ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1374 ฟักทองรสชาติดี

บทที่ 1374 ฟักทองรสชาติดี

ไม่มีใครให้ความสนใจกับการปลูกฟักทองในฟาร์มปลามาก่อน อย่างแรกคือสถานที่ปลูกอยู่ห่างไกลเกินไปและอีกอย่างคือตัวฟักทองไม่มีจุดกระจายแสง ดังนั้นฉินสือโอวจึงใช้เมล็ดฟักทองยักษ์แอตแลนติกมาปลูก ซึ่งปกติถ้าปลูกฟักทองชนิดนี้จะสามารถเติบโตได้มากกว่าครึ่งเมตร ชาวประมงจึงมีภูมิคุ้มกันต่อฟักทองลูกใหญ่

นอกจากนี้ ชาวประมงยังปลูกฟักทองไว้หน้าบ้านและหลังบ้านด้วยเช่นกัน เพราะสามารถนำไปอบพายฟักทองและเตรียมรับวันฮาโลวีนที่กำลังจะมาถึงได้ เมื่อเป็นเช่นนี้ใครจะไปสนใจฟักทองในฟาร์มปลาล่ะ?

ในที่สุดเมื่อพวกเขาเห็นสปาร์ตันแต่ละคน นี่คือฟักทองเหรอ?

หลังจากที่บูลเห็นก็พูดอย่างมั่นใจว่า “บอส คุณต้องใช้ปุ๋ยหลายตันแน่นอน!”

ชาร์คจ้องไปที่เขาและพูดว่า “เพ้อเจ้อน่ะ นายบอกว่าฟักทองที่บ้านก็ไม่ได้ใช้ปุ๋ยเหมือนกัน นี่คือผลผลิตของปุ๋ยเหรอ? ไม่สิ บอสใช้สารเร่งการเจริญเติบโต!”

ฉินสือโอวพูดด้วยความไม่พอใจว่า “นี่สายตาสั้นกันเหรอไง ไม่สิ ควรจะบอกว่าตาไม่ถึงสิถึงจะถูก บอสของพวกนายอย่างฉันเนี่ยนะ จะใช้ปุ๋ยหรือยาฆ่าแมลงอะไรพวกนั้น? ไปดูที่นา ไปดูสวนผัก ฉันเคยใช้เหรอ?”

ชาวประมงคิดอย่างละเอียดแล้วก็พากันส่ายหัว ผักในฟาร์มปลามาจากธรรมชาติจริงๆ แม้แต่แตงกวากับมะเขือเทศยังสามารถเก็บมากินสดๆ ได้

ดังนั้นชาวประมงจึงพากันตกตะลึงทันที จากนั้นแซนเดอร์สที่เพิ่งจะรู้เรื่องก็เข้ามาดู หลังจากได้เห็นลักษณะตั้งตระหง่านของฟักทองลูกใหญ่เหล่านี้เขาก็อุทานว่า “โอ้พระเจ้า ฟักทองเหล่านี้โตเกินไปไหม?”

ผู้เชี่ยวชาญด้านชีววิทยาก็มา ฉินสือโอวจึงรู้สึกขาดความมั่นใจ เขากังวลว่าแซนเดอร์สจะมองอะไรบางอย่างออก

หลังจากแซนเดอร์สเห็นแล้วก็แสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา ในขณะที่ฉินสือโอวก็กำลังตื่นตระหนกตกใจ เขาจึงพูดว่า “บอส ฟักทองลูกที่ใหญ่ที่สุดนี้ ผมเดาว่าหนักมากกว่าหนึ่งตันใช่ไหม? ถ้าอย่างนั้นไปสมัครกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดดีไหม? ผมจำได้ว่าฟักทองที่ใหญ่ที่สุดในกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดหนักไม่ถึงตันเลยด้วยซ้ำ”

ที่แท้ก็เรื่องนี้เอง ฉินสือโอวจึงรู้สึกโล่งใจและพูดว่า “เรื่องนี้นายจัดการได้เลย ฉันไม่สนใจหรอก”

“แล้วนายสนใจอะไรบ้าง?” เฉินเหลยถามด้วยความไม่พอใจในขณะที่ถ่ายรูปไปด้วย ก่อนหน้านี้พวกเขาต้องการดึงฉินสือโอวและฉงต้ามาถ่ายคลิปวิดีโอด้วยกัน แต่สุดท้ายไม่สำเร็จ ซึ่งทำให้เขากังวลมาก

ฉินสือโอวหัวเราะและพูดว่า “รู้จักพายฟักทองไหม? ฉันสนใจสิ่งนั้นมากกว่า”

หลังจากได้ยินเช่นนั้น ชาร์คก็ยักไหล่และพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นคุณต้องผิดหวังแล้วล่ะบอส ฟักทองลูกใหญ่ขนาดนี้จะมีความชื้นมากและรสชาติไม่ดี โดยทั่วไปแล้วถ้าปลูกฟักทองได้ลูกใหญ่ สุดท้ายมันก็จะกลายเป็นอาหารของกวางในที่สุด”

ฉินสือโอวไม่ยอมแพ้ ฟักทองลูกใหญ่ขนาดนี้ เพราะมีส่วนเกี่ยวข้องกับพลังโพไซดอนและผักที่มีการปรับปรุงจากพลังโพไซดอนก็มีรสชาติก็ไม่เลวเลย

แน่นอนว่าเขาจะไม่เลือกฟักทองลูกใหญ่ในการอบพาย แต่จะเลือกลูกที่มีหลายขนาด ในความทรงจำของเขา ฟักทองแบบนี้ถือว่าใหญ่มาก แต่ในไร่ฟักทองของเขา นี่เป็นแค่เพียงน้องเล็กเท่านั้น

ช่วงบ่ายไม่มีงานอะไร ฉินสือโอวจึงไปจัดการเตรียมทำพายฟักทอง

นี่เป็นอาหารหลักประเภทหนึ่งที่คนท้องถิ่นชอบกิน ฉินสือโอวก็ได้กินบ้างเป็นครั้งคราว เมื่อวินนี่กลับมาจากซื้อพิซซ่าในเมืองแล้วเธอก็จะนำพายฟักทองมาด้วย เพราะเธอชอบอาหารนี้มาก

เมื่อใช้มีดหั่นฟักทองเป็นชิ้นใหญ่สองสามชิ้น จะทำให้เห็นเนื้อฟักทองสีเหลืองอมส้ม หลังจากหั่นเป็นชิ้นแล้วพืชชนิดนี้จะมีลักษณะคล้ายล้อรถมากยิ่งขึ้น จะมีวงแหวนอยู่ข้างใน ส่วนนี้จะกินไม่ได้ เพราะมีเมล็ดฟักทองขนาดใหญ่อยู่ข้างใน ฉินสือโอวควักเอาเมล็ดออกมา ต่อไปจะได้ไม่ต้องซื้อเมล็ดฟักทองอีก

ครั้งแรกที่ทำพายฟักทอง ซึ่งเป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ ฉินสือโอวจึงไปหาผู้เชี่ยวชาญในห้องครัวอย่างแซ็กและแลนซ์เพื่อขอความช่วยเหลือ หลังจากที่ทั้งสองมาถึงก็เห็นเมล็ดฟักทองสีขาวอวบอิ่มก็ตาเป็นประกายขึ้นและเอาถุงหยิบใส่ลงไปและแบ่งให้เท่าๆ กัน

ฉินสือโอวยิ้มและพูดว่า “พวกนายจะเอาเมล็ดพันธุ์เหล่านี้ไปทำอะไร? จริงๆ แล้วเราต่างก็ใช้เมล็ดฟักทองปลูกเหมือนกัน ไม่สิ ดูเหมือนว่าเมล็ดฟักทองของฉันจะเอามาจากบ้านของชาร์คนะ?”

“นี่ต้องเป็นการกลายพันธุ์ทางพันธุกรรมแน่นอน ผมจะเก็บรักษามันไว้และปีหน้าก็จะสามารถปลูกฟักทองลูกใหญ่ได้ นอกจากนี้ ถ้าเทียบกับคุณแล้ว ฟักทองจากที่บ้านของชาร์คมีขนาดเล็กเหมือนกับพุดดิ้งเลย คุณต้องไม่ได้เอามาจากเขาอย่างงแน่นอน” แซ็กกล่าว

ขณะที่กำลังพูดกันอยู่ แซ็กก็หั่นฟักทองเป็นชิ้นใหญ่เหมือนแตงโม จากนั้นก็นึ่งในหม้อขนาดใหญ่

เขาถามฉินสือโอวว่าต้องการทำอะไร ฉินสือโอวจึงพูดว่า “พายฟักทอง วินนี่ชอบ”

แลนซ์คาบก้นบุหรี่พลางส่ายหัวแล้วพูดว่า “รอก่อนเถอะ หลังจากฟักทองสุกแล้วก็ลองชิมดู ถ้ารสชาติดีก็เอามาทำพายได้ ไม่อย่างนั้นคงจะเปลืองเนื้อหมูไปเปล่าๆ ไม่ใช่เหรอ?”

ฟักทองเป็นอาหารต้มสุกง่าย เมื่อน้ำเดือดก็จะเห็นควันโขมงของไอน้ำและจะส่งกลิ่นไม่พึงประสงค์ออกไปทั่ว

ฉินสือโอวสูดกลิ่นนี้เข้าไปและกลิ่นนี้มันไม่ค่อยดีจริงๆ ซึ่งทำให้เขาตกใจมาก พลังโพไซดอนผิดพลาดไปตอนไหน? หรือว่าจะเป็นตอนที่ปล่อยให้ฟักทองเติบโต?

ฝั่งตรงกันข้าม แซ็กและแลนซ์ที่ดูท่าไม่ค่อยดีก่อนหน้านั้นก็ยิ่งหนักกว่าเดิม แซ็กโบกมือไปมาแล้วพูดว่า “เดี๋ยวก่อน ฟักทองนึ่งรสชาติก็เป็นแบบนี้ แต่เนื้อฟักทองไม่น่าจะใช่แบบนี้นะ”

“ถ้าอย่างนั้นผมจะสอนให้ชาร์คเป็นมนุษย์ฟักทอง” แลนซ์กล่าว

“หมายความว่าอะไร?” เหมาเหว่ยหลงที่คอยช่วยเหลืออยู่ข้างๆ ก็ถามอย่างสงสัย

แลนซ์ยิ้มเยาะและอธิบายว่า “ฟักทองดูไม่เละและตอนนึ่งก็มีรสชาติแย่ แต่เนื้อของมันอร่อยและมีคุณค่าทางโภชนาการ ดังนั้นคุณรู้ความหมายของผมหรือยัง?”

ฉินสือโอวชี้ไปที่เขาพร้อมหัวเราะและพูดว่า “ไม่นะแลนซ์ นายทำเกินไปแล้ว ฉันจะบอกชาร์ค ฉันกล้าพนันได้เลยว่าเขาจะแทงตูดนายด้วยท่อฝิ่นของนาย!”

หลังจากน้ำเดือดได้ห้าถึงหกนาที แซ็กก็ไปเปิดหม้อนึ่ง ทำให้เห็นเนื้อฟักทองที่ชุ่มฉ่ำและมันวาว เขาใช้ช้อนตักขึ้นมาและเป่านิดหน่อยแล้วลองชิม แลนซ์ยักไหล่และพูดว่า “ปกติจะไม่เป็นแบบนี้นะ มันจะมีน้ำเยอะ”

หลังจากทานเข้าไปแล้วแซ็กก็พยักหน้าและพูดว่า “ใช่ รสชาติไม่อร่อยเท่าไร บอส ฟักทองนี้ไม่เหมาะกับทำพายฟักทองเลย”

ฉินสือโอวรู้สึกท้อใจเล็กน้อย เดิมทีเขาต้องการแสดงความรักต่อวินนี่ อย่างไรเสียก็เป็นคู่บ่าวสาวแต่งงานใหม่ จะต้องได้รับการปฏิบัติเป็นอย่างดี

แซ็กปิดฝาหม้อลง และเข้าไปใกล้ๆ แลนซ์แล้วพูดลอยๆ ว่า “ฟักทองไม่อร่อย ปลูกไปก็ไร้ค่า เก็บไว้ก็ไม่มีประโยชน์ ฉันไม่อยากเอาไปเยอะแล้ว นายยังจะอยากได้อยู่ไหม?”

เมื่อแลนซ์ได้ยินสิ่งที่เขาพูด จึงมองไปที่ฉินสือโอวแล้วหยิบเมล็ดพืชออกมาแล้วพูดว่า “ผมไม่ต้องการเยอะขนาดนี้ เก็บไว้แค่หนึ่งถึงสองเม็ดก็พอแล้ว”

แซ็กยิ้มหลังจากได้ยินคำพูดของเขาและเขาก็ยื่นมือออกไปแล้วพูดว่า “มาเถอะ ฉินจะโยนทิ้งให้นายเอง”

หลังจากได้เช่นนั้น แลนซ์ก็แสดงสีหน้ารู้สึกถึงอันตรายทันที จึงรีบหยิบถุงพลาสติกกลับมาไว้ในมืออย่างรวดเร็วและมองไปที่แซ็กอย่างระวังแล้วพูดว่า “บ้าเอ๊ย นายกระตือรือร้นขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไร? ผีเข้า ผีต้องเข้านายแน่ๆ!”

หลังจากพูดเสร็จ เขาก็เปิดหม้อตักฟักทองนึ่งขึ้นมาชิ้นหนึ่งแล้วร้องตะโกนทันทีว่า “แซ็ก ให้ตายเถอะ! คิดไม่ถึงว่านายจะปิดบังฉัน? เราเป็นเพื่อนกันมาสี่สิบปีแล้ว ตอนที่ใส่ผ้าอ้อมก็ยังกลิ้งเล่นด้วยกันอยู่เลย คิดไม่ถึงว่านายจะปิดบังฉัน?!”

ฉินสือโอวจึงไปลองชิม รสชาติของเนื้อฟักทองนุ่มและหวาน ไม่เหมือนฟักทองทั่วไปที่นึ่งแล้วจะมีรสขมติดปาก เนื้อฟักทองนี้มีแค่รสหวานและกลิ่นหอมเท่านั้น!

……………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท