ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1368 ออกล่าสัตว์

บทที่ 1368 ออกล่าสัตว์

ตอนเที่ยงของฤดูใบไม้ร่วง พระอาทิตย์กำลังส่องแสง

มองจากภูเขาลงไปด้านล่าง จะเห็นผิวน้ำทะเลเป็นเกลียวคลื่น คลื่นซัดสาดแต่ละระลอกจะมีแสงสีทองเปล่งประกาย ราวกับผิวน้ำถูกเคลือบด้วยผงทองหนึ่งชั้น เป็นความงดงามของแสงที่ทอประกายออกมา

ใต้ภูเขามีป่าเมเปิลเป็นหย่อมๆ เมื่อลมพัดมาใบเมเปิลก็พลิ้วไหว ใบสีเหลืองอมส้มพลิ้วไสวไปตามสายลมเกิดเป็นเสียงราวกับคลื่นทะเล พวกต้นสนมังกร ต้นสนยักษ์ตั้งตระหง่านสูงเสียดฟ้า ให้ความรู้สึกได้ถึงความแข็งแรงมั่นคง

มองลงไปอีกก็จะเป็นใต้เชิงเขา เห็นถนนที่เป็นระเบียบทอดยาวไปสู่เมืองเล็กๆ เมืองเก่าที่มีกลิ่นอายของความเรียบง่าย บ้านแต่ละหลังเรียงรายกันเป็นทอดๆ ราวกับหมู่บ้านยุโรปในยุคกลาง

“แม่งเอ๊ย!” แววตาของเฉินเหลยที่มองลงไปด้านล่างเขา เอ่ยด้วยความประหลาดใจ

“พี่เหลย ด่าคนทำไม? ทำลายบรรยากาศจริงๆ!” ซ่งจวินเหมยพูดด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ

เฉินเหลยหัวเราะเบาๆ แล้วยกมือขึ้นด้วยท่าทางเหมือนยอมจำนน “นั่นฉันไม่ได้ด่าคนนะ แค่หลุดคำอุทานออกมา เป็นคำเสริมช่วยน้ำเสียง เหมือนพวกคำสร้อยล่ะ”

ฉินสือโอวเข้ามาตบบ่าของเฉินเหลย แล้วพูดว่า “พี่เหลยเป็นคนตรงๆ”

เฉินเหลยพูดอย่างมีความสุขมาก “ใช่ ยังไงไอ้ฉินก็เข้าใจฉันเสมอ”

ฉินสือโอวยิ้มแล้วพูดว่า “มันแน่นอนอยู่แล้ว คนที่สามารถพูดเรื่องไร้สาระได้มากมายเหมือนนายขนาดนี้ฉันก็รู้จักไม่เยอะหรอก”

ทุกคนหัวเราะขึ้นมา เริ่มล้อเฉินเหลยกัน

จงต้าจวิ้นทอดถอนใจแล้วพูดว่า “พอเห็นวิวที่นี่ ฉันก็ไม่อยากกลับไปทำงานแล้ว ยังไม่สู้อยู่คนเดียว สร้างบ้านไม้สักหลังบนภูเขาแล้วอาศัยอยู่ตลอดไป”

คนอื่นๆ พยักหน้าอย่างเห็นด้วย ฉินสือโอวพูดขึ้น “อย่าเลย วิวต่อให้งดงามแค่ไหน มองนานๆ ไปก็เบื่อ ชีวิตก็คือการต่อสู้ ความสับสน และความยากลำบาก การเผชิญหน้ากับชีวิตที่ไม่รู้อนาคต ถือเป็นเสน่ห์ของการใช้ชีวิตนะ”

หม่าจินมองไปที่ฉินสือโอวด้วยความประหลาดใจ “เชี่ย ฉิน ไม่ได้เจอแค่ปีกว่านายเปลี่ยนไปมากจริงๆ นี่มีมุมมองเกี่ยวกับชีวิตแล้ว สักพักพวกเราต้องดื่มซุปไก่จิตวิญญาณที่นายตุ๋นด้วยไหมเนี่ย?”

เฉินเจี้ยนหนานโบกมือไปมา พูดขึ้น “ทุกคนอย่าเพิ่งโวยวายไป ฉันถามหน่อย ฉิน นายรู้สึกแบบนั้นจริงๆ เหรอ?”

ฉินสือโอวหัวเราะฮา “เป็นแบบนั้นที่ไหนล่ะ? ฉันคิดว่าชีวิตที่มีเงินต่างหากถึงเรียกว่าชีวิต อะไรนะต่อสู้ ความสับสนให้มันไปลงนรกซะ ชีวิตของฉันหลังจากย้ายถิ่นฐานแล้วสบายสุดๆ เลยพวกนายรู้ไหม?”

คนทั้งกลุ่มกลอกตามองบนแล้วชูนิ้วกลางให้เขา ครั้งนี้แม้แต่ซ่งจวินเหมยและผู้หญิงคนอื่นๆ ก็อดไม่ได้ ด่าเขาว่าเป็นคนเลวด้วย

เหมาเหว่ยหลงก็ด่าสมทบ ด่าเสร็จเขาก็บอกว่า “พี่น้อง ถ้าทุกคนทนความเหงาได้ พูดตามตรงเลยว่าย้ายถิ่นฐานมาที่แคนาดามันดีจริงๆ ตอนนี้ฉันก็ทำฟาร์มเล็กๆ กินดื่มล้วนเลี้ยงได้ด้วยตัวเอง ไม่มีกิจกรรมบันเทิงใดๆ แต่กลับรู้สึกว่ามีความสุขมากกว่าตอนอยู่ในเมืองมาก”

ฉินสือโอวไม่แนะนำให้คนพวกนี้ย้ายถิ่นฐาน เพราะเขาเจออะไรมามากกว่าเหมาเหว่ยหลง ตอนนี้สิ่งที่ดึงดูดทุกคนคือสภาพแวดล้อมและบรรยากาศของเกาะแฟร์เวล อีกทั้งมีเขาที่เป็นเศรษฐีที่คอยสนับสนุนอยู่ ถ้าเกิดไปทะเลตกปลาจริงๆ สักสองสามวัน คนพวกนี้จะต้องรู้สึกแน่ๆ ว่าแคนาดาก็ธรรมดาทั่วไป

ตอนหลังเขาไม่ได้ร่วมสนทนาด้วย เขาหยิบเตาเล็กๆ ออกมาสองสามอันเพื่อเตรียมอาหารกลางวัน อาหารกลางวันแสนจะเรียบง่าย เพราะพวกเขาพกแฮมเบอร์เกอร์ พิซซ่า เป็นต้น มาจากฟาร์มปลา แล้วยังมีเกี๊ยวต้มแช่แข็งที่แม่ฉินเป็นคนห่อไว้ด้วย

พอเป็นแบบนี้ต้มซุปไก่ป่าเป็ดป่าสักหน่อย กินคู่กับอาหารฟาสต์ฟู้ดพวกนี้ก็โอเคแล้ว จุดสำคัญคือปีนเขาและชมวิวทิวทัศน์ พวกเขาอยากจะตั้งแคมป์บนภูเขา ดังนั้นมื้อค่ำของนี้คืนถึงจะเป็นไฮไลต์

เตาสองสามอันนี้เป็นเตาไม้ DIY ที่ฉินสือโอวทำเอง ตอนทำอาหารไฟแรงใช้ได้เลย ฉินสือโอวใช้ก้อนหินและโคลนในแม่น้ำแยกกันไว้ก่อน เพื่อป้องกันไม่ให้เตาไฟล้มขึ้นมาแล้วเกิดไฟไหม้ ฤดูใบไม้ร่วงจะเกิดอัคคีภัยไม่ได้เด็ดขาด

เปลวไฟเลียก้นหม้ออยู่ ฉินสือโอวรอน้ำเดือดแล้วค่อยใส่เกี๊ยวลงไป เฉินเหลยหิวแล้วจึงไม่ได้รอให้สุกก็ตักขึ้นมาชิมก่อน หลังจากนั้นก็อุทานขึ้นมาว่า “แม่ง ฉิน แม่นายห่อเกี๊ยวได้สุดยอดเลย อร่อยโคตร”

“ไหน ไหน?” คนทั้งกลุ่มรวมตัวกันเข้ามาค่อยๆ หยิบไปกิน หม่าจินพอกินไปหนึ่งอันก็สบถด่า “เชี่ย ไอ้เหลยแกหลอกฉันเหรอ? ยังไม่สุกเลย แค่กๆๆ!”

เฉินเหลยพอเห็นพวกเขาหลงกลก็หัวเราะใหญ่ พอเห็นแบบนี้ หม่าจินที่กำลังโกรธเขาอยู่จึงพาคนไปรุมหยิกเขา

ฉินสือโอวแบ่งเนื้อไก่ เนื้อเป็ด เนื้อกระต่ายที่ต้มสุกแล้วให้กับฉงต้า หู่จือ เป้าจือ หลัวปอและซิมบ้า เจ้าสัตว์พวกนี้กินด้วยกันอย่างมีความสุข ช่วงนี้ฉงต้าไม่ค่อยสนใจที่จะกินพวกเนื้อ หลักๆ จะกินผลไม้และปลาที่ฉินสือโอวตกขึ้นมาได้ จึงไม่ได้ไปแย่งพวกพี่น้องที่กำลังกินเนื้อตุ๋น

ในขณะที่กำลังกินพิซซ่า เฉินเจี้ยนหนานก็เดินเข้ามาถามว่า “ฉิน ตอนบ่ายทำอะไรต่อ? เดินเขาต่อเหรอ?”

ฉินสือโอวตอบว่า “ไม่ล่ะ ตอนบ่ายพวกเราไปล่าสัตว์และตกปลากัน สถานที่แห่งนี้เหมาะที่จะทำไว้พักผ่อนที่สุดละ พวกนายดูสิตรงนั้นก็มีกระท่อมไม้ ตอนกลางคืนพวกเราก็นอนกันที่นี่แหละ”

เมื่อกินอิ่มเรียบร้อย พวกฉินสือโอวก็คุยกันถึงเรื่องเก่าๆ สมัยมหาวิทยาลัย หลังจากนั้นก็เริ่มแบ่งกลุ่มออกล่าสัตว์

ฉินสือโอวนำกลุ่มหนึ่ง เหมาเหว่ยหลงนำอีกกลุ่มหนึ่ง เขาจัดให้อีวิลสัน ฉงต้าและหู่จือไปกับเหมาเหว่ยหลง พวกเขาไปตกปลากัน ด้วยเหตุนี้ถ้าเจอสัตว์ป่าดุร้ายอะไรก็ไม่ต้องกลัว

ฉินสือโอวนำทีมไปล่าสัตว์ มีหม่าจิน เฉินเหลยและผู้ชายอีก 5 คนไปกับเขา เหยียนตงก็อยากไปด้วย แต่ผลปรากฏว่าโดนซ่งจวินเหมยลากไปตกปลา เขาทำได้เพียงยอมจำนนผู้เป็นภรรยา จึงไปตกปลาด้วยกัน

“พวกเราล่าอะไรเป็นหลักเหรอ?” เฉินเหลยถามด้วยความตื่นเต้น

ฉินสือโอวตอบว่า “กวางหางขาวหรือไม่ก็กวางปักกิ่ง แล้วก็ล่าหมูป่าตัวเดียวก็พอแล้ว แต่ถ้าหากเจอแพะป่า ก็เยี่ยมไปเลย เนื้อแพะป่าอร่อยกว่าหมูป่าเยอะเลย”

เป้าจือและหลัวปอวิ่งเหยาะๆ อยู่ด้านหน้า พวกเขาแบกปืนและถือคันธนูเดินไปตามไหล่เขาที่สูงชันสักพัก แล้วกวางมูสฝูงหนึ่งก็ปรากฏตัวขึ้นตรงที่ดินว่างเปล่าในป่าใหญ่

เนื้อกวางมูสก็อร่อยเช่นกัน แต่เนื่องด้วยที่บ้านเลี้ยงปอหลัวอยู่ ฉินสือโอวจึงรู้สึกว่ากินกวางมูสไม่ค่อยจะดีเท่าไร จึงให้เพื่อนสมัยเรียนหัดยิงปืน ให้พวกเราลองฝึกยิงโดยมีระยะห่างราว 40-50 เมตร

ปืนที่พวกเขาใช้ล้วนเป็นปืนที่เช่ามาจากร้านค้าด้านนอก เป็นปืนลูกซองเดี่ยวทั้งหมด เสียงปืน 7 นัดถูกยิงออกไป หลังจากเสียงดังราวกับประทัด ฝูงกวางมูสก็วิ่งออกไปไกล ไม่เหลือให้เห็นสักตัวเดียว

เฉินเหลยมองอย่างเหลือเชื่อ “แม่ง ทำไมถึงเป็นแบบนี้? ฉันก็เล็งดีแล้วแท้ๆ นี่นา”

หม่าจินมองไปที่ฉินสือโอวที่แบก AWP อยู่แล้วพูดขึ้นว่า “เดี๋ยวฉันจะใช้อันนี้ ตอนที่ฉันเล่น CF และ CS ชอบใช้สไนเปอร์มากที่สุดแล้ว ถ้าใช้อันนี้ต้องยิงได้แน่ๆ”

ฉินสือโอวหัวเราะ “พวกนายไม่อยากกินเนื้อแล้วเหรอ? นี่มันปืนไรเฟิลเลยนะ อย่าคิดว่าลำกล้องปืนไม่ใหญ่แล้วจะมีแรงยิงต่ำ ไอ้ของเล่นนี้แค่ยิงไปจุดเล็กๆ บนตัวกวาง ก็สามารถแบ่งมันเป็นสองท่อนได้เลยทีเดียว!”

เป้าจือยังคงนำทีมเดินต่อไป พวกเขาโชคดีไม่น้อยเลย เจอฝูงแพะป่าโดยไม่คาดคิดมาก่อน

จำนวนของแพะป่าบนเทือกเขาเคอร์บัลมีค่อนข้างน้อย พวกมันเป็นเนื้อสัตว์ป่าที่ดีที่สุด เนื้อหอมรสชาติเข้มข้น มีคุณค่าทางโภชนาการสูง ไขมันต่ำ อุดมไปด้วยกรดอะมิโน 17 ชนิด และมีกรดไลโนเลอิค ฉินสือโอวไม่เคยล่าได้เลย

แพะป่าจะระแวดระวังตัวมาก ฝูงแพะนี้มีประมาณ 10 กว่าตัว แพะแต่ละตัวมีความเสถียรและมีการทรงตัวที่ดีเยี่ยม เมื่อรับรู้ว่ามีฉินสือโอวและคนอื่นๆ เข้ามาใกล้ พวกมันก็วิ่งหายเข้าไปในป่าทันที

……………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท