ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา – บทที่ 1382 อานุภาพเกรียงไกร

บทที่ 1382 อานุภาพเกรียงไกร

หลังจากตื่นนอนในวันรุ่งขึ้น ฉินสือโอวก็วิ่งหอบไปรอบๆ ชายหาดและเห็นชาร์คที่กำลังชกมวยอยู่ก็มองเขาด้วยสายตาแปลกๆ จากนั้นก็ส่ายหัวไปมา เขาวิ่งไปต่ออีกจนพบกับนีลเซ็นที่กำลังออกกำลังกายในตอนเช้าอยู่ก็มองไปที่เขาและส่ายหัวอีกเช่นเดียวกัน

นี่ทำให้ฉินสือโอวแปลกใจมากจึงถามว่า “อะไร มีอะไรบนหน้าฉันเหรอ?”

นีลเซ็นมองหน้าคนอื่นๆ พร้อมกับส่ายหัวแล้วพูดว่า “ไม่นะบอส เมื่อคืนคุณทำงานหนักใช่ไหม?”

“ได้ยินมาว่าถึงกับต้องเรียกหมอโอโดมมาเลยเหรอ? มันเกิดอะไรขึ้นกันแน่?”

“ฉันกล้าพนันเลยว่าบอสต้องหมดแรงแน่ๆ”

“ให้ตายเถอะ!” ฉินสือโอวสบถคำด่าออกมา “ฉันแค่ฝันร้าย วินนี่ตกใจไปหน่อย ดูเหมือนว่าตอนนี้ฉันคงจะไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ?”

เมื่อคืนเขาใช้พลังโพไซดอนมากเกินไป วินนี่จึงตกใจเหมือนกับที่ลูกน้องกลุ่มนี้เป็น คิดว่าก่อนหน้านี้เธอคงจะเหนื่อยจึงไม่พูดอะไรเลยสักคำและรีบโทรศัพท์หาโอดอมให้มาหาก่อน

โอดอมตรวจเขาสักพัก คำตอบก็คือเขาหมดแรง ต้องให้กินกลูโคสสองรอบ จากนั้นก็กลับไปด้วยสีหน้าที่มีเลศนัย

แต่จริงๆ แล้วเขาไม่ได้เป็นอะไร หลังจากดื่มของกลูโคสเข้าไปแล้วก็รู้สึกปกติและนอนหลับพักผ่อน ตอนนี้เขาก็กลับมาเป็นฉินสือโอวที่แข็งแรงอีกครั้งแล้ว

แต่เห็นได้ชัดว่านีลเซ็นไม่คิดอย่างนั้น หลังจากได้ยินปัญหาของเขา ชายคนนี้ก็สังเกตดูอย่างละเอียดอยู่พักหนึ่งแล้วส่ายหัวพร้อมกับพูดว่า “ไม่บอส คุณดูเหนื่อยมากต้องพักผ่อนนะ โดยเฉพาะเอวของคุณต้องพักให้มากๆ”

เมื่อเห็นสีอันชั่วร้ายของลูกน้องเหล่านี้แล้ว ฉินสือโอวก็เงียบลง เพราะถ้าพูดคุยปรึกษาปัญหานี้ต่อก็คงไม่มีประโยชน์อะไร วิธีที่ชาญฉลาดก็คือการเปลี่ยนเรื่องพูด

ดังนั้น เขาจึงตบไหล่นีลเซ็นเบาๆ และพูดว่า “บางทีนะ นีลเซ็นเชื่อฉันเถอะ อย่าเพิ่งรีบแต่งงานกับแพรีสเลย เว้นไปอีกสักไปอีกสองปีเถอะแล้วนายจะมีความสุขมากขึ้น การแต่งงานก็คือหลุมฝังศพของความรัก!”

แบล็คไนฟ์และคนอื่นๆ มองไปที่เขาด้วยความเห็นอกเห็นใจและพูดว่า “บอส เชิญคุณนอนลงได้ตามสบาย โลงศพข้างๆ ผมยังมีที่ว่าง ต้องการมาอยู่ด้วยกันไหม?”

“พวกนายอย่าทำให้ฉันกลัวสิ แพรีสกับฉันจัดเตรียมงานหมั้นแล้ว” นีลเซ็นพูดด้วยความหวาดกลัว

ฉินสือโอวพูดปลอบเขา “ไม่เป็นไร บางทีชีวิตของนายอาจจะดีก็ได้ แพรีสที่นายเจอคงจะไม่ใช่ผู้หญิงธรรมดาๆ” ในขณะที่พูดอยู่เขาก็พยักหน้าให้แบล็คไนฟ์ “เก็บที่ว่างข้างๆ นายไว้ให้นีลเซ็นแล้วกัน ส่วนฉันจะหาที่ของตัวเองเอง”

นีลเซ็น “…”

และก็เป็นไปตามที่เขาต้องการ ลูกน้องรูปร่างกำยำกลุ่มหนึ่งก็เริ่มพูดคุยกันเรื่องการแต่งงานที่ไม่มีความสุขของพวกเขา

“ก่อนที่จะแต่งงาน ก็เป็นนางฟ้า ทำให้หวงแหนเธอเป็นอย่างมาก แต่พอหลังแต่งงานแล้วก็เปลี่ยนไป จู่ๆ เอวของเธอก็ห้อยเป็นยางรถและแม้แต่เสียงในลำคอของเธอก็ยังน่ากลัวขึ้นอีกด้วย”

“ให้ตายเถอะ ช่างเป็นฝันร้ายจริงๆ มิน่าล่ะ ที่บอสบอกว่าเขาฝันร้าย ตอนนี้ชีวิตของฉันถึงเหมือนอยู่ในฝันร้ายทุกวันเลย”

“โดยเฉพาะหลังคลอดลูก ฉันเสียใจจริงๆ ทำไมตอนนั้นถึงโง่ไปเลือกแต่งงานนะ? จริงๆ แล้วฉันควรรักษาความโสดไว้ นีลเซ็นไม่ต้องรีบแต่งงานนะรู้ไหม?”

ฉินสือโอวโบกมือไปมาพร้อมกับแสดงสีหน้าจริงจัง “อย่าทำให้นีลเซ็นตกใจกลัวไป ตอนนี้แคนาดากำลังประสบปัญหาประชากรลดลง ไม่เคยได้ยินประโยคนั้นมาก่อนเหรอ? มีลูกคนเดียวเป็นโทษมีลูกสองคนถือเป็นรางวัล แต่ถ้าโสดไม่มีลูกก็คงจะลำบาก! อย่าทำให้นีลเซ็นกลัวจนไม่กล้าแต่งงานเลยนะ”

นีลเซ็นยิ้มเจื่อนๆ และพูดอย่างหดหู่ใจว่า “พวกนายต้องโกหกฉันแน่ๆ การแต่งงานคือพระราชวังสุดท้ายที่มีความสุข”

“ใช่สิ ดังนั้นนายก็ต้องรีบแต่งงาน” ฉินสือโอวแกล้งทำเป็นตบไหล่ของเขาเบาๆ แล้วทิ้งให้นีลเซ็นรู้สึกสับสนอยู่คนเดียว จากนั้นเขาก็วิ่งต่อไปอย่างมีความสุข

ในขณะที่เตรียมตัวออกทะเลในช่วงเช้า แซนเดอร์สเรียกเขาให้มาหา เขาจึงหันกลับมาและถามว่า “เฮ้ ศาสตราจารย์มีเรื่องอะไรเหรอ?”

แซนเดอร์สเดินเข้ามาพร้อมกับขมวดคิ้วแล้วแอบอมยิ้มถามว่า “ฉิน ได้ยินมาว่าเมื่อคืนนี้คุณไปหาหมอมาเหรอ?”

สีหน้าของฉินสือโอวก็เต็มไปด้วยความผิดหวัง “อย่าพูดอย่างนั้นศาสตราจารย์ คุณเป็นคนที่มีความรู้ระดับสูง อย่าพูดอะไรไร้สาระหน่อยเลย”

“แล้วเมื่อคืนคุณไม่ได้ไปหาหมอหรอกเหรอ?”

“เอาล่ะ ผมไปหาหมอ แต่มันไม่ใช่อย่างที่คุณคิดนะ”

“เหมือนที่ผมคิดคืออะไร?” แซนเดอร์สถามด้วยความแปลกใจ

ฉินสือโอวมองเขาอย่างงุนงงและพูดว่า “อืม บางทีผมอาจจะเข้าใจผิด ว่าแต่มีเรื่องอะไร?”

แซนเดอร์สใช้ศอกสะกิดแขนของเขาด้วยความสงสัยและพูดว่า “มีสองเรื่อง เรื่องแรกที่จะบอกคุณก็คือพักผ่อนบ้างเถอะบอส ถึงแม้ว่าวินนี่จะเป็นสาวสวยเซ็กซี่ก็ตาม” ในขณะที่พูดเขาก็ส่ายหัวอีกครั้ง “พูดตามตรง ถ้าเป็นผมมีภรรยาเหมือนวินนี่ตอนที่ยังหนุ่มๆ อยู่ ผมคงต้องไปพบแพทย์วันละสองครั้ง”

“นี่ล้อผมเล่นเหรอ?” ฉินสือโอวแอบด่าเจ้าคนหน้าไม่อายคนนี้ในใจ โชคดีที่ยังคิดว่าเขาเป็นนักวิทยาศาสตร์อาวุโสที่ตัวเองเคารพอยู่ตั้งแต่แรก

แซนเดอร์สกระแอมขึ้นและพูดว่า “เปล่า เรื่องที่สำคัญเรื่องที่สอง คนจากบริษัทกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดมาถึงแล้ว เราไปเตรียมตัวกันเลยไหม?”

ฉินสือโอวพูดด้วยความงุนงงว่า “พวกเขานี่รวดเร็วจริงๆ เลย มาเร็วกันขนาดนี้เลยเหรอ?”

“แน่นอน วันนั้นผมแจ้งให้พวกเขาทราบเป็นครั้งแรกแล้ว อีกอย่างไม่ใช่ว่าจะใกล้ถึงวันฮาโลวีนแล้วเหรอ? พวกเขาก็กำลังเตรียมหัวข้อบันทึกพิเศษสำหรับฟักทองไว้เช่นกัน” แซนเดอร์สกล่าว

คราวนี้นำทีมโดยเคลลี พอล ผู้อำนวยการหน่วยงานบริษัทกินเนสส์ เวิลด์ เรคคอร์ดจำกัดในแคนาดาเหมือนกับครั้งที่แล้ว เขายังคงสวมเสื้อกั๊กขนาดเล็ก ช่วงปลายเดือนตุลาคมในเซนต์จอห์นอากาศจะเริ่มหนาวแล้ว ฉินสือโอวมองดูเสื้อที่เขาสวมอยู่ก็อยากจะชื่นชมความสามารถในการอดทนต่อความหนาวเย็นของเขา

ครั้งนี้เคลลี พอลพาทีมงานตากล้องมาด้วย เขาพูดว่า “ผมเห็นรูปถ่ายที่พวกคุณส่งมา ผมมั่นใจว่าคราวนี้จะต้องทำลายสถิติโลกได้ พวกคุณให้เราได้เป็นสักขีพยานร่วมกันเถอะ”

ฉินสือโอวยิ้มและพูดว่า “แน่นอนว่ามันไม่ใช่เรื่องที่จะขอกันง่ายๆ นะครับ”

พวกเขาเดินจากวิลล่าไปที่ฟาร์มปลาแกธเธอริงพร้อมปืนยาวและปืนสั้นจำนวนมาก ระหว่างทางผ่านเมืองเล็กๆ ชาวเมืองหลายคนที่ไม่มีอะไรทำจำนวนหนึ่งก็วิ่งเข้ามาดูและยังมีนักท่องเที่ยวตามมาเหมือนกับมาดูการแสดง

หลังจากเข้ามาในสวนฟักทอง เคลลี พอลก็มองไปรอบๆ และอดที่จะถอนหายใจไม่ได้แล้วพูดว่า “พระเจ้า พวกคุณสร้างสถิติโลกไว้จริงๆ คิดไม่ถึงว่าฟักทองจะลูกใหญ่มากขนาดนี้เลยเหรอ?”

จริงๆ แล้วมันถูกพลังโพไซดอนปกคลุมไว้ จากความรู้ของฉินสือโอว ฟักทองที่สร้างสถิติโลกโดยทั่วไปนั้นจะได้รับการเพาะปลูกเป็นพิเศษและโดยพื้นฐานแล้วมีฟักทองไม่กี่ชนิดที่จะปลูกในพื้นที่ขนาดใหญ่ได้

แน่นอนว่าในช่วงแรกมีการปลูกกันเยอะมาก แต่วิธีที่ใช้เพาะปลูกของพวกเขาคือวิธีการปลูกแบบสปาร์ตัน คือแต่ละช่วงจะต้องคัดเลือกก่อนหนึ่งรอบ จากนั้นก็ทิ้งฟักทองลูกใหญ่ไว้และเก็บฟักทองลูกเล็กๆ สุดท้ายเหลือฟักทองลูกใหญ่ที่เหลือไว้ก็เพื่อให้เข้ากับความอุดมสมบูรณ์ของพื้นดินและเติบโตจนเป็นลูกใหญ่

แม้ว่าฟักทองจะเหมือนกับผักชนิดอื่นๆ พอมันโตขึ้นจนมีขนาดใหญ่ได้แบบนี้แล้ว หลักๆ คือพวกมันจะอาศัยพลังงานที่ได้จากการสังเคราะห์แสง แต่พวกมันก็มีความต้องการธาตุอาหารในดินเป็นอย่างมากเช่นกัน ที่ดินผืนนี้มีฟักทองเจริญเติบโตออกมาเป็นจำนวนมาก คาดว่าปีหน้าปลูกอะไรก็คงจะตายหมด เพราะสารอาหารในดินได้ถูกดูดซับออกไปหมดแล้ว

ภาพแรกจะเป็นการถ่ายภาพหมู่ เพื่อใช้ในการประชาสัมพันธ์ในภายหลัง ฉินสือโอวขึ้นไปถ่ายรูปกับฟักทอง วินนี่ก็ถ่ายและทั้งสองคนก็ถ่ายรูปด้วยกัน ทั้งสองคนอุ้มเด็กหญิงตัวน้อยมาถ่ายรูปและพวกเขาก็ถ่ายรูปครอบครัวด้วยกัน ผู้คนในเมืองก็ต่างพากันไปถ่ายรูป คนจากทีมงานก็มาถ่ายรูปด้วยเช่นกัน หรือแม้แต่นักท่องเที่ยวก็ตามมาถ่ายรูปด้วย…

………………………………………………

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

ผมนี่แหละเจ้าแห่งฟาร์มปลา

Status: Ongoing

เดือนเมษายน  ณ เมืองไหเต่าซึ่งอากาศยังคงความหนาวเย็นของฤดูใบไม้ผลิอยู่

7 โมงครึ่งแล้วแต่ฉินสือโอวกลับไม่รู้สึกง่วงงุนอีกต่อไป เขากระชับเสื้อคลุมเอนตัวนั่งพิงหัวเตียงพลางทอดสายตาเหม่อมองไปยังนอกหน้าต่าง

เขามาอยู่ในเมืองนี้ได้ 8 ปีแล้ว เริ่มจากมาเรียนมหาวิทยาลัย หลังจากเรียนจบก็ยังคงก็อาศัยอยู่ในเมืองนี้ต่อมา

มหาวิทยาลัยจงยางไห่หยางที่ฉินสือโอวเรียนจบมาเป็นมหาวิทยาลัยที่ดีที่สุดในเมืองไหเต่า หลังจากที่เขาเรียนจบ เขาก็ได้เข้าทำงานในแผนกทรัพยากรบุคคลที่บริษัทปิโตรเลียมที่ดีที่สุดของเมืองไหเต่าด้วยความเหลือจากเหมาเหว่ยหลงรุ่นพี่ของเขา

ทำงานในตำแหน่งนี้มาได้ 4 ปี จนเมื่อเดือนที่แล้วแผนกทรัพยากรบุคคลก็มีพนักงานดูแลเอกสารสาวสวยเข้ามาใหม่คนหนึ่ง ผู้จัดการมอบหมายให้ฉินสือโอวเป็นพี่เลี้ยงดูแลเธอ แรกๆ ก็ไม่มีอะไร แต่ความสวยของเธอดันไปโดดเด่นสะดุดตาทายาทเศรษฐีคนหนึ่งในบริษัทเข้า

เรื่องที่เกิดขึ้นหลังจากนั้นก็ง่ายๆ เข้าอีหรอบเดิม ทายาทเศรษฐีคนนั้นเห็นเธอกับฉินสือโอวสนิทกันก็เลยเกิดความหึงหวง เขาเรียกฉินฉือโอวไปเตือนหลายครั้ง แต่ฉินสือโอวไม่สนใจ จนกระทั่งทั้งสองมีปากเสียงกันจนถึงขั้นลงไม้ลงมือในท้ายที่สุด

เดิมทีมันเป็นเพียงปัญหาเรื่องผู้หญิง แต่เมื่อทายาทเศรษฐีถูกฉินสือโอวทำร้าย ปัญหาที่ตามมาหลังจากนั้นจึงยิ่งไปกันใหญ่ หมอนั่นติดต่อไปหาเพื่อนของเขาที่อยู่แผนกการเงินเพื่อให้พวกนั้นสร้างหลักฐานใส่ร้ายว่าฉินสือโอวยักยอกเงินก้อนหนึ่งของบริษัทไป

การยักยอกเงินบริษัทถือเป็นเรื่องที่ค่อนข้างใหญ่โต ฉินสือโอวไม่เพียงต้องชดใช้เงินคืนให้บริษัท แต่เขายังถูกไล่ออกเพราะเหตุนี้อีกด้วย!

จะว่าไปเรื่องที่ถูกไล่ออกจากบริษัทมันก็ไม่ได้แย่อะไร ที่จริงฉินสือโอวก็คิดจะลาออกอยู่แล้ว แต่ปัญหาอยู่ที่ทั้งเนื้อทั้งตัวเขาตอนนี้แทบจะไม่มีเงินเหลืออยู่เลย เพราะเงินของเขาถูกนำไปชดใช้ให้บริษัทจนหมดแล้ว

เคราะห์ซ้ำกรรมซัดไปอีกก็คือเดือนนี้เขาต้องจ่ายค่าเช่าห้องสำหรับสามเดือนข้างหน้าอีกด้วย ลำพังเงินที่เขาเหลืออยู่ตอนนี้มีพอแค่ค่าอาหารแต่ละมื้อเท่านั้น และไม่ว่ายังไงเงินก็คงไม่พอจ่ายค่าเช่าห้องแน่ๆ

ขณะที่ฉินสือโอวกำลังเครียดเรื่องค่าเช่าห้องก็มีเสียงเคาะประตูดังขึ้น!

ฉินสือโอวเดินไปเปิดประตูก่อนใบหน้าดุดันของลุงเจ้าของห้องจะปรากฏขึ้นต่อหน้าเขาทันที ลุงเจ้าของห้องมาหาเขาตอนนี้ก็มีอยู่แค่เหตุผลเดียวเท่านั้นคือการมาเก็บค่าเช่าอย่างไม่ต้องสงสัย

ถึงแม้ว่าเมืองไหเต่าจะตั้งอยู่ทางเหนือ แต่เนื่องจากอยู่ติดทะเลจึงทำให้เมืองไหเต่ากลายเป็นเมืองท่าที่สำคัญแห่งหนึ่ง ดังนั้นนั้นเศรษฐกิจจึงเติบโตอย่างรวดเร็ว เรียกได้ว่าเป็นเมืองรองเลยก็ว่าได้ และด้วยเหตุนี้จึงทำให้บ้านมีราคาสูงมา ส่วนค่าเช่าบ้านก็แพงเช่นกัน

ฉินสือโอวเช่าห้องสตูดิโอขนาดเล็ก 1 ห้องนอน 1 ห้องรับแขกเอาไว้ ค่าเช่าต่อเดือนอยู่ที่หนึ่งพันหยวน แถมยังเก็บค่าเช่าล่วงหน้าทีละ 3 เดือนอีก นั่นจึงหมายความว่าเขาต้องจ่ายสามพันหยวนภายในเดือนนี้ แต่ที่ยิ่งไปกว่านั้นก็คือแค่สามร้อยหยวนเขายังไม่มีเลย!

ช่วยไม่ได้ ฉินสือโอวจึงทำได้เพียงยิ้มแห้งๆ และขอร้องให้ลุงเจ้าของห้องช่วยเห็นใจเขาหน่อย ลุงเจ้าของห้องดูไม่ค่อยพอใจมากนัก และก่อนจากไปเขาก็พูดออกมาเสียงแข็ง “ฉันให้เวลา 2 วัน เย็นวันมะรืนฉันจะมาเก็บเงินอีกที ถ้ายังไม่จ่ายค่าเช่าห้องนายก็ไสหัวออกไปซะ!”

ช่างเป็นคำพูดที่ทำร้ายจิตใจเหลือเกิน แต่ฉินสือโอวไม่มีแรงจะโมโหอีกแล้ว

ฉินสือโอวในวันนี้ถูกบีบบังคับจนอับจนหนทางมองไปทางไหนก็มืดแปดด้านไปหมด

เมื่อส่งเจ้าของห้องเช่ากลับไปแล้ว ฉินสือโอวก็กลับไปนอนลงบนเตียงด้วยใบหน้าเหนื่อยล้า ในหัวของเขาคิดเรื่องอนาคตไม่ออกและยังสิ้นหวังกับเรื่องราวในปัจจุบัน

อีกไม่นานเขาก็จะสามสิบแล้ว แต่กลับไม่มีงาน ไม่มีบ้าน ไม่มีรถ และพอนึกถึงหน้าพ่อแม่ใจของเขาก็ยิ่งห่อเหี่ยวเข้าไปใหญ่

ในตอนนั้นเองจู่ๆ ประตูห้องของเขาถูกเคาะอีกครั้ง และเสียงดังบาดหูของเจ้าของห้องเช่าก็ดังขึ้นมา

“เสี่ยวฉิน เปิดประตู เปิดประตูเดี๋ยวนี้!”

พอได้ยินเสียงเจ้าของห้องเช่าความรู้สึกห่อเหี่ยวและสิ้นหวังในใจของเขาก็ถูกแทนที่ด้วยความโกรธ ตาลุงเจ้าของห้องชักจะมากเกินไปแล้วนะ ไหนบอกว่าให้เวลาเขาสองวัน พอถึงเวลาแล้วจะมาเก็บเงินไง แล้วทำไมถึงกลับมาทวงเร็วขนาดนี้?

ฉินสือโอวข่มกลั้นความโกรธแล้วเปิดประตูออกไป แต่เขากลับพบว่าข้างกายของเจ้าของห้องเช่ามีตำรวจในเครื่องแบบที่สวมหมวกปีกกว้างอีกคนอยู่ด้วย

เมื่อตำรวจเห็นฉินสือโอว เขาก็เอ่ยปากถามขึ้นมา “คุณคือคุณฉินใช่ไหมครับ?”

ฉินสือโอวพยักหน้า จากนั้นเจ้าหน้าที่ตำรวจจึงพูดต่อ “ถ้าอย่างนั้นเชิญไปกับผมด้วยครับ มีคนอยากพบคุณ”

พอได้ยินตำรวจพูดอย่างนั้น ยังไม่ทันที่ฉินสือโอวจะพูดอะไร เจ้าของห้องเช่าก็รีบพูดขึ้นมาทันที “คุณเจ้าหน้าที่ครับ ผมไม่ได้มีความเกี่ยวข้องอะไรกับเสี่ยวฉินนะครับ ถ้าเขาไปก่อคดีอะไรมา มันไม่เกี่ยวกับห้องของผมนะครับ”

ฉินสือโอวจะไม่รู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นกันแน่ เขาคิดว่าคดีก่อนหน้านี้อาจจะมีปัญหาอะไรขึ้นมาเขาจึงได้แต่เดินตามเจ้าหน้าที่ตำรวจหนุ่มไปยังสถานีตำรวจด้วยสภาพไร้วิญญาณ

พอถึงสถานีตำรวจ เจ้าหน้าที่ก็พาเขาตรงไปยังห้องของผู้อำนวยการทันที

เมื่อเข้าไปในห้องเขาก็กวาดตามองไปรอบๆ ห้องก่อนจะเห็นตำรวจพุงพลุ้ยวัยกลางกำลังชงชาให้ชายในชุดสูทสองคนที่นั่งอยู่ตรงโซฟา

สิ่งที่ทำให้ฉินสือโอวจับต้นชนปลายไม่ถูกก็คือหนึ่งในสองคนที่นั่งอยู่บนโซฟาเป็นชายสวมสูทรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีบลอนด์ นัยน์ตาสีฟ้าและผิวขาวซีดราวกับแวมไพร์ อายุของเขาน่าจะไม่ต่ำกว่าห้าสิบหกสิบเห็นจะได้ เพราะเคราของเขากลายเป็นสีขาวราวกับหิมะไปแล้ว แต่ร่างกายที่กำยำนั้นช่างดูทรงพลังและน่าเกรงขามเหลือเกิน

เจ้าหน้าที่ตำรวจวัยกลางคนคนนั้นคือผู้อำนวยการสถานีตำรวจอย่างไม่ต้องสงสัย ว่าแล้วเขาก็ยื่นมือมาทางฉินสือโอวแล้วพูดขึ้น “คุณคือคุณฉินสือโอวสินะครับ? สวัสดีครับ ผมหลัวหย่งจื้อผู้อำนวยการสถานีตำรวจท้องที่ถนนซวงเหอเขตหลัวซานครับ”

ช่วงก่อนหน้านี้ฉินสือโอวถูกพวกตำรวจทำให้เขารู้สึกเหมือนอยู่ไม่สู้ตาย เมื่อเห็นหลัวหย่งจื้อยื่นมือมาจึงรีบเข้าไปจับ ก้มหัวโค้งแนะนำตัวเองทันที

หลังจากหลัวหย่งจื้อปล่อยมือฉินสือโอวแล้ว ชายวัยกลางคนที่ก่อนหน้านี้นั่งอยู่ตรงโซฟาก็ลุกขึ้นมาจับมือเขาแล้วพูดขึ้น “สวัสดีครับคุณฉิน ผมหลี่ซิ่นจากศาลประชาชนกลางแห่งเมืองไหเต่าครับ ส่วนท่านนี้คือคุณเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความที่มีชื่อเสียงจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ ประเทศแคนาดาครับ”

หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายได้แนะนำตัวกันแล้ว แวมไพร์เฒ่าที่วางตัวสูงสง่าน่าเกรงขามมาตลอดก็ถามออกมาเป็นภาษาอังกฤษ “สวัสดีครับคุณฉินสือโอว คุณรู้จักฉินหงเต๋อไหมครับ”

ขณะหลี่ซิ่นกำลังจะแปล ฉินสือโอวก็ตอบออกมาด้วยภาษาอังกฤษอย่างคล่องแคล่ว

“ฉินหงเต๋อหรอครับ? เขาคือปู่รองของผม อืม..ก็คือพี่ชายคนที่สองของปู่ผม”

เออร์บักพยักหน้าแล้วถามอีก “ถ้าอย่างนั้นคุณคงจะมีหัวใจโพไซดอนใช่ไหมครับ มันเป็นจี้สีน้ำเงินเล็กๆ ที่สวยมากๆ อันหนึ่ง ช่วยเอาออกมาให้ผมดูหน่อยได้ไหมครับ?”

ฉินสือโอวขมวดคิ้ว เขาไม่เข้าใจว่าฝรั่งคนนี้พูดถึงอะไร แต่กระนั้นเขาก็เลื่อนมือไปปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตเม็ดบนสุดออกแล้วดึงสร้อยเส้นสีแดงที่มีจี้รูปหัวใจสีน้ำเงินออกมา

เออร์บักยื่นมือไปรับหัวใจโพไซดอน แล้วหันไปพูดกับหลัวหย่งจื้อ “ผมขอแก้วกระดาษใบหนึ่งหน่อยได้ไหมครับ?”

หลัวหย่งจื้อยกหูโทรศัพท์ อึดใจต่อมาแก้วคริสทัลราคาแพงก็ถูกยื่นมาให้เขาอย่างรวดเร็ว

เออร์บักเติมน้ำลงไปในแก้วแล้วนำหัวใจโพไซดอนหย่อนลงไปในน้ำ ทันใดนั้นน้ำในแก้วก็เปลี่ยนเป็นสีน้ำเงินเช่นเดียวกับหัวใจโพไซดอน และเมื่อเออร์บักขยับข้อมือ น้ำในแก้วก็กระเพื่อมส่งกลิ่นน้ำทะเลออกมา

ทุกคนในที่นั้นตกตะลึงจนพูดไม่ออก ฉินสือโอวก็ไม่เคยรู้มาก่อนว่าจี้เล็กๆ ที่ตัวเองห้อยมาตลอดมีพลังวิเศษแบบนี้

เมื่อเสร็จแล้วเออร์บักก็พูดออกมาอย่างจริงจังว่า “คุณฉินสือโอว สวัสดีครับ ผมเออร์บัก ชาร์คแมน ทนายความมือหนึ่งจากสำนักงานกฎหมายฟาสเกนส์ คุณฉินหงเต๋อมอบหมายให้ผมนำพินัยกรรมมาส่งมอบให้กับคุณ เดี๋ยวผมจะอ่านให้ฟังนะครับ…”

เออร์บักเปิดพินัยกรรมแล้วพูดออกมา

“นับแต่บัดนี้เป็นต้นไป คุณฉินสือโอว หลานคนโตของคุณฉินหงเต๋อ จะเป็นผู้สืบทอดฟาร์มปลาต้าฉิน ซึ่งตั้งอยู่ที่รัฐนิวฟันด์แลนด์และแลบราดอร์ นครเซนต์จอห์น ประเทศแคนาดา! ซึ่งมีมูลค่าการตลาดตามการประเมินโดยธนาคารแคนาดาอยู่ที่ประมาณ 42 ล้านดอลลาร์แคนาดา หรือก็คือ 233,100,000 หยวนครับ! “

หัวใจของฉินสือโอวเต้นดัง ‘ตุบ ตุบ ตุบ’ ราวกับจะหลุดออกมา ไม่ง่ายเลยที่เขาจะทำใจให้สงบลงได้ จากนั้นเขาก็ถามออกไปด้วยเสียงสั่นๆ “นี่คุณเออร์บักไม่ได้กำลังล้อผมเล่นใช่ไหมครับ? คุณปู่รองของผมทิ้งทรัพย์สินมูลค่า 230 ล้านหยวนให้ผมอย่างนั้นเหรอ?”

เออร์บักพยักหน้าเพื่อยืนยัน ต่อมาเขาก็แนะนำอะไรอีกนิดหน่อย ประมาณว่าตอนนี้เขาเป็นทนายส่วนตัวของฉินสือโอวแล้ว และต้องการให้ฉินสือโอวเดินทางไปแคนาดาโดยเร็วที่สุดเพื่อดำเนินการเกี่ยวกับการส่งมอบอสังหาริมทรัพย์ต่างๆ ให้เสร็จสิ้น

ฉินสือโอวลงนามในเอกสารยินยอมรับมรดกภายใต้การรับรองของหลัวหย่งจื้อและหลี่ซิ่น จากนั้นเขาก็พาหลี่ซิ่นกับเออร์บักเดินทางไปยังห้องเช่าของตัวเอง

พอไปถึงอพาร์ตเมนต์เขาก็ต้องตกใจเมื่อได้เห็นกองข้าวของที่วางอยู่หน้าห้อง เมื่อมองดูดีๆ เขาก็พบว่าทั้งหมดเป็นของของเขาจำพวกผ้าห่ม ที่นอน หนังสือและคอมพิวเตอร์

เมื่อเจ้าของห้องเช่าเดินออกมาเห็นฉินสือโอว เขาก็ล็อกประตูดัง ‘กริ๊ก’ แล้วพูดออกมาอย่างเย็นชา

“กลับมาแล้วเหรอ? ดีเลย ฉันจะได้พูดให้นายเข้าใจ นายไปทำอะไรไม่ดีมาใช่ไหม? ไม่อย่างนั้นตำรวจจะมาหานายถึงที่ทำไม”

พอฉินสือโอวทำท่าจะตอบกลับ เขาก็แสดงสีหน้าเย็นชาแล้วพูดต่อ “ไม่ต้องพูดอะไรแล้ว เก็บของของนายแล้วไสหัวออกไปซะ ฉันปล่อยห้องเช่าให้คนไม่ได้เรื่องอย่างนายไม่ได้หรอก”

ทันใดนั้นฉินสือโอวก็ได้สติขึ้นมาทันที

……………………………………….

แสดงความคิดเห็น

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *

ปรับฟอนต์

**ถ้าปรับโหมดมืดอยู่** ให้เปลี่ยนเป็นโหมดสว่าง ก่อนจะปรับสีพื้นหลัง
รีเซ็ท