ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1379 เงินซื้อขายสินค้า

บทที่ 1379 เงินซื้อขายสินค้า

เสี่ยวเถียนกวาชอบการเคลื่อนไหวมากเหมือนกับเด็กๆ ส่วนใหญ่ และความสามารถด้านกีฬาของเธอก็โดดเด่นมาก ไม่รู้ว่าตัวเล็กๆ แค่นี้ไปเอาพลังงานมากมายมาจากไหน เมื่อก่อนตอนที่เธอคลานก็ไม่ได้สนใจอะไร แต่ตอนนี้พอตัวเองเดินได้แล้ว เธอก็แทบจะเดินด้วยตัวเองทุกครั้ง

ฉินสือโอวสังเกตเห็นถึงจุดนี้ ช่วงตอนเย็นจึงไปคุยกับวินนี่สักพักแล้วถามว่าจะต้องพาเด็กหญิงตัวน้อยไปโรงพยาบาลเด็กดูไหม วินนี่จึงพูดอย่างไม่แน่ใจว่า “ไม่ต้องหรอก ชอบออกกำลังกายเป็นเรื่องที่ดี หมอโอโดมบอกว่าขอแค่อย่าทำให้พัฒนาการกระดูกของเธอมีปัญหาก็จะพอแล้ว เพราะมันจะส่งผลต่อการเจริญเติบโตของเธอ”

ในเมื่อวินนี่พูดเช่นนั้น ฉินสือโอวก็รู้สึกโล่งใจ เขาเปิดโทรทัศน์ดูข่าว ทันใดนั้นก็มีการรายงานข่าวข่าวหนึ่งที่ดึงดูดความสนใจเขา บริษัทบอมบาร์เดียร์เรียกประชุมไต่สวนผู้ถือหุ้นที่สำนักงานใหญ่ในมอนทรีออลและประกาศว่า บริษัทจะปลดพนักงานประมาณหนึ่งพันเจ็ดร้อยห้าสิบคนในอีกไม่กี่เดือนข้างหน้า

ตามการรายงานข่าว ตำแหน่งงานชุดนี้ที่วางแผนจะยกเลิกมีประมาณหนึ่งตำแหน่งซึ่งเป็นคนที่มาจากมอนทรีออล ส่วนอีกสี่ร้อยแปดสิบตำแหน่งมาจากโทรอนโตและสองร้อยแปดสิบตำแหน่งอยู่ที่ไอร์แลนด์เหนือ ซึ่งการได้รับผลกระทบจากการปลดพนักงานในครั้งนี้ มีทั้งสมาชิกสหภาพแรงงานและสมาชิกที่ไม่ใช่สหภาพแรงงาน นอกจากนี้ยังมีพนักงานที่เซ็นต์สัญญาอีกด้วย!

“ตามการรายงานข่าวและการคาดการณ์ของผู้เชี่ยวชาญของสถานีโทรทัศน์ช่องนี้กล่าวว่า การปลดพนักงานของบริษัทบอมบาร์เดียร์ จะเริ่มในเดือนมิถุนายนของปีนี้และจะยาวไปจนถึงไตรมาสแรกของปี 2016…” พิธีกรประกาศข่าวพูดด้วยน้ำเสียงที่หนักแน่น

วินนี่ทั้งดูข่าวไปด้วยทั้งแกล้งลูกสาวไปด้วย เธอถอนหายใจและพูดว่า “โอ้พระเจ้า บริษัทบอมบาร์เดียร์เริ่มปลดพนักงานแล้วเหรอ? ยิ่งไปกว่านั้นผู้คนจำนวนมากต้องถูกปลดออกจากงาน เศรษฐกิจของแคนาดากำลังประสบปัญหาอย่างแท้จริง”

แม้ว่าบริษัทบอมบาร์เดียร์จะไม่ใช่บริษัทที่ใหญ่ที่สุดในแคนาดา แต่เนื่องด้วยคุณสมบัติของบริษัทอุตสาหกรรมการก่อสร้างประเภทนี้จึงสามารถจัดหาตำแหน่งงานได้ดีที่สุด ดังนั้นเมื่อพวกเขาเริ่มปลดพนักงานออก นั่นก็แสดงให้เห็นว่าสถานการณ์ทางเศรษฐกิจค่อนข้างแย่แล้ว

ฉินสือโอวนึกถึงคำพูดของจอร์จที่เคยบอกไว้ในตอนแรกว่า จริงๆ แล้ว ตอนนี้เป็นโอกาสดีที่จะเข้าสู่บริษัทบอมบาร์เดียร์ แม้ว่าจะไม่ใช่บริษัทที่ถือหุ้น แต่ก็ยังดีที่สามารถมีส่วนร่วมในการร่วมมือกับรัฐบาล

เมื่อนึกขึ้นได้ เขาจึงโทรศัพท์หาแบรนดอนและถามว่า “แร่ทองคำมีการจัดการเป็นอย่างไรบ้าง?”

แบรนดอนพูดอย่างกลุ้มใจว่า “มันไม่ง่ายอย่างนั้นหรอก นายต้องรอสักพักหนึ่งเลย ตอนนี้ทองคำเพิ่งถูกกลั่นออกมาปริมาณมากถึงสิบสองตัน ให้ตายเถอะ นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันต้องจัดการกับทองคำมากมายขนาดนี้!”

“แล้วจะจัดการเสร็จเร็วที่สุดเมื่อไร?” ฉินสือโอวกล่าว

เมื่อได้ยินน้ำเสียงที่ค่อนข้างรีบร้อนของเขา แบรนดอนก็ถามว่า “นายรีบใช้เหรอ? นี่เป็นครั้งแรกที่ฉันได้ยินนายพูดเรื่องเงินด้วยน้ำเสียงแบบนี้”

สำหรับคนเหล่านี้ไม่มีอะไรต้องปิดบัง ฉินสือโอวจึงพูดตามความเป็นจริงไปว่า “ใช่ ฉันวางแผนว่าช่วงระยะเวลาใกล้ๆ นี้จะลงทุนกับบริษัทอุตสาหกรรม แต่ตอนนี้ฉันมีเงินติดตัวไม่มากพอ”

แบรนดอนได้ยินเช่นนั้นก็เริ่มสนใจขึ้นมาทันทีและถามว่า “บริษัทอะไร?”

ฉินสือโอวจึงอธิบายสถานการณ์ของบริษัทบอมบาร์เดียร์ แบรนดอนพูดว่า “ในเมื่อเป็นอย่างนั้น ทำไมนายต้องรอทองล็อตนี้ล่ะ? ทำไมต้องเอาเงินตัวเองออก? ตอนนี้นายเป็นเจ้าของฟาร์มปลาขนาดใหญ่ นี่นายเป็นเจ้าฟาร์มปลารายใหญ่เลยนะ ถ้าฉันเป็นนาย ฉันจะกู้เงินจากธนาคาร!”

เมื่อได้ยินแบบนั้น หัวใจของฉินสือโอวก็กระจ่างขึ้นทันที เขาลูบหน้าผากไปมา เพราะเขาไม่เคยกู้ยืมเงินมาก่อนเลย เขาลืมเรื่องนี้ไปแล้ว ใช่สิ เขาสามารถใช้เงินธนาคารมาบริหารเองก่อนได้

แบรนดอนทำเรื่องนี้โดยเฉพาะ ฉินสือโอวถามเขาว่าตัวเองสามารถให้ยืมเงินได้เท่าไร แบรนดอนว่า “นายสามารถยืมได้อย่างน้อยห้าร้อยล้าน ถ้านายไม่ต้องการดอกเบี้ยสูง นายสามารถเพิ่มได้อีกห้าร้อยล้าน!”

จำนวนเงินทั้งสองนี้ทำให้เขาตกตะลึงมากและเขาก็ถามกลับว่า “พระเจ้า ฉันสามารถยืมหนึ่งพันล้านในตอนนี้ได้ไหม?!”

“ปกติแล้วไม่สามารถทำได้ ถ้าเพิ่มฟาร์มปลาและยานพาหนะของนายเข้าไปก็สามารถยืมได้เพียงสี่ร้อยถึงห้าร้อยล้าน ดอลลาร์แคนาดา แต่ก็มีฉันไม่ใช่เหรอ? ฉันช่วยนายหาวิธีเพื่อให้ได้เงินถึงหนึ่งพันล้านได้อย่างไม่มีปัญหา” แบรนดอนกล่าว

ฉินสือโอวฮึกเหิมขึ้นมาทันที ถ้าเขาสามารถได้เงินหนึ่งพันล้านได้ ก็จะสามารถมีความสัมพันธ์แบบไตรภาคีกับบริษัทบอมบาร์เดียร์และรัฐบาลควิเบกที่เป็นตัวแทนของฌับลี ในอนาคตผลกำไรของเขาจะยิ่งมากขึ้นเป็นธรรมดา

แล้วการคืนเงินล่ะ? ความน่าจะเป็นไปได้น่าจะมีไม่มาก รัฐบาลควิเบกจะช่วยเขาหาวิธีหลีกเลี่ยงความเป็นไปได้ที่จะขาดทุน ภายใต้สถานการณ์ปัจจุบัน ถ้ารัฐบาลควิเบกขาดทุนแปดร้อนล้านดอลลาร์แคนาดาในทันที การประชุมรัฐทั้งหมดจะต้องถูกยุบ

ด้วยการรับประกันของแบรนดอน ทำให้ฉินสือโอวมีแผนในใจ แบรนดอนถามเขาว่าต้องการเงินกู้จริงๆ ใช่ไหม ฉินสือโอวได้ตัดสินใจอย่างแน่ชัดแล้วว่าจะให้เขาช่วยยืมเงินห้าร้อยล้านดอลลาร์แคนาดามาให้ก่อน

แบรนดอนบอกว่าไม่มีปัญหา ดังนั้นเรื่องนี้จึงตกลงกันแบบนี้

ฉินสือโอววางสายโทรศัพท์และรู้สึกว่าเลือดในตัวของเขากำลังเริ่มเดือดพล่านขึ้น เขาคิดว่าตัวเองไม่มีเงินแล้ว แต่ตอนนี้ดูเหมือนจะไม่เป็นเช่นนั้น การบูชาเงินของผู้คนได้ฝังลึกเข้าไปในกระดูกดำแล้ว

จากนั้นไม่นาน เหมาเหว่ยหลงก็โทรศัพท์มาและวิดีโอแชทพูดคุยกับเขา เขากำลังมีปาร์ตี้บาร์บีคิวและบนกองไฟก็มีแกะทั้งตัวย่างอยู่ พวกเขาจึงกวักมือเรียกเขาไปกินแกะย่าง

ฉินสือโอวเห็นพวกเขากำลังเพลิดเพลินกันอย่างมีความสุข จู่ๆ ก็รู้สึกว่าตัวเองถูกทิ้ง จึงชูนิ้วกลางขึ้นใส่และพูดว่า “กินเถอะๆ ตอนนี้โรคไข้คิวกำลังระบาดในแคนาดาพวกแกควรระวังเรื่องนี้ให้มากและอย่าให้ตัวเองหนักถึงแปดสิบหรือหนึ่งร้อยกิโลกรัมด้วย”

เฉินเหลยตะโกนว่า “เฮ้ ฉินนายกำลังด่าพวกเราอยู่นะ”

ฉินสือโอวยิ้มอย่างอิ่มอกอิ่มใจและพูดว่า “ใช่ ฉันด่าพวกนาย พวกนายจะทำอะไรฉันได้?”

คนพวกนั้นไม่ได้ทะเลาะกับเขา แต่กลับมาคุยกันใกล้ๆ ด้วยน้ำเสียงเบา ๆ ซ่งจวินเหมยโบกมือให้ฉินสือโอวและมองเขาด้วยสายตาเห็นอกเห็นใจและพูดว่า “ฉิน โน จั้ว โน ดาย วาย ยู ไทร?”

ฉินสือโอวไม่รู้ว่าเขากำลังพูดถึงอะไร บังเอิญวินนี่กำลังเล่นอินเทอร์เน็ตอยู่พอดีก็เงยหน้าขึ้นด้วยความประหลาดใจและพูดว่า “โคโกโร่ส่งวิดีโอมาให้ฉัน ในนั้นมันคืออะไร?”

เมื่อเป็นแบบนี้ ฉินสือโอวจึงรู้สึกลางสังหรณ์ไม่ดี จากนั้นก็รีบพูดอย่างรวดเร็วว่า “ลบทิ้งไปเลย เจ้านั่นจะส่งอะไรดีๆ ให้นายได้อย่างไรล่ะ? เดาว่าคงต้องการจะแกล้งเรา อย่าหลงกลนะ รีบลบทิ้งเลย”

วินนี่มองเขาด้วยสีหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ก็ไม่ยิ้มและพูดว่า “คุณดูเหมือนจะกังวลนะ”

ฉินสือโอวยิ้มแห้งและพูดว่า “ผมกังวลอะไรกัน? ผมก็แค่รู้สึกว่าตัวเองไม่สบายใจ”

เมื่อวินนี่เปิดวิดีโอ ก็มีเสียงร้องของผีและหมาป่าดังขึ้น ฉินสือโอวมองไม่เห็นว่าในนั้นคืออะไร จึงพูดได้แค่ว่า “คุณดูสิ ผมพูดไม่ผิดใช่ไหมล่ะ? โคโกโร่ไม่เคยทำเรื่องดีๆ หรอก”

วินนี่ยังคงดูต่อไป จากนั้นเธอก็สวมหูฟัง เธอทั้งดูวิดีโอทั้งเหลือบมองฉินสือโอวไปด้วย

ฉินสือโอวเข้าไปดูใกล้ๆ ว่าในนั้นคืออะไร สีหน้าของวินนี่ก็เคร่งเครียดและให้เขานั่งตรงหน้า จากนั้นก็กัดฟันแล้วพูดว่า “ให้ฉันดูจบก่อน แล้วฉันจะคิดบัญชีกับคุณ!”

ฉินสือโอวรู้สึกว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด จึงพูดว่า “คิดบัญชีอะไรกับผม? คุณไม่รู้จักผมดีเลยนะ?”

วินนี่หัวเราะเยาะพลางถอดหูฟังออกแล้วถามว่า “เซี่ยจือหลินคือใคร?”

เมื่อได้ยินชื่อนี้ ฉินสือโอวก็รู้สึกว่าท่าไม่ดีแล้ว เขาจึงยกนิ้วขึ้นและพูดว่า “ที่รัก ผมกล้าสาบานต่อพระเจ้าได้เลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับเซี่ยจือหลินไม่มีอะไรเกินเลยแน่นอน!”

หลังจากแบบนั้น รอยยิ้มของวินนี่ก็สวยหยาดเยิ้มมากขึ้น

……………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท