ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1383 ที่บ้านมีแตงกวา

บทที่ 1383 ที่บ้านมีแตงกวา

ฉินสือโอวโพสต์ภาพใบรับรองทางราชการของฟาร์มปลาลงบนเวยป๋อ วินนี่ก็เตรียมที่จะโพสต์เกี่ยวกับเมืองเล็กๆ ลงเวยป๋อเช่นกัน นักท่องเที่ยวบางคนก็พากันแย่งโพสต์ลงก่อนหน้านั้นแล้ว ทุกคนต่างสนุกสนานร่าเริงกันอย่างเต็มที่ เห็นได้ชัดว่าการเป็นพยานในการบันทึกสถิติโลก เป็นเรื่องที่แปลกใหม่มาก

ตอนแรกที่กาวชีวภาพของฟาร์มปลาได้รับการรับรอง ผู้คนในเมืองก็ไม่สามารถเข้าร่วมได้ อีกทั้งยังเป็นการนำท่อเหล็กสองท่อนมาติดเข้าด้วยกัน จึงไม่มีอะไรสามารถเป็นพยานได้ ไม่เหมือนกับฟักทองขนาดใหญ่ที่สามารถไปถ่ายรูปได้

สิ่งของที่มีน้ำหนักแบบนี้ จะต้องอาศัยเครื่องชั่งอิเล็กทรอนิกส์และเครน เครื่องชั่งอิเล็กทรอนิกส์จะดีกว่า เพราะหลังชาวประมงจับปลาได้แล้วมักจะนำมาชั่งน้ำหนัก ซึ่งเครนมักจะมีปัญหา

เมื่อฉินสือโอวได้ยิน จึงโบกมือไปมาและพูดว่าปัญหาคืออะไร? เขาเรียกอีวิลสัน บูล ชาร์คและแบล็คไนฟ์เหล่าคนงานที่แข็งแรงบึกบึนให้เข้ามา ช่วยกันใช้เชือกมัดฟักทอง จากนั้นพวกเขาก็ยืนอยู่ที่ปลีกซ้ายและขวาของรถกระบะพร้อมกับร้องตะโกนเสียงดังขึ้น

ฟักทองวางลงและน้ำหนักก็ปรากฏขึ้น

“น้ำหนักของฟักทองลูกนี้” เคลลีหรี่ตามองไปที่เครื่องชั่งอิเล็กทรอนิกส์ ทันใดนั้นถึงกับต้องเบิกตากว้าง “ให้ตายเถอะ ฉิน ฟักทองของคุณหนักหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบห้าปอนด์ ยังไม่ทำลายสถิติโลก!”

“โอ้!” เสียงร้องโห่ดังขึ้น ฉินสือโอวจึงหันหน้าไปมองด้วยความประหลาดใจ คนอื่นๆ ก็หันหน้าไปด้วยความประหลาดใจเช่นกันและเห็นบูลกำลังอย่างกำหมัดชูขึ้นมาตื่นเต้นอยู่ตรงนั้น ขณะนี้แม้แต่หู่จือและเป้าจือยังวิ่งออกมาสังเกตดูสิ่งผิดปกติพร้อมกับนั่งลงอย่างเชื่อฟังอยู่ตรงนั้น

หลังจากชูหมัดขึ้นมาแล้ว บูลก็ค่อยๆคลายกำปั้นออกและถามอย่างระมัดระวังว่า “เมื่อกี้ผมได้ยินไม่ชัด มีอะไรเหรอ?”

“งี่เง่า!” ชาร์คสบถคำด่าออกไป “ไสหัวออกไป!”

ฉินสือโอวมองบูลด้วยความอ่อนเพลีย เขาจึงถามเคลลีว่า “เคลลี คุณไม่ได้ดูผิดใช่ไหม น้ำหนักนี้ยังไม่ทำลายสถิติโลกอีกเหรอ?”

“นี่มีน้ำหนักถึงหนึ่งพันเก้าร้อยห้าสิบห้าปอนด์ไม่ใช่เหรอ? ฉันจำได้ว่าสถิติโลกยังไม่ถึงหนึ่งพันเก้าร้อยปอนด์ด้วยซ้ำ ฉันได้ตรวจสอบฐานข้อมูลของพวกคุณก่อนที่จะมาแล้ว” วินนี่กล่าว

เคลลีพูดอย่างจนปัญญาว่า “คุณผู้หญิงคนสวย คุณควรจะตรวจสอบข่าวบ้าง หลังจากช่วงวันฮัลโลวีนในทุกๆ ปี จะเป็นช่วงจุดสูงสุดของสถิติโลกในการประกาศน้ำหนักฟักทอง จะมีฟักทองที่เหนือระดับทั่วไปจำนวนมากได้รับการรับรอง ความหมายของผมคือเมื่อสองวันที่ผ่านมา ที่เซนต์วินนิเพ็กในเมืองนอร์เบิร์ต เด็กอายุสิบสามปีคนหนึ่งได้ปลูกฟักทองที่มีน้ำหนักถึงสองพันสิบเก้าปอนด์!”

ฉินสือโอวไม่อยากจะเชื่อในโชคชะตาของตัวเอง “ห่างกันแค่สองวัน สถิติโลกก็ปลิวแล้วเหรอ?”

สิ่งที่สำคัญที่สุดคือมีคนจำนวนมากกำลังมองดูอยู่และยังมีกล้องกำลังบันทึก ฉินสือโอวจึงมองไปที่เลนส์กล้องและมีตัวเองขนาดเล็กๆ อยู่ในนั้น ลักษณะที่กระวนกระวายใจช่างน่าขำสิ้นดี

แต่ฉินสือโอวหัวเราะออกมาไม่ได้

เคลลียักไหล่และพูดว่า “ต้องขอโทษจริงๆ คุณฉิน”

ฉินสือโอวมองไปรอบๆ และถามว่า “เด็กคนนั้นปลูกฟักทองได้สองพันเก้าปอนด์เหรอ? เด็กอายุสิบสามปี?”

“ใช่ เขายังอยู่เกรดเจ็ด” เคลลีว่าพร้อมกับหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาและหาข่าวให้ฉินสือโอวดู “นี่ไง เด็กคนนี้”

ฉินสือโอวจึงหยิบมาดู เป็นเด็กผมสีเหลืองที่มีฝ้ากระเล็กๆ บนใบหน้ากำลังยิ้มให้เขาอย่างสดใสบนหน้าจอโทรศัพท์เมื่ออ่านประวัติแนะนำตัวแล้ว เด็กคนนี้มีชื่อว่าคาคา ลักซ์ เขาได้ปลูกฟักทองในสวนหลังบ้านของเขา

“ให้ตายเถอะ เด็กคนนี้โชคดีจริงๆ” ฉินสือโอวพูดด้วยความอิจฉา

วินนี่ดึงข้อมือของเขาไว้และกระซิบว่า “กิริยา ระวังกิริยาท่าทางของคุณด้วย”

“ฉิน คุณประเมินคู่ต่อสู้ต่ำไป ลักซ์สามารถปลูกฟักทองจนได้รับรางวัลคงจะไม่ได้อาศัยแค่ความโชคดีหรอก เขาเริ่มปลูกฟักทองที่สวนหลังบ้านมาตั้งแต่อายุหกขวบ สำหรับเด็กคนหนึ่งแล้ว คุณไม่คิดว่ามันเป็นตำนานเหรอ?” เคลลีกล่าว

ฉินสือโอวยิ้มเยอะและพูดว่า “ฟักทองในไร่ของผมก็ปลูกด้วยเด็กๆ เหมือนกันนะ”

ในขณะที่พูดอยู่ เขาจึงลากกอร์ดอนเข้ามาและชี้ไปที่เขาแล้วพูดว่า “เด็กคนนี้เป็นคนปลูก เขาเพิ่งอยู่แค่เกรดหก นี่จะไม่เรียกว่าตำนานมากกว่าเหรอ? แต่มันจะมีประโยชน์อะไรล่ะ?”

เดิมทีกอร์ดอนที่กำลังเฝ้าดูอย่างตื่นเต้น ก็ถูกฉินสือโอวลากออกไป เขามองไปที่ผู้คนรอบข้างและเห็นกล้องกำลังหันมาทางตัวเอง เขาจึงกระแอมแล้วพูดว่า “ใช่ๆ อะแฮ่ม สุภาพบุรุษและสุภาพสตรีทั้งหลาย ผมต้องยอมรับว่าการปลูกฟักทองเป็นงานที่ทั้งซับซ้อนและยากลำบากมาก ต้องใช้ความพยายามเป็นอย่างมากและยังต้องทำการศึกษาค้นคว้ามากมาย ต้องเสียสละความสนุกสนานอื่นๆ ไปอีกด้วย เช่นการไปเที่ยวกับครอบครัวในช่วงฤดูร้อน เพื่อที่จะไปปลูกฟักทองผมจึงไปไม่ได้…”

“นี่มันอะไรกัน?” เออร์บักถามด้วยความประหลาดใจ

ฉินสือโอวจึงกลอกตาใส่ เขาแค่ล้อเล่นเท่านั้นเอง คิดไม่ถึงว่ากอร์ดอนจะเอาจริงเอาจัง ยิ่งไปกว่านั้นท่าทีที่เจ้าเด็กคนนี้แสดงออกมาอย่างจริงจังก็หลอกเขาได้เล็กน้อยเหมือนกับว่าเขาเป็นคนปลูกฟักทองลูกนี้จริงๆ

ไม่มีใครขัดกอร์ดอนเลย เขาจึงพูดอย่างฉะฉานอยู่ตรงนั้นว่า “พวกคุณก็รู้ว่าการดูแลไร่ฟักทองในพื้นที่ที่ใหญ่ขนาดนี้ เป็นงานที่ท้าทายมากสำหรับเด็กคนหนึ่ง ผมต้องใส่ปุ๋ยให้ฟักทองและต้องรดน้ำลงท่อให้มัน สรุปแล้วต้องใช้เวลานานมาก เฮ้อ นี่จึงทำให้เกรดของผมไม่ผ่าน…”

“เจ้าเด็กคนนี้มีหน้ามาพูดเรื่องพวกนี้จริงๆ!” กลุ่มเด็กวัยรุ่นที่รู้ไส้รู้พุงเรื่องเกรดของกอร์ดอนเป็นอย่างดีก็เริ่มถอนหายใจออกมา

กอร์ดอนไม่สนใจพร้อมกับฉีกยิ้มและเริ่มพูดไร้สาระว่า “เพื่อที่จะปลูกฟักทองออกมาให้ที่ดีที่สุด ในเดือนเมษายนของปีนี้ ก่อนที่จะปลูกฟักทอง ผมได้ไปเข้าร่วมการสัมมนาความรู้และทักษะการปลูกฟักทองที่โรแลนด์…”

“หยุด หยุด หยุด! หยุดเถอะกอร์ดอน นี่ไม่ใช่เรื่องของนาย” วินนี่ลากเขาออกไป

ชาวประมงและชาวเมืองพากันพูดคุยกันอยู่ตรงนั้นว่า “กอร์ดอนเก่งมาก คิดไม่ถึงว่าจะปลูกฟักทองได้ขนาดนี้ เขานี่สุดยอดจริงๆ”

“ฉันต้องยอมรับว่าฉันเคยประเมินกอร์ดอนต่ำไป ฉันเคยบอกว่าเขาจะเป็นฮิวจ์คนน้องคนต่อไป เพราะเขาเคยขว้างก้อนหินใส่สุนัขของฉันและฉันก็ด่าเขาไป ฉันอยากขอโทษเขา”

“เขาไปเข้าร่วมการบรรยายความรู้ด้วยเหรอ? ต่อไปจะต้องถามว่าเขาแล้วว่าจะปลูกฟักทองอย่างไร ถึงปลูกได้ลูกใหญ่แบบนี้ อีกทั้งยังได้ยินมาว่ามีรสชาติอร่อยอีกด้วย”

หลังจากได้ยินสิ่งที่ผู้คนในเมืองพูดคุยกันแล้ว ฉินสือโอวจึงกุมขมับและนั่งยองลงกับพื้น นี่มันอะไรกัน เพ้อเจ้อกันไปหมดแล้ว! เขาก็ไม่ได้คิดว่ากอร์ดอนจะพูดเพ้อเจ้อได้ขนาดนี้ แล้วยังจะดึงเขาเข้ามาทำเรื่องไร้สาระตามใจอีก สุดท้ายเขาก็กลายเป็นตัวเอก

เหมือนกับที่โบราณเคยว่าไว้ ทองคำมักจะส่องแสง อุจจาระมักเกาะติดและกอร์ดอนก็เป็นตัวดีในเรื่องการพูดเรื่องไร้สาระ

และเรื่องนี้ก็จบลงแบบนี้ น้ำหนักไม่สามารถโกหกได้และเขาก็ไม่ได้ทำลายสถิติโลก

เคลลีกอดปลอบใจเขาและพูดว่า “ไม่เป็นไรฉิน พวกเราเข้าใจผิด ฟักทองของคุณดูเหมือนจะไม่ใช่แค่สองพันปอนด์ มันมีขนาดใหญ่มาก ผมคิดว่ามันหนักอย่างน้อยสองพันสองร้อยปอนด์ ไม่อย่างนั้นผมคงจะไม่เอากล้องมาด้วย”

ชาร์คพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฟักทองของเราไม่เหมือนกับของพวกเขา ของพวกเขาก็แค่ขนาดเท่านั้น แต่ข้างในเต็มไปด้วยน้ำมันถึงมีน้ำหนักมาก แต่ข้างในของฟักทองเราเป็นเนื้อปกติและยังมีรสชาติดีด้วย”

เคลลียักไหล่และพูดว่า “แต่นี่ก็ไม่มีประโยชน์แล้วไม่ใช่เหรอ สถิติโลกไม่ได้ดูที่คุณภาพเนื้อนะ”

ฉินสือโอวไม่ยอม จุดสำคัญก็คือเขาไม่สามารถลงจากเวทีในขณะที่มีผู้คนจำนวนมากขนาดนี้ได้ ดังนั้นเขาจึงชี้ไปข้างหลังเขาและพูดว่า “เคลลี สถิติโลกของพวกคุณมีน้ำหนักของฟักทองทั้งหมดที่ปลูกบนพื้นที่หนึ่งเอเคอร์ไหม? ผมคิดว่าเรื่องนี้ผมต้องได้สถิติโลกแน่นอน”

เคลลี่ส่ายหัวอย่างจนปัญญาและพูดว่า “ขอโทษนะฉิน ไม่มีหรอก”

“โอเค” ฉินสือโอวไม่พูดอะไรต่อ

ทุกคนจึงเก็บข้าวของและทยอยกลับ ทันใดนั้นก็มีเสียงดังขึ้น “คุณเคลลี ทำไมคุณไม่ไปที่สวนหลังบ้านของผมล่ะ? ที่นั่นมีแตงกวาลูกใหญ่อยู่ลูกหนึ่ง…”

…………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท