาไม่ได้กลัวว่าอินทรีทองจะโจมตีตัวเอง แต่กลัวว่ามันจะโจมตีเสี่ยวเถียนกวา!

พอหู่จือและเป้าจือขึ้นเขาก็ทำเหมือนเคย ออกไปล่ากระต่ายสโนว์ชูตัวอวบอ้วนกลับมาก่อน

ในที่สุดหัวหน้าห้องจงต้าจวิ้นที่เงียบขรึมก็เอ่ยปาก ดวงตาของเขาเป็นประกาย “เพื่อนฉิน หมาสองตัวนี้ที่นายเลี้ยงไว้นี่ไม่เลวจริงๆ มันเรียกว่าอะไรนะ? กลับไปฉันจะไปเลี้ยงบ้าง”

“สุนัขพันธุ์แลบราดอร์ เป็นสุนัขพันธุ์ที่ดีที่สุดในโลก” ฉินสือโอวลูบไปที่หัวเจ้าสองตัวตอบด้วยความภาคภูมิใจ เหมือนพ่อที่กำลังชมลูกอยู่อย่างไรอย่างนั้น

อีวิลสันยกกระต่ายสโนว์ชูขึ้นมาคว่ำไปมา ปรากฏรอยยิ้มเรียบง่ายบนใบหน้า “สองชาม”

เฉินเหลยที่อยู่ด้านข้างถามด้วยความสงสัยว่า “แปลว่าอะไร สองชาม?”

ฉินสือโอวอธิบายว่า “อีวิลสันหมายถึงกระต่ายตัวนี้สามารถเอามาต้มเนื้อได้สองชาม ทุกคนรีบหน่อย เดี๋ยวพวกเราจะไปล่าหมูป่ากัน วันนี้ตอนกลางวันพวกเรากินหมูป่าย่างดีไหม?”

ทันใดนั้นทุกคนก็เริ่มมีพลังกลับมา เฉินเหลยพูดอย่างตื่นเต้นว่า “เชี่ย เมื่อก่อนเห็นไอ้ฉินมันโชว์อยู่ในไทม์ไลน์ คราวนี้พวกเราจะได้ออกล่าหมูป่ากันจริงๆ ละ เดี๋ยวพอล่าออกมาได้ใครก็ไม่ต้องแย่งฉันทั้งนั้น เข้าใจไหม?”

จำนวนของหมูป่าบนเทือกเขาเคอร์บัลเพิ่มขึ้นมาก สาเหตุเพราะว่าเทศบาลท้องถิ่นได้ดำเนินการเลี้ยงหมูป่าเทียม ปีนี้นักท่องเที่ยวมีมาก ถ้าไม่เลี้ยงเทียมแล้วปล่อยให้ขยายพันธุ์ตามธรรมชาติ ก็จะตามไม่ทันจำนวนของนักล่าที่เพิ่มมากขึ้นอย่างรวดเร็ว ต่อให้เทศบาลจะกำหนดปริมาณจำกัดในการล่าสัตว์ต่อนักท่องเที่ยวแล้วก็ตาม

นี่ก็คือความเก่งกาจของคนจีน เมื่อก่อนไม่มีนักท่องเที่ยว จำนวนของหมูป่ามีมากเกินจนเกิดเป็นเหตุเภทภัย ทุกปีเมื่อถึงฤดูหนาวพวกชาวประมงจะต้องผลัดกันป้องกันไม่ให้หมูป่าลงมาจากเขา ปรากฏว่าใช้เวลาอยู่สองปี จำนวนหมูป่าก็อยู่ในอันตรายเสียแล้ว…

เป็นครั้งแรกที่คนทั้งกลุ่มขึ้นเขาเคอร์บัล ดังนั้นพอเห็นอะไรก็สงสัยใคร่รู้ไปหมด

เทือกเขาเคอร์บัลในฤดูใบไม้ร่วงช่างงดงามและอุดมสมบูรณ์ มีต้นเชอร์รี่ขึ้นแซมเป็นระยะๆ ในกลุ่มวัชพืชตามทาง ใบเมเปิลทั่วทั้งเขาเปลี่ยนเป็นสีเหลืองส้ม ลมทะเลพัดหวิว ส่งเสียงสวบสาบ ในบางครั้งก็เห็นต้นสนยักษ์ที่ตั้งตระหง่านเสียดฟ้า เป็นระบบนิเวศวิทยาแบบดั้งเดิม

เดินไปบนพื้นดินที่ราบเรียบ ไม่มีสัตว์ร้ายออกหาล่าเหยื่อแถวนี้ ทุกคนสามารถเก็บผลเบอร์รี่กินได้ ซึ่งไม่มีพิษ และเป็นธรรมชาติมาก แค่เอามาเช็ดนิดหน่อยก็สามารถกินเข้าปากได้

กินบลูเบอร์รีที่สามีเด็ดมาให้ ซ่งจวินเหมยมองไปรอบข้างแล้วก็อดไม่ได้ที่จะทอดถอนใจ “ฉิน ไม่น่านายถึงย้ายถิ่นมาอยู่ที่นี่ ที่นี่สวยมากจริงๆ เหมือนกับสวรรค์เลย”

ฉินสือโอวยิ้ม “เดินขึ้นไปบนภูเขาอีก จนถึงทางลาด นั่นแหละคือสวรรค์จริงๆ”

ในขณะที่เขาพูดอยู่ ฝูงนกอวบอ้วนตัวสีแดงก็โบยบินมา ห้อยหัวส่งเสียงร้องเจื้อยแจ้ว

หม่าจินพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น “โอว นี่ไม่ใช่นกขี้โมโหเหรอ?”

ฉินสือโอวแนะนำว่า “นี่คือนกนอร์ธเธิร์น คาร์ดินาล เป็นนกประจำถิ่นประเภทหนึ่ง พวกมันหวงอาณาเขตของตัวเองมาก ถ้าใครรุกล้ำเข้าไปในอาณาเขตของมันก็จะต่อต้าน นิสัยรุนแรง ถ้าบอกว่ามันเป็นนกขี้โมโหก็ไม่ผิดหรอก”

เขาเพิ่งพูดจบได้สักพัก นกน้อยตัวหนึ่งก็เดินเป็นวงกลมอยู่บนหัวของหม่าจิน หลังจากนั้นขี้นกของตกลงบนหน้าผากของหม่าจินดัง ‘แปะ’

ตอนนี้หม่าจินแทบคลั่ง เฉิยเหลยที่เดินอยู่ด้านหลังเขาหัวเราะเสียงดัง “เชี่ย ไอ้หม่านายน่าสมเพชจริง นี่เรียกว่าอะไรดี? ขี้นกนำโชค?”

คนอื่นๆ ก็หัวเราะเช่นกัน แต่หัวเราะได้ไม่เท่าไรก็หัวเราะไม่ออก เพราะว่าฝูงนกขี้โมโหพวกนี้กำลังบินไปแล้วก็ปล่อยขี้นกออกมา เหมือนเครื่องบินทิ้งระเบิดที่ทิ้งระเบิดลงมา ทุกคนต่างคลุมหัวตัวเองวิ่งหนีกันใหญ่

เหมาเหว่ยหลงยกปืนขึ้นแล้วถาม “ยิงปืนขู่พวกมันดีไหม?”

ฉินสือโอวห้าม หลังจากนั้นก็เป่านกหวีดขึ้นมา เมื่อเสียงนกหวีดดังขึ้น ร่างสองร่างไม่ไกลออกไปโผล่ออกมาจากในพุ่มไม้ บินมาหาด้วยความเร็วสูงดุจสายฟ้า กระพือปีกเหล็กของมันจนพวกนกคาร์ดินาลแดงตกใจกลัววิ่งพล่านไปทั่วทุกทิศ

หลังจากแคลร์ไล่นกคาร์ดินัลแดงไปได้ก็บินไปอยู่ด้านหน้าฉินสือโอว กรงเล็บที่หยาบกร้านของมันหนีบไก่ป่าตัวหนึ่งไว้อยู่ ดูลักษณะแล้วค่อนข้างอวบอ้วน อย่างน้อยก็น่าจะมีสองกิโลกว่าได้

พวกสัตว์ต่างๆ ได้เหยื่อมาไม่น้อย แต่คนกลุ่มนี้กลับไม่ได้อะไรเลยสักอย่าง เก็บได้เพียงผลเบอร์รี่หนึ่งถุง จึงทำให้รู้สึกอับอายขึ้นมา จึงส่งเสียงโหวกเหวกขึ้นมา “ล่าสัตว์! ล่าสัตว์!” “พวกเราแยกกัน เป็นสองฝั่ง จะต้องล่าหมูป่ากวางป่าให้ได้!”

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท