ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1385 ดอกลิลลี่สีขมิ้น

บทที่ 1385 ดอกลิลลี่สีขมิ้น

เมื่อรู้ว่าการรับรองสถิติกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ด ไม่มีเงินรางวัล บูลก็ตกตะลึงทันทีเขามองไปที่ฉินสือโอวที่กำลังยักไหล่ใส่และพูดว่า “คราวก่อนนายก็คิดว่าฉันจะได้เงินใช่ไหม? ไม่เลย สักบาทเดียวก็ไม่ได้”

“ให้ตายเถอะ ถ้าอย่างนั้นผมจะต้องรับรองเรื่องนี้ไปเพื่ออะไรกัน?” บูลกล่าว

วินนี่พูดปลอบใจเขาว่า “ไม่ต้องกังวลหรอก แม้ว่าบริษัทกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดจะไม่มีเงินรางวัล แต่ในเมืองของเราจะประกาศให้รางวัลกับคุณนะ แต่แตงกวาของคุณต้องมีส่วนสนับสนุนเมืองด้วย…”

เมื่อพูดถึงเรื่องนี้ เธอก็คิดพิจารณาอยู่สักพัก “ช่างเถอะ คุณเก็บไว้เองดีกว่า เราแค่ต้องการนำมาถ่ายรูปสักหน่อยก็พอแล้ว นอกจากนี้ ฉันจะช่วยคุณยื่นคำร้องกับรัฐบาลเมืองคงจะได้รับรางวัลอีกส่วนหนึ่งด้วย”

แอนนี่ถามอย่างกระวนกระวายใจว่า “ได้ด้วยเหรอคะ?”

วินนี่ยิ้มและพูดว่า “แน่นอน เพราะอย่างไรคุณก็ได้สร้างสถิติโลกไว้แล้ว ซึ่งทำให้ภาพลักษณ์ของเมืองและรัฐบาลเมืองของเราดีขึ้นในทางที่ดี โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมืองของเรายังได้เอาการท่องเที่ยวเป็นหลักอีกด้วย”

ฉินสือโอวยกนิ้วโป้งให้และพูดใส่คนรอบๆ ตัวว่า “ดูนายกเทศมนตรีวินนี่ของเราสิ เธอเป็นคนดีและมีคุณภาพจริงๆ เธอมักจะทำงานเพื่อสวัสดิการของชาวเมืองและมักจะพัฒนาบ้านเมืองอยู่เสมอ”

ชาวประมงค่อยๆ ปรบมือให้ วินนี่ทั้งยิ้มพร้อมกับก้มหน้าโค้งตัวเพื่อเป็นการน้อมรับจากหญิงสาวที่มีคุณธรรม

ฉินสือโอวขับรถไปส่งวินนี่ทำงานในเมือง จากนั้นก็เตรียมตัวกลับไปฟาร์มปลา ซึ่งในระหว่างนั้นก็มีคนมาขวางรถของเขาไว้ เขาจึงยื่นหน้าออกมาดู และนั่นก็คือซ่งชิงซานที่สวมชุดพนักงานทำความสะอาดกำลังยิ้มให้เขาอยู่

เมื่อเห็นแบบนี้แล้วเขาจึงลงจากรถและถามว่า “เฮ้ เพื่อน คุณมีปัญหาอะไรอีกใช่ไหม? มีอะไรให้ผมช่วยได้บ้าง?”

ซ่งชิงซานถูมือไปมาและพูดว่า “ไม่ใช่ ไม่ได้เดือดร้อนอะไร เราเคยมีช่วงเวลาที่ดีที่นี่ คืออย่างนี้นะคุณฉิน ผมกับคาปาไลอยากจะเลี้ยงอาหารเพื่อขอบคุณคุณที่ช่วยเหลือพวกเรา”

พอได้ยินอย่างนั้น ฉินสือโอวก็โล่งอก จากนั้นเขาก็ปฏิเสธอย่างสุภาพว่า “ไม่ต้องหรอก เราก็เป็นเพื่อนกันทั้งนั้น อะไรที่ผมช่วยได้ผมก็จะช่วยอย่างแน่นอน นอกจากนี้ สำหรับผมแล้วนี่ก็เป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น ถ้าเป็นเพราะผมลำพองตน นั่นคงจะไม่ดีแล้วล่ะ”

ซ่งชิงซานพูดอย่างซาบซึ้งใจว่า “ไม่ๆ คุณฉิน สำหรับคุณแล้วนี่อาจจะเป็นแค่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แต่สำหรับเราสองคน นี่เป็นหนี้บุญคุณที่ช่วยชีวิต!”

ในขณะที่พูดอยู่เขาถอนหายใจ “ตอนแรกที่กำลังหางาน เราได้รู้จักกับคนบางคนและเพื่อนๆ ของเขา พวกเขาก็ถูกหลอกเช่นกัน บางคนหางานไม่ได้จนถึงตอนนี้และชีวิตของพวกเขาก็นรันทดมาก ถ้าไม่ได้คุณช่วยไว้ พวกเขาก็คงเป็นตัวอย่างให้กับพวกเรา”

ระหว่างนั้นคาปาไลที่กำลังทำความสะอาดถนนอยู่ไกลๆ ก็มองเห็นเข้า จึงโบกมือให้ฉินสือโอวที่อยู่หน้ารถ จากนั้นก็วิ่งเข้าไปหาอย่างตื่นเต้นและพูดว่า “บังเอิญจริงๆ คุณฉิน ให้ผมทำอาหารเลี้ยงขอบคุณที่คุณได้ช่วยเหลือพวกเราเถอะ”

ต่อให้ทั้งสองคนพูดแบบนี้ ฉินสือโอวก็ยังจะปฏิเสธด้วยความเกรงใจอีกครั้ง ไม่อย่างนั้นจะทำให้คนคนนั้นรู้สึกว่าตัวเขาเองกำลังดูถูกพวกเขาอยู่ ดังนั้นเขาจึงพูดว่า “พวกคุณได้เงินเดือนไหม? หรือถ้าได้เงินเดือนมาแล้วค่อยว่ากันอีกที”

ซ่งชิงซานพูดอย่างมีความสุขว่า “คุณวินนี่ให้เงินเดือนเราทุกสัปดาห์และเราก็ยังได้ส่งเงินกลับบ้านหลายครั้งแล้ว ผมยังส่งถ่ายภาพให้ครอบครัวดูในคิวคิวเป็นจำนวนมากอีกด้วย พวกเขามีความสุขมากที่ได้เห็นผมอยู่ในสถานที่ดีๆ แบบนี้”

ในขณะที่พูดอยู่ ดวงตาของชายผู้มีความฮึกเหิมคนนี้ก็เริ่มแดงขึ้น “จริงๆ นะคุณฉิน ถ้าไม่ใช่คุณช่วยเราไว้ ตอนนี้ผมคงจะไม่แค่ลำบากเท่านั้น แต่ครอบครัวของผมก็จะเป็นห่วงด้วยเช่นกัน”

เหมือนกับที่ฉินสือโอวเคยพูดกับเฉินเหลยและคนอื่นๆ แคนาดาไม่ใช่สวรรค์ เมื่อเห็นคนงานเหล่านี้กำลังถูกกดขี่ มีชีวิตที่ยากลำบาก โดยเฉพาะการหางานยิ่งลำบาก ซ่งชิงซานจึงต้องทนทุกข์ทรมานมาก

คาปาไลจึงพูดว่า “ไม่ต้องเสียค่าใช้จ่ายเลยคุณฉิน ผมจะทำอาหารที่ขึ้นชื่อในบ้านเกิดของผม ซึ่งเป็นอาหารคิวบา ผมไม่รู้ว่าคุณจะทานได้ไหม”

เมื่อเป็นเช่นนั้นฉินสือโอวจึงไม่มีเหตุผลที่จะปฏิเสธ เขาจึงพูดว่า “มื้อเย็นใช่ไหม? ไม่มีปัญหา ผมและภรรยาจะไปที่หอพักของคุณให้ตรงเวลาแน่นอน”

คาปาไลยิ้มพร้อมกับพยักหน้าแล้วพูดว่า “ถ้าอย่างนั้นหกโมงตรงเป็นอย่างไร? พวกคุณมาตอนหกโมงตรง ห้าโมงตรงผมเลิกงานแล้วจะรีบเตรียมอาหารให้พร้อม”

งานทำความสะอาดบนเกาะแฟร์เวลไม่เลวเลย เพราะที่นี่มีการนำระบบการทำงานเข้างานแปดโมงเช้าเลิกงานห้าโมงเย็นของงานทำความสะอาดในเซนต์จอห์นมาใช้ ตอนเที่ยงจะมีเวลาหนึ่งชั่วโมงสำหรับพักเที่ยงและทานอาหารกลางวัน

พอกลับมาก็ไม่มีเรื่องอะไรผิดปกติ คราวนี้เขาไม่จำเป็นต้องต้อนรับเคลลีและคนอื่นๆ เป็นอย่างดีแล้ว ดังนั้นฉินสือโอวจึงไปที่ร้านขายปืนและแช่อยู่ที่นั่นจนถึงช่วงบ่าย เมื่อวินนี่เลิกงานเขาก็จะไปรับเธอและบอกเธอเรื่องที่คาปาไลและซ่งชิงซานจะเลี้ยงข้าว

วินนี่คิดอยู่สักพัก จึงเสนอว่า “ถ้าอย่างนั้นเรายังมีบัตรของขวัญกำนันจากห้างสรรพสินค้าเมย์ซีอยู่ใช่ไหม? เลือกเสื้อขนเป็ดมาสองชุดและเอาให้กับพวกเขาด้วย ฤดูหนาวที่เกาะแฟร์เวลจะหนาวมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อพวกเขาต้องทำงานอยู่ข้างนอก”

ฉินสือโอวจูบลงบนใบหน้าอันงดงามของภรรยา วินนี่คิดเรื่องนี้อย่างละเอียด แต่เขากลับไม่ได้คิดถึงเรื่องนี้เลย เขาแค่ว่าอยากจะลองชิมรสชาติของอาหารคิวบาเท่านั้น

ตอนหกโมงตรง เขาขับรถไปที่หอพักในเมืองที่ทั้งสองคนเตรียมไว้พร้อมกับนำบัตรของขวัญกำนัลไปให้ ที่พักของพวกเขาเป็นอาคารไม้หลังเล็กๆ มีสองห้องนอนหนึ่งห้องนั่งเล่น ซึ่งมีอายุเก่าแก่มากแล้ว แต่กลับมีพื้นที่ขนาดใหญ่ แน่นอนว่าบ้านชนบทในแคนาดาล้วนเป็นพื้นที่กว้างขวางเป็นอย่างมาก

หลังจากที่ทั้งสองลงจากรถ คาปาไลที่ได้ยินเสียงเดินลงจากประตูรถก็เดินไปเอาดอกลิลลี่สีขมิ้นแล้วมอบให้กับพวกเขาและพูดอย่างมีความสุขว่า “ยินดีต้อนรับ ยินดีต้อนรับแขกผู้มีเกียรติทั้งสองท่าน”

ดอกลิลลี่เป็นดอกไม้ประจำชาติของคิวบา ดอกลิลลี่สีขมิ้นเป็นดอกไม้ที่ชื่นชอบของพวกเขาและมีความหมายพิเศษสำหรับพวกเขา ซึ่งเหมือนกับผ้าแพรฮาต๋าของชาวทิเบต แต่พวกเขาจะให้ดอกลิลลี่สีขมิ้นให้เพื่อแสดงถึงความเคารพและความรักที่มีต่อบุคคลนี้

วินนี่ยิ้มพร้อมกับรับดอกไม้มาและก็นำบัตรของขวัญกำนันส่งกลับให้คาปาไลแล้วพูดว่า “ขอบคุณสำหรับดอกไม้ นี่เป็นของขวัญเล็กๆ น้อยๆ จากเรา ไม่ต้องเกรงใจ”

คาปาไลปฏิเสธ ฉินสือโอวจึงพูดว่า “นี่เอาไปใช้ซื้อเสื้อขนเป็ดได้ เพราะฤดูหนาวที่เกาะแฟร์เวลจะหนาวมาก คุณสามารถซื้อเสื้อผ้า รองเท้าและหมวกเพื่อรักษาความอบอุ่นได้และรักษาสุขภาพของคุณให้แข็งแรง”

วินนี่ยิ้มและพูดว่า “ซ่งซื้อสามารถซื้อหมวกได้ ส่วนคุณบัจโจฮาเกินก็ช่างมันเถอะถูกไหม?”

เมื่อวินนี่พูดแบบนี้แล้ว ฉินสือโอวก็เข้าใจทันที ดูเหมือนว่าชาวคิวบาจะมีธรรมเนียมอย่างหนึ่ง ก็คือห้ามสวมหมวก พวกเขาคิดว่าจะต้องสวมหมวกแค่ตอนที่ญาติเสียชีวิตแล้วเท่านั้นเพื่อเป็นการไว้อาลัย

คาปาไลยิ้มอย่างมีความสุข “มาดามนี่ช่างใส่ใจจริงๆ แต่ผมจะให้ความสำคัญกับการทำงานเป็นหลัก ถ้าหนาวมากเกินไป ผมจะสวมหมวกผ้าฝ้ายก็พอ เพื่อที่งานจะได้ไม่ล่าช้า”

ฉินสือโอวรู้สึกว่าภายในของผู้ชายที่ดูหยาบคายคนนี้กลับตรงข้ามกับรูปลักษณ์ภายนอกของเขา อย่างน้อยเขาก็พูด ซึ่งประโยคนี้ทำให้เขาและวินนี่ประทับใจมาก

หลังจากเข้าบ้านแล้ว บนโต๊ะอาหารก็ได้มีการจัดเตรียมเหล้าและอาหารไว้เรียบร้อย ตรงกลางโต๊ะมีแจกันดอกไม้ ซึ่งในนั้นก็เป็นดอกลิลลี่สีสดใสหนึ่งดอก พอเห็นแล้วก็รู้สึกมีสีสันมาก

คาปาไลเชิญทั้งสองคนให้นั่งลงและพูดว่า “คุณผู้ชายกับมาดามรอสักครู่ ผมยังมีกับข้าวอีกสองสามอย่างที่กำลังเตรียมอยู่ อ้อ ขอบอกก่อนเลยนะว่า อาหารคิวบาของเราส่วนใหญ่จะมีทั้งสไตล์คลาสสิกและสไตล์โมเดิร์น ซึ่งผมไม่ถนัดอาหารคลาสสิก แต่อาหารที่ผมถนัดคืออาหารสไตล์โมเดิร์น ไม่รู้ว่าพวกคุณจะคุ้นเคยและกินได้หรือไม่?”

ฉินสือโอวยิ้มและพูดว่า “ผมคิดว่าเราต้องคุ้นเคยแน่นอน เพราะผมได้กลิ่นหอมของมันแล้ว คงต้องอร่อยมากแน่ๆ”

คาปาไลยิ่งมีความสุขมากกว่าเดิมพร้อมกับเช็ดม้านั่งอีกครั้งและพูดว่า “เชิญครับ เชิญแขกผู้มีเกียรตินั่งลงได้เลย!”

………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท