ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1386 ชักชวนผู้ผลิตไวน์

บทที่ 1386 ชักชวนผู้ผลิตไวน์

เมื่ออาหารแต่ละอย่างนำมาเสิร์ฟ ฉินสือโอวก็สามารถมองวัตถุดิบออกได้ เนื้อส่วนใหญ่จะเป็นเนื้อหมู เนื้อวัวและยังมีผัก เช่นถั่วและผลไม้สดอีกมากมาย แต่ไม่รู้ว่ามันเรียกว่าอะไรและรู้สึกว่าคงจะใช้เครื่องเทศเป็นจำนวนมาก

วินนี่อธิบายให้เขาฟังว่าพายในอาหารคิวบาจะให้ความสำคัญกับการใช้เครื่องเทศ กระเทียม ยี่หร่า วานิลลาอิตาเลียน ผักชี ใบกระวานและเครื่องเทศอื่นๆ ที่ชาวแคนาดาไม่ค่อยใช้เป็นจุดสำคัญ เนื่องจากคิวบาเคยเป็นอาณานิคมของสเปน สิ่งเหล่านี้เป็นลักษณะเฉพาะของสเปน

หลังจากเสิร์ฟอาหารแล้ว ซ่งชิงซานก็ย้ายถังที่มีของเหลวสีเหลืองส้มข้นออกมา ซึ่งมันดูเหมือนกับน้ำมะม่วงที่มีเนื้อเข้มข้น ฉินสือโอวจึงถามว่านี่เป็นน้ำผลไม้หรือเปล่า ซ่งชิงซานหัวเราะแล้วพูดว่า “เปล่า นี่คือเบียร์ เบียร์นี้พี่ชายของคาปาไลเป็นคนกลั่นเองเลยนะ”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็รู้สึกว่าภาพลักษณ์ของคาปาไลดูดีขึ้นมากและเมื่อคาปาไลนำอาหารอีกจานมาเสิร์ฟ เขาก็ถามด้วยความประหลาดใจว่า “เบียร์นี้คุณเป็นคนกลั่นเหรอ? กลั่นเองน่ะ?”

คาปาไลคิดว่าเขาคงจะไม่ชอบจึงอธิบายว่า “นี่กลั่นจากมอลต์บริสุทธิ์ รสชาติจะหอมมากและมีคุณค่าทางโภชนาการสูงมาก รสชาติเมื่ออยู่ในปากผมคิดว่าก็ไม่เลวนะ คุณต้องลองชิมดูสิ”

“กลั่นเบียร์เองที่บ้านก็ได้เหรอ?” ฉินสือโอวพูดด้วยความแปลกใจ

คาปาไลหัวเราะและพูดว่า “แน่นอน มันง่ายมากเลยนะ เพียงแค่เตรียมบรีเวอร์ยีสต์ ฮอปทำเบียร์ มอลต์และน้ำตาล เพียงเท่านี้ก็สามารถกลั่นได้แล้ว”

“แล้วอุปกรณ์ที่ใช้ล่ะ? คุณต้องการเครื่องในการกลั่นเบียร์หรือไม่?” ฉินสือโอวถามอีกครั้ง

“ไม่ๆ แค่เครื่องใช้ในบ้านก็พอ อืม กระติกน้ำอุ่น กระติกน้ำ ขวดแก้ว เทอร์โมมิเตอร์ แอร์วาล์ว กรวยน้ำ สายยาง สิ่งเหล่านี้จะช่วยทำความสะอาด ไม่จำเป็นต้องให้เตรียมอะไรมากมายเลย” คาปาไลกล่าว

เขามองไปที่สีหน้าแปลกๆ ของฉินสือโอวและรีบอธิบายอย่างรวดเร็วว่า “ผมฆ่าเชื้อด้วยอุณหภูมิหลายครั้งแล้ว ถูกสุขอนามัยแน่นอน”

สีหน้าของฉินสือโอวก็แปลกใจทันที เพราะเขาไม่คิดว่าคาปาไลจะมีความสามารถแบบนี้ เขาเห็นคาปาไลกระตือรือร้นที่จะอธิบาย ก็รู้เลยว่าการแสดงออกของตัวเองได้ทำลายความนับถือของผู้อื่นที่มีต่อตนเองเป็นอย่างมาก แต่เขาพูดไปก็เปล่าประโยชน์ เทียบไม่ได้กับการกระทำเพื่อเป็นการยืนยัน

เมื่อเอาแก้วมา ฉินสือโอวก็หยิบมาหนึ่งใบ จากนั้นก็ชิมรสชาติ

เป็นอย่างที่คาปาไลว่า เบียร์นี้มีรสชาติที่หอมและกลมกล่อม แต่จะมีรสขมเล็กน้อย หลังจากลองจิบอีกสองสามครั้งก็จะปรับตัวให้เข้ากับรสขมนี้ได้และรู้สึกว่าเบียร์ที่กลั่นเองแบบนี้มีรสชาติดีมากจริงๆ

หลังจากดื่มเบียร์ไปหนึ่งแก้วแล้ว ฉินสือโอวก็ยกนิ้วหัวแม่มือให้พร้อมกับพูดชมเชยว่า “อร่อย อร่อยมาก”

ชาวคิวบาชอบดื่มไวน์ ผู้ชายจะไม่ค่อยกินข้าวแต่จะมีไวน์เป็นส่วนประกอบหลัก แต่ไวน์ที่มีชื่อเสียงของพวกเขาก็คือค็อกเทล ฉินสือโอวยังไม่รู้ว่าชาวคิวบามีความสามารถในการกลั่นไวน์แบบนี้

ต่อมาคาปาไลจึงได้แนะนำว่า “ในช่วงหลายปีที่คิวบาเริ่มดีขึ้น ผมได้ทำงานเป็นช่างเทคนิคในเวิร์กช็อปการผลิตที่บูคานเนโร จึงเคยเรียนรู้วิธีการทำไวน์หลากหลายประเภท แต่เบียร์และเหล้ารัมคือสิ่งที่ผมถนัดดีที่สุด”

เมื่อได้ยินแบบนั้นฉินสือโอวก็เข้าใจทันที ที่แท้อาชีพเดิมของเขาก็เกี่ยวกับเทคโนโลยี ดังนั้นเขาจึงตกใจและพูดว่า “คาปาไล คุณอยากทำงานพาร์ทไทม์ในช่วงวันหยุดไหม? คนในฟาร์มปลาของผมชอบดื่มไวน์มาก ที่ฟาร์มผมก็มีวัตถุดิบด้วยนะ ถ้าต้องการกลั่นเหล้าเอง ไม่ว่าจะเป็นไวน์ เบียร์หรือเหล้ารัมก็ทำได้หมด”

ดวงตาของคาปาไลก็เปล่งประกายขึ้นทันทีและถามว่า “คุณจะจ้างผมเหรอครับ?”

ฉินสือโอวยักไหล่และพูดว่า “ใช่ ข้อเสนอแรกคือคุณต้องกลั่นไวน์ดีๆ ที่ชอบให้เราดื่ม เงินเดือนพูดง่ายๆ ถ้าคุณไปทำงานในวันหยุดสุดสัปดาห์ คุณจะได้รับเงินเดือนถึงสามเท่าของพนักงานที่ทำความสะอาดทุกวัน”

คาปาไลพยักหน้าอย่างเร่งรีบ “เยี่ยมมาก เยี่ยมมาก เรื่องเทคนิคของผมไม่มีปัญหา ผมมั่นใจ ที่ผมพูดถึงบริษัทใช้แรงงานที่นั่นก็คือผู้ผลิตไวน์ เบียร์ ไวน์แดง เหล้ารัม ซึ่งผมรู้จักเป็นอย่างดี!”

ซ่งชิงซานพูดด้วยความอิจฉาว่า “ถ้าอย่างนั้นคาปาไล นายช่วยสอนวิธีกลั่นไวน์ให้หน่อยได้ไหม? ต่อไปฉันจะได้หางานพาร์ตไทม์ทำบ้าง”

คาปาไลทุบหน้าอกเบาๆ อย่างกล้าหาญและพูดว่า “นายตามฉันไปเรียนเถอะ ฉันเข้าใจเรื่องนี้ดี แม้ว่าจะไม่เคยเรียนที่มหาวิทยาลัย แต่อาจารย์ของฉันเป็นผู้กลั่นไวน์อาวุโสจากบริษัทบูคานเนโร ฉันถึงได้เรียนรู้มากมาย”

ก่อนรับประทานอาหาร โทรศัพท์ของคาปาไลก็ดังขึ้น เขามองไปที่หมายเลขโทรศัพท์ก็ตัดสายทันที ฉินสือโอวจึงถามว่าเกิดอะไรขึ้น เขาบอกว่าครอบครัวของเขาโทรมา

ดังนั้นฉินสือโอวจึงให้คาปาไลไปรับโทรศัพท์ก่อน เผื่อว่าจะมีเรื่องอะไรเร่งด่วน

ดูเหมือนว่าคาปาไลก็ต้องการจะติดต่อกับครอบครัวเช่นกัน แต่แทนที่จะใช้โทรศัพท์ เขากลับเชื่อมอินเทอร์เน็ตในแล็ปท็อปแล้ววิดีโอคอลคุยกับครอบครัวผ่านเอ็มเอสเอ็น

ซ่งชิงซานพูดอย่างเขินอายว่า “การโทรทางไกลระหว่างประเทศจะมีราคาแพงมาก ที่บ้านเรามีอินเทอร์เน็ตจึงใช้เอ็มเอสเอ็น เพราะมันสามารถวิดีโอคอลได้ ดังนั้นเราจึงซื้อมาหนึ่งเครื่องและมันถูกมาก แล็ปท็อปเครื่องนี้มีราคาเพียงหนึ่งร้อยกว่าดอลลาร์แคนาดาเท่านั้น”

เด็กสาวคนหนึ่งปรากฏขึ้นบนหน้าจอ คาปาไลคุยกระซิบกระซาบกับเธอเป็นภาษาสเปน ไม่นานเด็กผู้ชายผิวสีเข้มสองคนและผู้หญิงอีกหนึ่งคนก็มาอยู่ข้างๆ เด็กสาว เห็นได้ชัดว่าพวกเขาเป็นคนในครอบครัวของคาปาไล

คาปาไลหันหน้ามาและพูดว่า “คุณฉิน คุณวินนี่ ครอบครัวของผมอยากเจอคุณได้ไหม?”

ฉินสือโอวบอกว่าแน่นอน ไม่มีปัญหา เขาและวินนี่จึงทักทายกล้องและวินนี่ก็พูดภาษาสเปนสองสามประโยค คิดไม่ถึงว่าเธอจะคล่องแคล่วมากขนาดนี้

เรื่องนี้ทำให้ฉินสือโอวตกใจมาก จึงถามว่า “คุณยังเข้าใจภาษาสเปนด้วยเหรอ?”

“นี่คือภาษาที่ใช้สนทนากับพระเจ้า ตอนที่เราอยู่ในโรงเรียนก็ต้องเรียนด้วยค่ะ” วินนี่พูดอย่างเป็นธรรมชาติพร้อมกับดวงตาที่ดูโอ้อวด

ฉินสือโอวพยักหน้าให้ซ่งชิงชานและพูดว่า “ก็ใช่ พวกเขาควรจะเรียนภาษาสเปน ไม่อย่างนั้นต่อไปถ้าได้ไปสวรรค์ เมื่อหลงทางและพบเทวดาเข้าจะได้ใช้ภาษาสเปนถามทาง”

ซ่งชิงซานจึงหัวเราะดังขึ้น ถ้าขัดจังหวะเขาพูดคงจะไม่ดี จึงทำได้เพียงแค่หัวเราะ

เมื่อครอบครัวของคาปาไลได้ยินภาษาสเปนของวินนี่ จึงตื่นเต้นและแย่งกันคุยกับเธอ

ฉินสือโอวไม่สามารถเข้าร่วมได้และถามคาปาไลว่า “พวกเขากำลังคุยอะไรกัน?”

คาปาไลหัวเราะและพูดว่า “เมื่อกี้ลูกของผมกำลังชื่นชมความสวยของวินนี่ ต่อมาเอลิซาลูกสาวคนโตของผมก็ถามเธอเกี่ยวกับความรู้ในการเรียนต่อต่างประเทศ”

หลังจากพูดจบแล้ว เขาก็รอวินนี่พูดให้จบ เธอพูดอย่างเข้มงวดไม่กี่ประโยค จากนั้นก็ปิดวิดีโอลง

“ไม่เป็นไร ฉันไม่รบกวนแล้ว ถ้าลูกสาวของคุณยังอยากรู้อยู่ ฉันจะเอาข้อมูลติดต่อของฉันให้เธอ แล้วฉันจะตอบคำถามเกี่ยวกับการเรียนต่อต่างประเทศให้เธอรู้” วินนี่กล่าว

คาปาไลพูดด้วยความจริงใจว่า “ขอบคุณมากๆ คุณวินนี่ อย่างที่ภรรยาของผมบอกจริงๆ ว่าคุณคือนางฟ้า”

ฉินสือโอวจึงแทรกมุกตลกว่า “แล้วภรรยาคุณไม่ชื่นชมผมบ้างเหรอ?”

“ชื่นชมสิ เขาบอกว่าบุคลิกลักษณะอันห้าวหาญของคุณ ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง เช่นเดียวกับความสามารถในประเทศของคุณที่ช่วยเหลือเราชาวคิวบา” คาปาไลกล่าว

ฉินสือโอวหัวเราะและพูดว่า “คาปาไลผมไม่ได้พูดนะ ภรรยาของคุณตาถึงจริงๆ ผมเป็นคนแบบนั้นแหละ เป็นคนที่มีความสามารถ ไม่อย่างนั้นวินนี่ก็คงดูถูกผมแล้วใช่มั้ย?”

ซ่งชิงชานและคาปาไลพูดอะไรนอกจากนี้ได้บ้าง? จึงรีบพยักหน้าตอบว่าใช่พร้อมกัน

……………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท