ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1392 ค่ำคืนที่สนุกสุดเหวี่ยง

บทที่ 1392 ค่ำคืนที่สนุกสุดเหวี่ยง

ฉินสือโอวพูดอย่างหนักแน่นว่า “ผมจะไม่เป็นสิงโตตัวน้อยเด็ดขาด ผมมีตัวแสดงของตัวเองแล้ว”

“คืออะไรคะ?” วินนี่ถามพร้อมรอยยิ้ม

ฉินสือโอวเอาชุดที่ตัวเองซื้อออกมาพร้อมกับโล่ป้องกันและกระบี่สั้น “นักรบสปาร์ตา! ฮ่าฮ่า!”

เขาเป็นผู้เชิดชูสุนทรียะแห่งความรุนแรง ภาพยนตร์เรื่อง ‘สามร้อยขุนศึกพันธุ์สะท้านโลก’ เคยทำให้เขาเลือดร้อนจนเขาอยากเป็นนักรบเหมือนพระเจ้าลีออนิดัสราชาแห่งสปาร์ตา ในที่สุดเขาก็คว้าโอกาสนี้แต่งคอสเพลย์เป็นตัวละครนี้

“หนาวขนาดนี้ คุณยังอยากใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นเหรอคะ? ไม่ได้ ถ้าคุณเป็นหวัดขึ้นมาจะทำอย่างไร? คุณลืมไปเหรอว่าปีที่แล้วคุณก็เป็นหวัดก่อนที่ฉันจะมีลูกแล้วก็ต้องให้ฉันไปอยู่ที่บ้านของคุณลุงฮิคสัน” วินนี่กล่าว

ฉินสือโอวพูดอย่างไม่พอใจว่า “นั่นก็ไม่ได้เกิดจากการใส่เสื้อผ้าน้อยชิ้นสักหน่อย สมรรถภาพทางกายของผมดีมากอยู่แล้ว ผมวิ่งเช้าเย็นทุกวัน ยังจะให้ผมใส่เสื้อคลุมหนาๆ อีกเหรอ”

วินนี่เข้ามากอดเขาแล้วพูดว่า “คนดี ใส่ชุดสิงโตนี้เถอะ มันจะทำให้คุณอบอุ่นมากนะ”

ฉินสือโอวส่ายหัวและพูดว่า “ไม่ได้จริงๆ ที่รัก ผมและชาร์คเรานัดกันไว้แล้วว่าคืนนี้พวกเราจะเป็นนักรบสปาร์ตา!”

วินนี่ส่ายหัวไปมาและใช้มือลูบวนที่หน้าอกของเขาแล้วพูดด้วยสายตาที่แสดงถึงความรู้สึกรักใคร่ว่า “หรือว่าคุณไม่เข้าใจความหมายของชุดของฉันเหรอคะ? คืนนี้กลับบ้านไปเราจะได้เป็นโฉมงามกับเจ้าชายอสูรไง”

เมื่อนึกถึงเหตุการณ์นี้ ฉินสือโอวถึงกับกลืนน้ำลายถ้าเป็นอย่างนั้นก็คงพอได้

วินนี่พูดต่อว่า “ปีหน้าคุณจะตัดสินใจแล้วหรือยัง? อันที่จริงเดิมทีปีนี้ฉันอยากจะแสดงเป็นนางพญางูขาว คุณก็แสดงเป็นสวี่เซียน แต่ฉันหาซื้อเสื้อผ้าไม่ได้ ดังนั้นจึงทำได้เพียงแสดงเรื่องนี้เท่านั้น”

ฉินสือโอวไม่มีทางเลือกอื่น นอกจากต้องยอมรับสิ่งที่วินนี่พูด เมื่อเขาได้เห็นภรรยาแสนไร้เดียงสา…

ในพ่อมดมหัศจรรย์แห่งออซ นอกจากสิงโตตัวน้อยที่เป็นเพื่อนตัวน้อยของโดโรธีแล้ว ยังมีหุ่นไล่กาอีกด้วย

ฉินสือโอวครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง ก็รู้สึกว่าแม้ว่าสิงโตตัวน้อยจะไม่เหมาะกับภาพลักษณ์ที่สูงส่งและสง่างามของเขาสักเท่าไร แต่ถ้าทำให้วินนี่แล้วให้ไปอยู่บนหญ้าแทน นั่นจะยิ่งน่าสมเพชมากกว่า

เมื่อเขาสวมชุดสิงโตเดินลงไปข้างล่าง พ่อฉินก็หัวเราะชอบใจและพูดว่า “โอ้ ไอ้ลูกชาย แกจะไปเป็นเล่นสิงโตเหรอ?”

ฉินสือโอวเดินออกจากประตูอย่างหดหู่ และข้างๆ โคมไฟฟักทองอันสลัวข้างๆ มีหัวที่เปื้อนเลือดก็ขยับไปมาอย่างรุนแรง ทำให้เขากระโดดและร้องตะโกนว่า “ให้ตายเถอะ!”

เสียงของเออร์บักดังขึ้น “เป็นอะไรไปฉิน นายกลัวฉันเหรอ?”

ฉินสือโอวชี้ไปที่เขาและพูดว่า “ปู่อะ อะ อะเออร์? ทำไมถึงแต่งตัวแบบนี้ล่ะ?”

เออร์บักหัวเราะแหะแหะแล้วพูดว่า “แบบนี้ไม่ดีเหรอ? ซอมบี้ไง กำลังนิยมแต่งแบบนี้กันมากในตอนนี้เลยนะ”

ฉินสือโอวก็หัวเราะ ปู่นี่เข้าใจเล่นจริงๆ เลย ทำตัวเป็นเด็กไปได้ แก่แล้วยังแต่งตัวแบบนี้อีก?

เขาขับรถไปในเมือง ขณะนี้ถนนในเมืองเต็มไปด้วยโคมไฟฟักทองและผีต่างๆ ในชุดแปลกๆ กำลังกวัดแกว่งไปมา

ฉินสือโอวหยุดรถ ชายกลุ่มหนึ่งสวมผ้าคลุมสีแดงมือซ้ายถือโล่และมือขวาถือดาบสั้นเข้าล้อมรอบเขา

“เพื่ออิสรภาพ! เพื่อเกียรติยศ! บุก! นักรบของข้า! ตายซะพวกเปอร์เซีย!” ฉินสือโอวร้องตะโกน

ชาร์ตและคนอื่นๆ ก็เข้ามารวมตัวกันรอบๆ และมองเขาอย่างเย็นชา “พระเจ้าลีออนิดัส คุณใส่ขนสิงโตมาหมายความว่าอย่างไร?”

วินนี่ผลักประตูรถออกมาและพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชายิ่งกว่าว่า “เหล่าทหาร พวกนายมาล้อมรอบสิงโตของฉันไว้หมายความว่าอะไร?”

เมื่อเห็นวินนี่ ชาวประมงและทหารก็โศกเศร้ากันทันที แบล็คไนฟ์พูดว่า “ไปกันเถอะ พระเจ้าลีออนิดัสทรยศต่อความศรัทธาของเขา! ปล่อยให้เราไปรับมือกับพวกเปอร์เซียกันเอง!”

“เฮ้เฮ้! พระเจ้าลีออนิดัสไปตายซะ!”

“เฮ้เฮ้! หนาวจะตายแล้ว ใครสาดน้ำ?!”

“ใช่ ใครสาดน้ำวะ? รนหาที่ตายเหรอ?”

ชายหนุ่มคนหนึ่งสวมชุดเกล็ดปลาสีทองและกางเกงขายาวสีเขียวกลอกตาไปมาพร้อมพูดว่า “ฉันคืออะควาแมน ทำไมฉันจะสาดน้ำไม่ได้ล่ะ?”

ฉินสือโอวและวินนี่ที่เดินอยู่บนถนน ก็รู้สึกเหมือนกับว่าตัวเองกำลังข้ามผ่านอะไรบางอย่างไป ซอมบี้กระหายเลือดกำลังเผชิญหน้ากับเขา ฉินสือโอวจึงทักทายว่า “เฮ้ ปู่เออร์ คุณเดินได้ค่อนข้างเร็วนะ”

ซอมบี้ตัวนั้นกะพริบตาและพูดว่า “ไม่ฉิน ผมคือแซนเดอร์ส ไม่ใช่เออร์บัก”

“ให้ตายสิ!” ฉินสือโอวแทบจะพูดอะไรไม่ออก

จากนั้นกัปตันอเมริกาและวูล์ฟเวอรีนก็เดินเข้ามา ในขณะที่เดินวูล์ฟเวอรีนก็ลูบแขนไปด้วยแล้วบ่นว่า “มันหนาวเกินไปแล้ว คุณเอาโล่ที่หลังให้ผมเถอะ มันป้องกันลมหนาวที่พัดมาจากด้านหลังได้”

มนุษย์หมาป่ากลุ่มหนึ่งก็ผลักออกจากกันและดันตัวเองเดินเข้ามาจากข้างหลัง คนที่เป็นหัวหน้าก็พูดอย่างพึงพอใจว่า “ดูสิ ฉันบอกแล้วว่าเราควรซื้อเสื้อผ้ามนุษย์หมาป่าตั้งแต่แรก มันอุ่นมากใช่ไหมล่ะ? และเรายังสามารถสลับกันใช้ในปาร์ตี้พระจันทร์สีเลือดกับวันฮาโลวีนได้อีกด้วย มันมีประโยชน์มากใช่ไหมล่ะ?”

ฉินสือโอวฟังออกว่าเป็นเสียงของฮิวจ์คนน้อง จึงทักทายว่า “เฮ้ มนุษย์หมาป่า ไปดื่มด้วยกันสักแก้วไหม?”

ฮิวจ์คนน้องมองเขาด้วยความประหลาดใจและสังเกตเขาอย่างละเอียดสักพักแล้วถามอย่างสงสัยว่า “นายคือฉินเหรอ? ให้ตายเถอะ นายนี่เอาเรื่องจริงๆ นี่คือมนุษย์สิงโตใช่ไหม?”

มนุษย์สิงโตเป็นเกมแฟมิคอม ที่ไม่เป็นที่รู้จัก ดังนั้นหัวขโมยอย่างฮิวจ์คนน้องที่เล่นเกมนี้เป็นจึงจำสิ่งนี้ได้

ฉินสือโอวพยักหน้ายอมแพ้ ฮิวจ์คนน้องจึงมองไปที่ วินนี่ที่อยู่ข้างๆ ทันใดนั้นก็หัวเราะขึ้น “นายพยักหัวนกเหรอ? นายเป็นมนุษย์สิงโตที่กลัวเสียงนกใน ‘พ่อมดมหัศจรรย์แห่งเมืองออซ’ ใช่ไหม?”

ฉินสือโอวพูดอย่างไม่พอใจว่า “ใช่แล้วพวกฮัสกี แล้วพวกนายมีความคิดเห็นอย่างไร?”

หนุ่มสาวที่อยู่รอบๆ ฮิวจ์คนน้องจึงพูดอย่างภาคภูมิใจว่า “พวกเราเป็นมนุษย์หมาป่า ไม่ใช่ฮัสกี!”

ฉินสือโอวหัวเราะเยาะและพูดว่า “ฉันไม่เรียกพวกนายว่าชิวาวาก็ดีแค่ไหนแล้ว รู้จักพอใจกับสิ่งที่ตัวเองมีเถอะ!”

เสียงอุทานของผู้คนมาแต่ไกล ฉินสือโอวและคนอื่นๆ จึงหันไปมอง และเห็นว่ามีคนขี่ม้าบนถนนในขณะที่แสงไฟสว่างขึ้นก็จะเห็นหน้าตาของคนที่อยู่บนม้า หน้าตาหล่อเหลาและดูดี ซึ่งเข้ากันกับม้าตัวเล็กสง่างามที่อยู่ข้างล่าง ซึ่งหล่อและดูดีจริงๆ

โดยปกติแล้วนี่คือพระถังซำจั๋งที่เชอร์ลี่ย์แต่ง พาวลิสจูงม้าอยู่ข้างหน้าให้เธอและมิเชลก็ลากคราดเดินอยู่ข้างหลังอย่างหดหู่ ส่วนกอร์ดอนไม่รู้ว่าไปไหนแล้ว นอกจากนี้ ยังมีหมีอีกหนึ่งตัวตามหลังหลังม้าตัวน้อยมาติดๆ และหมีตัวนี้ยังถูกมัดด้วยห่วงสีขาว

ฉินสือโอวจึงสังเกตดูอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าห่วงนี้น่าจะเป็นที่คาดหัวของมิเชล ซึ่งเป็นสิ่งที่ใช้ซับเหงื่อบนหัวของเขาเมื่อเล่นบาสเกตบอล…

“ว้าว หนุ่มหล่อคนนี้เป็นใคร? อย่าได้ให้กลุ่มชาวเกย์ของเซนต์จอห์นเห็นเป็นอันขาด ไม่อย่างนั้นฉันกล้าพนันได้เลยว่าดอกเบญจมาศของเขาจะระเบิดแน่” ฮิวจ์คนน้องพูดพร้อมหัวเราะชอบใจ

ฉินสือโอวได้ยินอย่างนั้นก็ยิ้มแปลกๆ เแล้วร้องตะโกนว่า “เชอร์ลี่ย์ ฮิวจ์คนน้องของเธอพูดกับเธอไม่ดีเลยนะ!”

เมื่อได้ยินเสียงร้องตะโกนของเขา เชอร์ลี่ย์ก็สะบัดบังเหียนของม้าและลู่ม้ายก็วิ่งเข้ามาก้าวสั้นๆ เข้ามาอย่างรวดเร็ว ใบหน้าอันเรียวยาวของม้าจะแสดงให้เห็นถึงความโอ้อวดแสนยานุภาพ ราวกับว่ามันเป็นม้ามังกรขาวจริง เมื่อเข้าไปใกล้ๆ ฉินสือโอวจึงมองดูอย่างละเอียด ก็พบว่าร่างกายของชายคนนี้ถูกปกคลุมไปด้วยแผ่นอะลูมิเนียมฟอยล์ระยิบระยับเป็นจำนวนมาก ซึ่งมันเหมือนกับเกล็ดมังกร…

“หมีดำ มาสิ มาให้ฉันจัดการพวกชั่วร้ายต่างถิ่นอย่างพวกแกเถอะ!” เชอร์ลี่ย์โบกไม้เท้าของเธอและชี้ไปที่ฮิวจ์คนน้องอย่างน่าเกรงขาม

ฮิวจ์คนน้องหัวเราะและพูดว่า “ที่แท้ก็คือโลลิต้าตัวน้อยนี่เอง เธอเป็นหมีตัวใหญ่จริงๆ ด้วย ให้ตายสิ เธอโยนอะไรออกมา? ”

เชอร์ลี่ย์โบกไม้เท้าและโยนอะไรบางอย่างออกมา ทันใดนั้นเขาเหล้าก็หกใส่เขา

ทันทีหลังจากนั้น ฉงต้าก็โผเข้าใส่อย่างเต็มกำลัง…

………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท