ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1378 ปลาโครงกระดูก

บทที่ 1378 ปลาโครงกระดูก

เมื่อพบปลาตัวเล็กๆ เหล่านี้ ฉินสือโอวจึงรวบรวมพวกมันและมองดู พบว่าปลาชนิดนี้มีจำนวนไม่มาก ซึ่งมีประมาณสี่ถึงห้าร้อยตัว สำหรับบริเวณภูเขาไฟใต้ทะเลที่ทอดยาว ความยาวเท่านี้จึงมีขนาดเล็กไปหน่อย

ตอนที่เขาค้นพบ ยังมีปลาตัวเล็กๆ บางตัวทำความสะอาดปลาและกุ้งที่หาทางเข้ามา ฉินสือโอวเห็นว่าปากของปลาตัวเล็กๆ เหล่านี้เปิดและปิดได้อย่างรวดเร็วเหมือนกับที่ดูดเล็กๆ ซึ่งมันสามารถดูดพยาธิหรือเนื้อเยื่อที่ตายแล้วจากตัวปลาและกุ้งได้

หลังจากคิดเรื่องนี้ได้สักพัก เขาจึงตัดสินใจที่จะเอาพวกมันเป็นร้อยๆ ตัวกลับไปด้วย ในขณะเดียวกันก็ป้อนพลังโพไซดอนให้พวกมันเป็นจำนวนมากด้วย

เมื่อรู้สึกถึงพลังโพไซดอนที่กำลังหลั่งไหลออกมา งูเหลือมทะเลจอมหน้าด้านรอบๆ ก็ขยับเข้ามาทันทีพร้อมกับมองหาพลังโพไซดอนด้วยความสนใจและบางตัวก็อ้าปากกินปลาตัวเล็กที่เต็มไปด้วยพลังโพไซดอนเข้าไป

ฉินสือโอวรีบควบคุมงูเหลือมยักษ์เหล่านี้ทันที ไม่เพียงแต่สั่งไม่ให้พวกมันกินปลาตัวเล็กชนิดนี้แล้ว และยังให้งูเหลือมยักษ์คุ้มครองพวกมันด้วย เพื่อให้พลังโพไซดอนในปลาตัวเล็กเหล่านี้จะมีมากขึ้นและเพื่อไม่ให้กลายเป็นอาหารของปลาตัวใหญ่ใต้ท้องทะเลได้ง่าย

น่าเสียดายที่งูเหลือมทะเลโตแต่หัว แต่จริงๆ แล้วไม่มีสมอง พวกมันจึงเข้าใจแค่คำสั่งห้ามไม่ให้กินปลาตัวเล็ก แต่ไม่สามารถคุ้มครองพวกมันได้

ฉินสือโอวคิดอยู่ครู่หนึ่ง ดวงตาของเขาก็เปล่งประกายเกิดความคิดใหม่ขึ้น เขาเอาปลาตัวเล็กและงูเหลือมยักษ์มารวมกัน เพื่อให้พวกมันอาศัยอยู่ด้วยกัน ซึ่งนี่ไม่มีปัญหาอย่างแน่นอน เพราะบนตัวของงูเหลือมยักษ์มีแบคทีเรียและพยาธิจำนวนมาก นอกจากนี้เนื่องจากการเคี้ยวปลาและกุ้งจึงมักจะมีสิ่งตกค้างอยู่ระหว่างซอกฟัน ทำให้ปลาตัวเล็กพวกนี้สามารถเข้ามากินได้

เมื่อมีความคิดนี้ ฉินสือโอวจึงเริ่มลงมือทำ โดยการถ่ายทอดความคิดที่จะไม่ทำร้ายปลาตัวเล็กก่อน จากนั้นถึงจะควบคุมปลาตัวเล็กให้เข้าใกล้ๆ งูเหลือมทะเล

ความกล้าของปลาตัวเล็กกับขนาดของพวกมันมีเล็กน้อยเหมือนกัน เว้นแต่ฉินสือโอวจะควบคุมพวกมัน ไม่อย่างนั้นพวกมันจะไม่กล้าโผล่ออกมาต่อหน้างูเหลือมทะเล แต่ถ้าพวกมันไม่โผล่ออกมาแล้วจะอยู่ร่วมกันได้อย่างไร?

ฉินสือโอวควบคุมปลาตัวเล็กสองสามตัวให้เข้าไปในปากของงูเหลือมยักษ์ หลังจากปล่อยการควบคุมจิตสำนึกแห่งโพไซดอนแล้ว ปลาตัวเล็กเหล่านี้ก็จะไม่กลัวและยังว่ายน้ำไปมาอย่างอิสระในปากงูเหลือมยักษ์ได้อีกด้วย จากนั้นก็จะใช้ปากเล็กๆ เริ่มดูดเศษเนื้อตามซอกฟันของงูเหลือมยักษ์

หลังจากร่วมมือช่วยเหลือกันแบบนี้อยู่หลายครั้ง ปลาตัวน้อยก็พบว่างูเหลือมยักษ์ไม่ได้เป็นอันตรายต่อพวกมัน ดังนั้นพวกมันจึงมีความกล้ามากขึ้นและไม่กลัวงูเหลือมยักษ์อีกต่อไป

กุ้งขาวหลายตัวที่ปรับตัวให้เข้ากับสภาพแวดล้อมของน้ำร้อนได้แล้วก็ค้นพบสิ่งนี้เช่นกัน ที่แท้งูเหลือมยักษ์ดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่ แต่จริงๆ แล้วมันไม่เป็นอันตรายเลย ดังนั้นพวกมันจึงเข้าใกล้ได้อย่างปลอดภัย

งูเหลือมยักษ์มองพวกมันด้วยสายตาเย็นชาและพุ่งเข้าใส่อย่างรวดเร็วพร้อมกับอ้าปากกว้างกินกุ้งขาวเข้าไปจนไม่เหลือสักตัว!

เป็นเรื่องยากที่ปลาตัวน้อยที่เพิ่งดึงความกล้าหาญออกมาต้องตกใจกลัวจนฉี่แทบราดเมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ทันใดนั้นพวกมันก็หนีกระเจิงและพากันไปซ่อนตัวตามแนวหินปูนและหินโสโครก

ฉินสือโอวทำได้เพียงปล่อยให้งูเหลือมยักษ์บุกเข้าไปตามแนวหินปูนและหินโสโครกก่อน ด้วยการเฝ้าระวังของพวกมัน ไม่ควรจะมีปลาและกุ้งกล้าจับปลาตัวเล็กเป็นอาหาร แล้วการอยู่ร่วมกันของทั้งสองฝ่ายล่ะ? ดูเหมือนว่านั่นจะเป็นการวางแผนในระยะยาว

หลังจากทำแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวก็เช็ดตัวและสวมเสื้อผ้า หู่จือและเป้าจือก็เพิ่งกระโดดลงไปในน้ำสักพักและเล่นกันอย่างสนุกสนาน พวกมันนั่งยองๆ ในน้ำและโผล่ขึ้นมาแค่หัวพร้อมกับมองไปที่ฉินสือโอวที่จู่ๆ ก็ลุกขึ้นยืนเช็ดตัว พวกมันจึงคิดว่าเขากำลังโยนผ้าเช็ดตัวเล่นกับพวกมัน พวกมันจึงพรวดพราดขึ้นไปเล่นด้วยอย่างรวดเร็ว

ไม่ใช่เรื่องง่ายที่ฉินสือโอวจะเช็ดตัวให้แห้งได้ สุดท้ายก็กลับมาเปียกอีกครั้ง เขาผลักหู่จือและเป้าจือออกไปอย่างจนปัญญาและชี้ไปที่ฉงต้าพร้อมกับพูดว่า “ไปๆๆ ไปเล่นกับฉงต้า”

หลังจากจัดการเสร็จเรียบร้อยแล้ว ฉินสือโอวก็เช็ดตัวต่อไป แต่ละอองน้ำก็ยังคงกระเซ็นไปทั่วทุกทิศทาง อีกทั้งผ้าเช็ดตัวในมือของเขาก็ขาดและตกลงไปในน้ำอีกด้วย จึงทำให้มันไม่สามารถใช้ต่อได้แล้ว

ฉินสือโอวจ้องไปที่หู่จือและเป้าจืออย่างทำอะไรไม่ได้ เจ้าแลบราดอร์ก็จ้องมองมาที่เขาด้วยดวงตากลมโตไร้เดียงสา เป้าจือมองซ้ายมองขวาและเห็นว่าแมวป่ากำลังนอนอยู่บนสระ ก็รีบเข้าไปลากคอมันลงน้ำทันทีและโยนหัวของมันใส่ผ้าขนหนู

ราชาเจ้าป่าซิมบ้ากระวนกระวายพร้อมกับสะบัดแขนขาในน้ำอย่างสุดชีวิต แขนขาทั้งสี่ของมันแกว่งไปมา แต่หางของมันกลับเหยียดตรง เหมือนกับคนที่ว่ายน้ำไม่เป็นกำลังตกน้ำ

ฉินสือโอวรีบพามันขึ้นมาทันทีและถูกเป้าจือทำร้ายจนมีบาดแผลที่ก้น จากนี้ไปใครที่บอกกับเขาว่าแลบราดอร์จะเชื่อฟังและว่านอนสอนง่ายตอนโตเต็มวัย เขาจะตีคนคนนั้นให้พูดไม่ออกเลยทีเดียว

แลบราดอร์เริ่มซนมากขึ้นเรื่อยๆ สุนัขบ้านอื่นตอนเล็กๆ ก็พากันซนแต่พอโตขึ้นก็เชื่อฟัง แต่หู่จือและเป้าจือเมื่อพวกมันยังเด็กก็ทั้งเชื่อฟังและว่านอนสอนง่าย แต่ตอนนี้ก็ได้เริ่มเข้าวัยซุกซันของมันแล้ว

สิ่งนี้ทำให้ฉินสือโอวอดไม่ได้ที่จะนึกถึงฮัสกีหัวหน้าทีมรื้อถอน เขารู้สึกว่าแลบราดอร์ของตัวเองแม้ว่าจะไม่มีสายเลือดของฮัสกี แต่พวกมันก็ต้องมีความสัมพันธ์ห่างๆ กันแน่นอน ตอนนี้ยกเว้นแค่ไม่ฉีกสิ่งของขาด แต่ในด้านอื่นๆ พวกมันก็พอๆ กับฮัสกี

ในเมื่อหมดหนทาง ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงสวมชุดคลุมอาบน้ำออกไป หู่จือและเป้าจือปีนขึ้นมาจากสระว่ายน้ำพร้อมกับก้มหน้ามอง ดูเหมือนพวกมันจะละอายใจเล็กน้อย

ฉินสือโอวจะไม่ถูกการแสดงของพวกมันหลอกได้อีก เขามองดูเจ้าเด็กน้อยทั้งสองด้วยสายตาที่เย็นชาและเมื่อพวกมันปีนขึ้นมาได้ครึ่งทาง เขาก็รีบวิ่งไปและเตะพวกมันลงน้ำทันที จากนั้นก็หัวเราะขึ้นอย่างไม่อาย

ราชาเจ้าป่าซิมบ้า หัวไชเท้าน้อยและพี่น้องเฟอเรทที่อยู่บนฝั่งก็กลับกลับมาด้วยกันและใช้สายตาที่หวาดกลัวจ้องมองไปที่ฉินสือโอว ให้ตายเถอะ มันแย่จริงๆ มีเจ้าของที่ซื่อบื้อแบบนี้ ก็ไม่ยากที่จะเข้าใจว่าทำไมถึงมีแลบราดอร์แบบนี้

เมื่อตัวยังไม่แห้ง ฉินสือโอวจึงไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากสวมเสื้อคลุมอาบน้ำขับเรือออกทะเลเพื่อเอาปลาตัวเล็กๆ กว่าหนึ่งร้อยตัวกลับมา

เมื่อมองดูปลาตัวเล็กชนิดนี้หลังจากขึ้นจากน้ำแล้วก็เห็นได้ชัดว่าพวกมันโปร่งใสขึ้นเรื่อยๆ พอมองใส่กับแสงอาทิตย์แล้ว แทบจะเห็นกระดูกของพวกมันทุกตัวและทำให้รู้ว่ากระดูกของปลาเป็นสีขาว!

แต่แบบนี้ก็ทำให้เห็นว่าปลาตัวเล็กชนิดนี้น่ารักมากเป็นพิเศษ ฉินสือโอวไม่เคยค้นหาตัวตนของพวกมันเจอบนอินเทอร์เน็ตเลย เขาจึงตั้งชื่อให้พวกมันว่าปลาโครงกระดูก…

หลังจากเอาปลาตัวเล็กเหล่านี้ใส่ลงในสระน้ำพุร้อนแล้ว ฉินสือโอวก็ป้อนพลังโพไซดอนให้พวกมันอีกครั้งและให้ความสำคัญกับสภาพความเป็นอยู่ของพวกมันอย่างระมัดระวัง

น้ำในสระน้ำพุร้อนและน้ำทะเลมีความเค็มต่างกัน แรงดันน้ำก็แตกต่างกันเล็กน้อย ปลาตัวเล็กเหล่านี้จึงดูอ่อนโยนและน่ารัก เขากังวลว่าพวกมันจะทนไม่ได้กับการเปลี่ยนแปลงของสิ่งแวดล้อมและตายไป

แต่ธรรมชาติมักจะสร้างความประหลาดใจให้กับผู้คนเสมอ ยิ่งเป็นสายพันธุ์ที่อ่อนโยนมากเท่าไร ความมีชีวิตชีวาก็จะเข้มแข็งมากเท่านั้น อย่างเช่นพยาธิต่างๆ หลังจากเปลี่ยนสภาพแวดล้อมแล้ว ความมีชีวิตชีวาของปลาโครงกระดูกกลับไม่ได้ลดลงเลย พวกมันสามารถว่ายน้ำในสระได้อย่างอิสระ

ฉินสือโอวรู้สึกโล่งใจ เขาจึงกลับไปที่วิลล่าและเห็นว่าเด็กหญิงตัวน้อยกำลังเดินเซไปมาอีกครั้ง ซึ่งตอนนี้เธอเดินอย่างคดเคี้ยวและท่าทางการเดินของเธอก็ดูราบรื่นขึ้นมากแล้ว

เมื่อเห็นลูกสาวกำลังเดินไปมาในบริเวณของตัวเอง ฉินสือโอวจึงไปอุ้มเธอเพื่อไม่ให้เด็กหญิงเดินต่อ

ไม่นานมานี้วินนี่เพิ่งเล่าเรื่องสถานการณ์ของเสี่ยวเถียนกวาให้กับหมอโอดอมฟัง โอดอมบอกเธอว่าเพื่อการเติบโตที่แข็งแรงของเด็กทารก ไม่จำเป็นต้องรีบหัดเดินให้เร็วเกินไป

ลักษณะทางสรีรวิทยาของทารกคือมีคอลลอยด์มากและมีแคลเซียมน้อยในกระดูก ทำให้กระดูกอ่อนและผิดรูปได้ง่าย โดยเฉพาะการพัฒนาของกล้ามเนื้อขาส่วนล่างและกลุ่มกล้ามเนื้อมัดเล็กที่รักษาส่วนโค้งของเท้ายังไม่สมบูรณ์ เมื่อเป็นเช่นนี้ ถ้าเด็กถูกสอนให้เดินก่อนกำหนด น้ำหนักของร่างกายจะเพิ่มภาระให้กับกระดูกสันหลังและขาส่วนล่าง เมื่อเวลาผ่านไปกระดูกสันหลังและขาส่วนล่างจะผิดรูป หลังจะค่อม “ขาฉิ่ง” และ “ ขาโก่ง” จะส่งผลต่อรูปร่างและยังเป็นโรคเท้าแบนได้ง่าย

………………………………………………………….

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท