ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1375 เรียนรู้ที่จะเดินอย่างล้มลุกคลุกคลาน

บทที่ 1375 เรียนรู้ที่จะเดินอย่างล้มลุกคลุกคลาน

เหมาเหว่ยหลงตักขึ้นมาชิ้นหนึ่ง หลังจากชิมแล้วก็หาชามมาใส่ทันที จากนั้นก็วิ่งออกไปด้วยความดีใจ

ฉินสือโอวยื่นหัวออกมาแล้วถามว่า “แกทำอะไร? พวกเรามาทำพายฟักทองกันเถอะ”

เหมาเหว่ยหลงหัวเราะและพูดว่า “ฉันจะเอาไปให้ภรรยากับลูกสาวของฉันกิน ตั๋วตั่วต้องชอบแน่ๆ”

ฉินสือโอวมองดู หลังจากเนื้อฟักทองนึ่งสุกแล้วจะนุ่มและเหนียว เหมาะสำหรับให้เด็กเล็กกินจริงๆ ดังนั้นเขาจึงไปหาชามขนาดเล็กและตักไปครึ่งหนึ่งเพื่อให้เสี่ยวเถียนกวาและให้แม่ของเขาป้อนให้เธอกิน

ขณะนี้เสี่ยวเถียนกวากำลังคลานไปตามแผงลอยบนพื้นหญ้า เมื่อต้องการจะคลาน เธอจะยกแขนและขาสั้นๆ ขึ้น จนบางครั้งแม่ฉินก็ตามไม่ทัน

เมื่อฉินสือโอวเห็นเธอกำลังไล่ตามพี่น้องเฟอเรทอยู่รอบๆ ใต้ต้นไม้ พี่น้องเฟอเรทอยากจะปีนขึ้นต้นไม้ แต่พวกมันไม่สามารถปีนขึ้นไปได้ เสี่ยวหมิงพากระรอกดินตัวน้อยมาด้วยและจ้องไปที่พวกมันอย่างเย็นชา

เขาเดาว่า ขณะนี้กระรอกดินตัวน้อยคงอยากจะพูดอะไรบางอย่าง ความยุติธรรมอาจจะมาช้าแต่จะไม่พลาดแน่นอน! แปลเป็นภาษาจีนแปลว่า ความดีย่อมมีความดีตอบแทน ความชั่วย่อมมีความชั่วตอบแทน กรรมนั้นย่อมสนองแน่ เพียงแต่ยังไม่ถึงเวลา!

ก่อนหน้านี้ที่เสี่ยวหมิงไม่อยู่ กระรอกดินตัวเล็กนอนหลับด้วยความหวาดกลัวจนฉี่แทบราด พี่น้องเฟอเรทยังจำพวกมันได้ตลอด จึงถือโอกาสนี้กระโดดขึ้นไปบนตัวพวกมัน

แน่นอนว่าเฟอเรทพี่ชายและน้องสาวจะไม่กินพวกมัน แต่ต้องการฝึกฝนกับพวกมันมากกว่า ในอาหารของเฟอเรทแบลคฟุตมีกระรอกตัวน้อยดินรวมอยู่ด้วย

ทันทีที่เสี่ยวหมิงกลับมา กระรอกดินตัวน้อยจึงไปหามันเพื่อฟ้องร้อง จากนั้นเสี่ยวหมิงก็แสดงดาบแห่งการแก้แค้นออกมาและทำการแก้แค้นสามร้อยหกสิบองศาจากมุมมืด ทำให้พี่น้องเฟอเรทรู้สึกเจ็บปวดจนทนไม่ไหว

แม่ฉินนั่งดูหลานสาวกำลังเล่นกับเฟอเรทตัวน้อยสองตัวบนสนามหญ้าด้วยรอยยิ้ม ฉินสือโอวจึงส่งฟักทองให้เธอป้อนเด็กหญิงตัวน้อยกิน

ตั๋วตั่วช่วยเด็กหญิงตัวน้อยล้อมรอบพี่น้องเฟอเรท ในอ้อมแขนก็ถือชามไว้และเมื่อเธอเห็นว่าเด็กหญิงชอบจึงยื่นให้เธอพร้อมกับรอยยิ้มที่สวยงาม

“หนูกินของหนูเลย ของฉันก็มี” ฉินสือโอวบีบแก้มตั๋วตั่วและพูดด้วยความรักและทะนุถนอม

ตั๋วตั่วผลักมือของเขาออกอย่างเขินอายและซ่อนตัวอยู่ข้างๆ แม่ฉินพร้อมกับแอบกินฟักทองอย่างเงียบๆ

ในห้องครัวยังคงยุ่งอยู่และเนื้อฟักทองก็ใช้ได้แล้ว จึงสามารถนำมาทำพายฟักทองได้

โดยทั่วไปการทำพายจะต้องมีเนื้อ นี่เป็นหนึ่งในอาหารหลักของชาวแคนาดา จึงมีวิธีการและรสชาติที่หลากหลาย พายเนื้อฟักทองบด คุกกี้ฟักทอง พายฟักทองนึ่ง พายฟักทองทอด พุดดิ้งฟักทอง พายฟักทองฟูและอื่นๆ

ครั้งนี้ฉินสือโอวนำฟักทองกลับมาจำนวนมากพอ จึงสามารถทำได้สองสามอย่าง แต่ต้องเริ่มทำจากไส้เนื้อก่อนแล้วค่อยทำพายฟักทอง นี่เป็นวิธีทำที่ชาวแคนาดานิยมมากที่สุด

ไส้เนื้อทำได้ง่ายมาก ในตู้เย็นมีหมูอยู่ จึงโทรศัพท์ไปหาเบิร์ดให้รีบมาสับเนื้อหมู ไม่นานก็ได้ไส้เนื้อมาหนึ่งจาน

จริงๆ แล้วที่ฟาร์มปลาก็มีเครื่องบดเนื้อ แต่ปกติแล้วฉินสือโอวจะไม่ใช้มัน เนื้อที่ได้จากเครื่องบดเนื้อจะมีรสชาติไม่ค่อยดีเท่าไรและจะอร่อยไม่สู้เนื้อที่สับด้วยมีด อย่างไรก็ตามแค่มีผู้เชี่ยวชาญในด้านการใช้มีดอย่างเบิร์ด เนื้อแค่จานเดียวเขาใช้เวลาไม่นานก็สับเสร็จเรียบร้อยแล้ว ดังนั้นฉินสือโอวจึงไม่จำเป็นต้องใช้เครื่องบดเนื้อ

หลังจากผสมเนื้อ ขิงใหญ่และหอมให้เข้ากันแล้ว แซ็กก็เริ่มสอนฉินสือโอวทำพาย

สิ่งที่ฉินสือโอวไม่แน่ใจคืออัตราส่วนของส่วนผสมของฟักทองและแป้ง แซ็กบอกว่าปกติแล้วจะใช้สัดส่วนหนึ่งต่อหนึ่ง ซึ่งก็คือฟักทองหนึ่งปอนด์ต่อแป้งหนึ่งปอนด์ หลังจากที่ฉินสือโอวเข้าใจแล้ว เขาจะทำส่วนที่เหลือเองได้

นวดแป้ง หมักแป้ง จากนั้นก็ทำพายและผสมเนื้อลงไปก็ใช้ได้แล้ว

เหมาเหว่ยหลงเปิดกระทะอบไฟฟ้า นี่เป็นอุปกรณ์ที่เหมาะที่สุดในการอบพาย แต่แลนซ์กลับส่ายหัวและปล่อยให้เขาใช้เตาอบไฟฟ้า

ชาวแคนาดากินเนื้อสัตว์และน้ำมันในปริมาณมาก ปัจจุบันผู้คนที่พอมีเงินอยู่บ้างจึงเริ่มใช้ชีวิตอย่างแข็งแรง ด้วยการพยายามกินอาหารทอดให้น้อยที่สุด แน่นอนว่าของทอดเป็นสิ่งที่ขาดไม่ได้ในชีวิตของพวกเขา โดยเฉพาะไก่ทอดและปลาทอด ตอนที่ฉินสือโอวเพิ่งมาที่นี่ก็ถึงกับประหลาดใจ เพราะชาวประมงกินปลาทอดและไก่ทอดเหมือนกับที่เขากินหมั่นโถว!

หลังจากชาวเอเชียอพยพเข้ามาที่แคนาดา ส่วนใหญ่จะไม่คุ้นเคยกับอาหารที่มีโปรตีนสูง ไขมันสูงและแคลอรีสูง ระบบทางเดินอาหารของชาวเอเชียไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับสิ่งนี้ได้ จึงทำให้เกิดโรคต่างๆ ได้ง่าย

ฉินสือโอวจำได้ว่าเขาเคยอ่านข่าวข่าวหนึ่ง จากสถิติหลังจากที่ผู้อพยพชาวเอเชียเข้ามาในแคนาดา อัตราการป่วยโรคต่างๆ เช่นโรคระบบทางเดินอาหารและโรคลมชักมีเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมาก เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของส่วนประกอบในอาหาร

พายชุดแรกอบเสร็จอย่างรวดเร็ว หลายๆ คนพอได้ลองชิมเข้าไปแล้วก็รู้สึกว่ารสชาติดีมาก หลังจากแซ็กทานเข้าไปแล้วก็ถึงกับเลียนิ้วมือและคุยโวว่า “ให้ตายเถอะ พระเจ้าเป็นพยาน ว่านี่คือพายฟักทองที่อร่อยที่สุดในชีวิตตั้งแต่ผมเคยกินมา”

ฉินสือโอวหัวเราะชอบใจ และจู่ๆ เสียงกรีดร้องตกใจของแม่ฉินก็ดังมาจากข้างนอก เมื่อได้ยินเสียงนั้นเขาก็ตกใจจนตัวสั่น ทันใดนั้นก็นึกถึงนกอินทรีทองบนภูเขาที่มุ่งทำร้ายเขาเป็นอย่างมาก เขาจึงรีบออกไป

หลังจากวิ่งไปได้ไปหนึ่งก้าวเขาก็หันกลับมาหยิบมีดปลายแหลม เพื่อที่ว่าถ้าอินทรีทองอยู่ข้างนอก เขาจะใช้มีดจัดการฆ่ามันอย่างแน่นอน!

เมื่อวิ่งไปถึงประตูและมองออกไป ก็ไม่มีอะไรบนท้องฟ้าและเสี่ยวเถียนกวาก็ปกติดี ไม่ใช่แค่ปกติดีเท่านั้น แต่ฉินสือโอวถึงกับต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าเด็กหญิงตัวน้อยกำลังยืนขึ้นและเดินไปที่วิลล่าท่าทางคดเคี้ยวไปมา

แม่ฉินร้องตะโกนตามหลังเด็กหญิงตัวน้อยว่า “มาดูนี่เร็ว เสี่ยวเวยเดินได้แล้ว! เสี่ยวเวยเดินได้แล้ว!”

เมื่อเห็นฉินสือโอว เสี่ยวเถียนกวาที่กำลังเดินเอียงไปมาก็พุ่งเข้าใส่ชามใบเล็กที่เขาถือไว้และพูดด้วยน้ำเสียงนิ่มนวลว่า “ป่าป๊า เอาอีกๆๆๆ!”

ฉินสือโอวจึงโยนมีดทิ้ง จากนั้นก็อุ้มเธอขึ้นมาด้วยความประหลาดใจและลูบคางของเธอและใบหน้าที่อ่อนโยนของเธอแล้วตะโกนว่า “ลูกรัก หนูเดินได้แล้ว!”

พี่น้องเฟอเรทที่อยู่ด้านหลังก็ถอนหายใจ จบแล้ว จบแล้วชีวิต รีบหาทางออกไปเถอะ อย่ายอมแพ้เจ้าเสี่ยวหมิง ตามไปอยู่กับมันบนต้นไม้เลย

เมื่อก่อนเด็กหญิงตัวน้อยสามารถคลานได้อย่างเดียว แต่พวกมันที่ถูกทรมาณก็ถึงกับหน้าซีด ตอนนี้เธอเดินได้แล้ว ถ้าอย่างนั้นพวกมันจะโดนแกล้งอย่างไรอีก? และที่สำคัญกว่านั้นคือ นักกวีผู้ยิ่งใหญ่อย่างเชลลีย์เคยกว่าวไว้ว่า ถ้าเดินได้แล้ว คงจะวิ่งได้อีกไกลใช่ไหม?

ในอ้อมแขนของฉินสือโอว เด็กหญิงตัวน้อยพยายามใช้ขาสั้นๆ อ้วนๆ ถีบอย่างแรงพร้อมกับยื่นมือออกไปผลักหน้าฉินสือโอวและอุทานอย่างไม่พอใจว่า “บาบา! บาบา! บาบา!”

เสี่ยวเถียนกวาพูดคำว่าป่าป๊าหม่าม๊าสองคำนี้ได้รวดเร็วมาก แต่เธอไม่เคยเรียนรู้คำอื่นๆ เลย ไม่ใช่ว่าเรียนไม่ได้ แต่เธอไม่ยอมเรียน ฉินสือโอวเคยพาเธอไปพบแพทย์ และแพทย์ก็ยังบอกเช่นเดียวกันว่า เธอไม่ยอมเรียนรู้เอง

นี่เป็นเรื่องปกติ เด็กหญิงตัวน้อยถือได้ว่ามีความสามารถ ป่าป๊า หม่าม๊าสองคำนี้เธอสามารถใช้น้ำเสียงที่แตกต่างกันและแสดงความหมายที่แตกต่างได้ นี่อาจเป็นสาเหตุ เมื่อไม่มีความต้องการก็จะไม่มีการพัฒนา

สิ่งนี้จึงทำให้เธอออกเสียงน้อยอกน้อยใจได้ ซึ่งความหมายก็คือ ตัวเองไม่มีความสุข ตัวเองไม่พอใจน้อยใจ!

แม่ฉินเดินเข้ามาด้วยใบหน้าที่เต็มไปด้วยรอยยิ้ม “โชคดีที่ให้ชามฟักทองกับเสี่ยวเวย เธอกินแล้วก็อยากกินอีก แม่กลัวว่าเธอจะไม่กินข้าวตอนเย็นก็เลยไม่ได้เอาให้เธอ สุดท้ายเธอก็ไปหาแกแล้วไปเอาชามเล็กๆ ด้วยตัวเอง ฮ่าๆๆ”

ตอนนี้ลูกสาวก็เดินได้แล้ว ฉินสือโอวยังจะสนใจเรื่องการทำอาหารต่อได้อย่างไร? เขาพาชาวประมงที่กำลังว่างๆ เข้ามาและให้พวกเขาทำพายฟักทองแต่ละชนิด คืนนี้เขาจะมีงานเลี้ยงกินฟักทองด้วยกัน เพื่อเฉลิมฉลองให้กับลูกสาวที่สามารถเดินได้

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท