ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1391 คุณคือสิงโตตัวน้อย

บทที่ 1391 คุณคือสิงโตตัวน้อย

ฉินสือโอวยังวางโคมไฟฟักทองไว้ที่ทางเข้าฟาร์มปลาและทางเข้าของวิลล่า ก่อนหน้านี้พวกเด็กๆ ทำโคมไฟมากกว่ายี่สิบอัน ฟักทองถูกขวักเอาเนื้อออกและส่วนด้านนอกก็จะมีรู หลังจากจุดเทียนไว้ข้างใน พอตกกลางคืนก็จะดูเหมือนสัตว์ประหลาดกำลังแสยะยิ้มอยู่จริงๆ

พ่อฉินและแม่ฉินจึงมองดูอย่างสงสัยและพูดว่า “คนแคนาดานี่แปลกจริงๆ พวกเขาไม่กลัวผีกันเหรอ? คิดไม่ถึงว่าเทศกาลผีที่นี่มีอะไรแปลกๆ มากมายเลย ไม่กลัวว่าจะเรียกผีมาจริงๆ เหรอ?”

ฉินสือโอวจึงตอบว่า “พวกเขาก็กลัวผีเหมือนกัน แต่นี่เป็นเทศกาล พวกเขาไม่เชื่อว่าจะเจอผีจริงๆ ในวันนี้หรอก ขอแค่ไม่เจอผี แล้วจะกลัวอะไร?”

ในช่วงเย็น เด็กวัยรุ่นกลุ่มหนึ่งรีบพุ่งไปที่ฟาร์มปลาราวกับสายลม พวกเขาแต่งตัวแตกต่างกัน โดยสวมหน้ากากที่วาดด้วยสีสำหรับทาหน้า หลังจากพวกเขาก็วิ่งมาถึงประตูวิลล่าและเริ่มเคาะประตูก๊อกๆ พร้อมกับตะโกนว่า “ทริกออร์ทรีต! ทริกออร์ทรีต! ทริกออร์ทรีต!”

ทริกออร์ทรีตหมายถึงการก่อความวุ่นวายเมื่อไม่มอบลูกอมให้ สโลแกนที่เด็กๆ พากันตะโกนออกมาในคืนวันฮาโลวีนเป็นวิวัฒนาการจากประเพณีการพูดต่อกันมาในแต่ละช่วง อันที่จริงเด็กๆ ในปัจจุบันไม่ใช่ว่าไม่มีลูกอม พวกเขาแค่พูดเพื่อความสนุกสนานเท่านั้น

ฟาร์มปลาจัดเตรียมลูกอมไว้จำนวนหนึ่ง ฉินสือโอวจับมันยัดใส่ให้พวกเขา เด็กวัยรุ่นที่สวมหน้ากากเป็นสไปเดอร์แมนคนหนึ่งก็ยกหน้ากากขึ้นอย่างผิดหวังและพูดว่า “ฉิน ทำไมคุณถึงเตรียมลูกอมล่ะ?”

ฉินสือโอวจึงเห็นว่าเป็นชาร์คน้อยและพูดว่า “นายทำตัวละครที่ไม่สร้างสรรค์แบบนี้ได้อย่างไร? สไปเดอร์แมนหมายความว่าอะไร?”

ซีมอนสเตอร์น้อยจึงยกหน้ากากขึ้นแสดงใบหน้าเช่นกัน จากนั้นก็ตะโกนว่า “เชอร์ลี่ย์ กอร์ดอนรีบออกมาเถอะ พวกเราไปในเมืองด้วยกัน”

มีเสียงฝีเท้าวุ่นวายดังขึ้นที่บันได เด็กวัยรุ่นทั้งสี่ก็วิ่งลงมา เชอร์ลี่ย์สวมหมวกพระ สวมเสื้อคลุมพระสีแดงเหลืองและถือไม้เท้ายาวไว้ในมือ เธอแต่งตัวเป็นผู้ชาย ม้วนผมยาวขึ้น โกนคิ้วและดวงตาดูแข็งกร้าว ดูแล้วเต็มไปด้วยจิตวิญญาณแห่งความกล้าหาญทั้งหล่อดูดีและยังมีลักษณะอันสง่างามของพระถังซำจั๋ง

กอร์ดอนแต่งตัวเป็นซุนหงอคง แบกห่วงสีทองไว้บนบ่า พาวลิสเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ จึงแต่งตัวเป็นซัวเจ๋ง มีเคราดำอยู่ใต้คางและห้อยโครงกระดูกหนาๆ ที่เหมือนกับลูกประคำไว้ที่คอ ดูแล้วเขาทรงพลังมากที่สุด

มิเชลแบกคราดตะปูเก้าซี่เดินตามหลังมาติดๆ ด้วยสีหน้าที่บึ้งตึง เขาแต่งตัวน่าสมเพชมากที่สุด มีหูหมู จมูกหมูและมีพลาสติกคลุมท้อง ซึ่งดูเหมือนกับเต่ามะเฟืองตัวหนึ่งกำลังนอนอยู่บนท้องของเขา

เมื่อเห็นเหตุการณ์นี้ ชาร์คน้อยและพรรคพวกก็หัวเราะเสียงดังขึ้นและชี้ไปที่มิเชลแล้วพูดว่า “นายเป็นหมูเหรอ?”

มิเชลชูคราดฟันตะปูเก้าซี่ใส่แล้วพูดว่า “หุบปากซะชาร์ค! ตามกฎของวันฮาโลวีน ใครก็ตามที่หัวเราะเยาะชุดของคนอื่นจะต้องถูกวิญญาณชั่วร้ายครอบงำอย่างแน่นอน!”

ชาร์คพูดอย่างเหยียดหยามว่า “ถ้าอย่างนั้นก็ให้ผีมาหลอกฉันเลยสิ กลัวซะที่ไหน? ใช่สิ นายยังไม่ได้ตอบเลยว่านายเป็นหมูหรือเปล่า?”

มิเชลหันคราดกลับมาและตะโกนว่า “หุบปาก ถ้านายยังพล่ามไม่หยุด ฉันจะเอาคราดนี่แทงนายจนเป็นรูเลย”

ชาร์คน้อยโบกมือไปมาและเชือกสีขาวเส้นหนึ่งก็ออกมาจากแขนเสื้อของเขา มิเชลจึงออกห่างจากเขาได้เพียงสองหรือสามเมตรและถูกยิงเข้าที่หน้า

“ยิ่งมีความสามารถมากเท่าไร ความรับผิดชอบก็ยิ่งมากขึ้นเท่านั้น!” ในขณะที่ชาร์คน้อยตะโกนดังลั่น กอร์ดอนก็ใช้ข้อศอกชนกับแขนของมิเชลอย่างสะใจและพูดว่า “น้องชาย นายโดนเขาโจมตีแล้ว นายมันน่าสมเพชเกินไปแล้วจริงๆ”

มิเชลฉีกเชือกเหนียวๆ ด้วยความไม่พอใจจนขาดแล้วพูดอย่างไม่พอใจว่า “ฟังนะกอร์ดอน นายมันก็แค่คนงี่เง่าคนหนึ่งที่ไม่ควรแต่งตัวเป็นซุนหงอคงและฉันก็ต้องมาทนทุกข์กับนาย! ตอนนี้นายต้องแก้แค้นให้ฉัน ไม่อย่างนั้นฉันจะไม่เล่นด้วย!”

กอร์ดอนรีบโบกมืออย่างรีบร้อนและพูดว่า “ใจเย็นน้องชาย นายต้องใจเย็น ทำไมถึงไม่เล่นล่ะ? ตอนนี้นายหล่อมากเลยนะ เอาล่ะ ไม่ต้องกังวล ฉันจะแก้แค้นให้นายเอง!”

เมื่อพูดจบ เขาหันกลับไปวิ่งเป็นวงกลมและชูกระบองพลาสติกสีทองขึ้นแล้วตะโกนว่า “สิ่งชั่วร้ายภายใต้ท้องนภาอันกว้างใหญ่!”

ทั้งสี่คนต่างมีอาวุธอยู่ในมือ ชาร์คน้อยและคนอื่นๆ ไม่มี ดังนั้นชาร์คน้อยและพรรคพวกที่ติดตามทั้งสี่คนจึงตื่นตระหนกตกใจและแตกกระเจิงกันเข้าไปในตัวเมือง

จากนั้นไวส์จึงรีบวิ่งออกมา ชุดของเขาเรียบง่ายมาก ท่อนบนของเขาเปลือย ส่วนท่อนล่างเป็นกางเกงขายาวและรองเท้าส้นแบน ที่ด้านซ้ายของเอวใช้ลิปสติกสีแดงวาดรอยแผลสองสามจุด หลังจากที่เขาออกมาเขาก็ร้องตะโกนว่า ‘อะๆๆๆ’ เขาตะโกนสองสามครั้งและมองไปรอบๆ อย่างงุนงงและถามว่า “อาจารย์ กอร์ดอนกับคนอื่นๆ ล่ะครับ?”

ฉินสือโอวชี้ไปที่ตัวเมืองพร้อมพูดว่า “พวกเขาหายไปแล้ว”

ไวส์จึงรีบวิ่งไปอย่างรวดเร็ว ทั้งวิ่งทั้งโกรธไปด้วย “เป็นเพื่อนที่ไม่น่าไว้วางใจจริงๆ ผมบอกให้พวกเขารอผมด้วยแท้ๆ…”

ฉินสือโอวเรียกเขาและพูดว่า “ข้างนอกหนาวขนาดนี้ นายจะใส่แบบนั้นเหรอ? ไม่ได้ ต้องจะกลับไปใส่เสื้อผ้าหนาๆ นะ!”

ไวส์ปฏิเสธว่า “ไม่ครับอาจารย์ คุณดูไม่ออกเหรอว่าผมเป็นใคร?”

ฉินสือโอวพูดอย่างจนปัญญาว่า “ฉันรู้จัก บรูซ ลี หลี่เสี่ยวหลงใช่ไหม? แต่ต่อให้จะเป็นหลี่เสี่ยวหลงจริงๆ ก็ตาม อากาศแบบนี้เขาคงไม่ปลือยท่านบนออกไปอยู่ข้างนอกหรอก!”

วินนี่หยิบเสื้อกันลมของฉินสือโอวออกมาแล้วสวมให้เขาพร้อมกับจัดแต่งแขนเสื้อให้ จากนั้นมัดดาบไม้ลูกท้อไว้ที่หลังของเขาและพูดว่า “ดูสิ ตอนนี้นายก็ไม่ได้กลายเป็นหยางกั้วจอมยุทธคู่อินทรีเทพยดาแล้วเหรอ?”

เมื่อไวส์ได้ยินเช่นนั้นดวงตาของเขาก็เป็นประกายขึ้นมาทันทีและเขามองไปที่ฉินสือโอวแล้วพูดว่า “แล้วนกอินทรีของผมล่ะครับ?”

ฉินสือโอวกลอกตาไปมาและพูดว่า “นายตัวเล็กแบบนี้จะไปเอานกอินทรีมาจากไหน? นายมีนกน้อยเพียงแค่ตัวเดียวเท่านั้นแหละ!”

วินนี่ตีเขา ไวส์ไม่เข้าใจที่เขาพูด แต่เธอกลับเข้าใจ จึงผิวปากเรียกแคลร์มา วินนี่จึงเอามันให้ไวส์และพูดว่า “ดูสิ จะไม่มีนกอินทรีได้อย่างไร? รีบไปเล่นเถอะ แต่ห้ามถอดเสื้อผ้านะ!”

ไวส์วิ่งออกไปพร้อมกับกอดแคลร์ไว้อย่างมีความสุขและพูดว่า “ไม่ถอดเสื้อผ้าแน่นอนครับ!”

ฉินสือโอวมองไปที่วินนี่พร้อมรอยยิ้มแล้วพูดว่า “คุณไม่ไปเปลี่ยนเหรอ? ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องเปลี่ยนก่อน”

วินนี่ยิ้มอย่างมีเสน่ห์พร้อมกับแลบลิ้นเลียริมฝีปากแล้วพูดว่า “เราเปลี่ยนด้วยกันไม่ดีกว่าเหรอคะ?”

ฉินสือโอวหัวเราะแหะแหะและแอบบีบสะโพกของเธอแล้วพูดว่า “คุณนี่สวยจริงๆ เลยนะ”

หลังจากเข้าไปในห้องแล้ว ฉินสือโอวก็หัวเราะแทบไม่ออก เขามองไปที่ของที่วินนี่ยื่นมาให้และถามว่า “นี่มันอะไรกัน? ให้ตายเถอะ เราจะไปแสดงถล่มสิงโตคำรามกันเหรอ?”

วินนี่ถักผมเปียสองข้างแล้ววางไว้ที่ไหล่ซ้ายและขวา จากนั้นสวมกระโปรงแม่บ้านสีฟ้าอ่อนและเสื้อเชิ้ตสีขาวแล้วพูดว่า “ไม่ใช่ ‘ถล่มสิงโตคำราม’ มันคือ ‘พ่อมดมหัศจรรย์แห่งเมืองออซ’ ฉันคือโดโรธี ส่วนคุณคือสิงโตตัวน้อยผู้น่ารัก ไม่ดีเหรอคะ?”

‘พ่อมดมหัศจรรย์แห่งเมืองออซ’ เป็นนิทานสำหรับเด็กที่มีชื่อเสียงที่สุดเรื่องหนึ่งในประวัติศาสตร์อเมริกา เล่ากันว่าโดโรธีเด็กหญิงตัวเล็กๆ จากแคนซัสถูกพายุทอร์นาโดพัดเข้าสู่โลกมหัศจรรย์และในที่สุดก็กลับบ้านอย่างปลอดภัยหลังจากได้พบกับการผจญภัยใน ‘เมืองออซ’

หนึ่งในนั้น โดโรธีจะเป็นตัวเอก เป็นหญิงสาวที่น่ารักและจริงใจแล้วสิงโตตัวน้อยล่ะ? ฉินสือโอวไม่สนใจว่าสิงโตตัวน้อยจะเป็นอย่างไร เพราะเขาไม่ได้ต้องการเป็นสัตว์ร้าย!

……………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท